Ads & Web performance tracking คืออะไร? ฉบับอัพเดท2024

Ads & Web performance tracking

ในโลกดิจิทัลที่แข่งขันกันสูงในปัจจุบัน  Ads & Web performance tracking เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ให้สูงสุด การติดตามประสิทธิภาพของโฆษณาไม่ได้เป็นเพียงแค่การรู้ว่าโฆษณาใดได้รับคลิกมากที่สุดเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับการทำความเข้าใจผู้ชมของคุณ การปรับงบประมาณให้เหมาะสม และการปรับปรุงกลยุทธ์ของคุณอย่างต่อเนื่องเพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางการตลาดของคุณ บทความนี้จะพาเจาะลึกวิธีการติดตามประสิทธิภาพของโฆษณาของคุณ

 

Ads & Web performance tracking คืออะไร?

การติดตามประสิทธิภาพของโฆษณาหมายถึงกระบวนการรวบรวมข้อมูลว่าโฆษณาของคุณทำงานได้ดีเพียงใดในช่องทางต่างๆ เช่น Google, Facebook หรือ LinkedIn ซึ่งเกี่ยวข้องกับการตรวจสอบเมตริกสำคัญ เช่น จำนวนการแสดงผล จำนวนคลิก อัตราการแปลง และ ROI เพื่อประเมินประสิทธิภาพของแต่ละแคมเปญ สำหรับนักการตลาดและแบรนด์ กระบวนการนี้มีประโยชน์อย่างมากในการปรับแต่งกลยุทธ์ เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้จ่ายโฆษณาถูกใช้อย่างคุ้มค่า และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม

 

ตัวอย่างเช่น แบรนด์เสื้อผ้าที่กำลังรันแคมเปญ Google Ads หากไม่มีการติดตามประสิทธิภาพของโฆษณา พวกเขาจะไม่ทราบเลยว่าโฆษณากำลังกำหนดเป้าหมายไปยังกลุ่มเป้าหมายที่ถูกต้องหรือไม่ หรือว่าการใช้จ่ายของพวกเขากำลังเปลี่ยนเป็นยอดขายหรือไม่ การติดตามประสิทธิภาพช่วยให้พวกเขาเห็นว่าคำหลักใดทำให้เกิด Conversion มากที่สุด ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถจัดสรรงบประมาณใหม่ไปยังสิ่งที่ได้ผลดีที่สุด

 

วิธีการใช้งาน Ads & Web performance tracking 

ขั้นตอนที่ 1: ระบุเมตริกของคุณ

ขั้นตอนแรกคือการกำหนดเมตริกสำคัญที่สำคัญสำหรับแคมเปญของคุณ ซึ่งอาจรวมถึงจำนวนการแสดงผล (โฆษณาของคุณแสดงบ่อยแค่ไหน) อัตราการคลิกผ่าน (CTR) อัตรา Conversion และต้นทุนต่อการได้มา (CPA) จัดตำแหน่งเมตริกเหล่านี้ให้สอดคล้องกับเป้าหมายแคมเปญของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างการรับรู้ถึงแบรนด์ การสร้างลูกค้าเป้าหมาย หรือการขายโดยตรง

ตัวอย่างเช่น หากเป้าหมายของคุณคือการสร้างลูกค้าเป้าหมาย ให้เน้นที่อัตรา Conversion และ CPA มากกว่า CTR เพียงอย่างเดียว CTR สูงโดยไม่มี Conversion บ่งชี้ว่าโฆษณาและเนื้อหาหน้า Landing Page ของคุณไม่ตรงกัน

ขั้นตอนที่ 2: เลือกเครื่องมือติดตามโฆษณาของคุณ

การเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการรวบรวมข้อมูล แพลตฟอร์มอย่าง Google Analytics, Facebook Ads Manager และซอฟต์แวร์บุคคลที่สาม เช่น HubSpot สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกโดยละเอียด ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเครื่องมือที่คุณเลือกผสานรวมเข้ากับชุดการตลาดที่มีอยู่ของคุณได้เป็นอย่างดี

เช่น บริษัท SaaS ที่ใช้ Google Analytics เพื่อติดตาม Conversion สามารถเชื่อมโยงกับ Google Ads เพื่อดูภาพที่ละเอียดขึ้น เช่น คำค้นหาใดนำไปสู่การสมัครแบบชำระเงิน

ขั้นตอนที่ 3: ตรวจสอบและวิเคราะห์

การตรวจสอบเป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญ ตรวจสอบรายงานประสิทธิภาพเป็นรายสัปดาห์เพื่อระบุแนวโน้มและรูปแบบ โฆษณาหนึ่งรายการมีประสิทธิภาพดีกว่าโฆษณาอื่นหรือไม่? กลุ่มเป้าหมายเฉพาะมีส่วนร่วมกับครีเอทีฟบางรายการมากกว่าหรือไม่?

เช่นแบรนด์ความงามที่ใช้โฆษณา Instagram อาจสังเกตเห็นว่าเนื้อหาวิดีโอนำไปสู่ Conversion มากกว่าภาพนิ่ง จากข้อมูลนี้ พวกเขาสามารถเปลี่ยนงบประมาณไปใช้โฆษณาวิดีโอได้มากขึ้น

ขั้นตอนที่ 4: ปรับแต่งและเพิ่มประสิทธิภาพ

หลังจากวิเคราะห์ข้อมูลของคุณแล้ว ให้ทำการปรับเปลี่ยนที่จำเป็น ทดสอบรูปแบบโฆษณาใหม่ ปรับราคาเสนอ หรือเน้นกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกันเพื่อดูว่าอะไรให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

ตัวอย่างเช่น ร้านอาหารที่ใช้โฆษณา Facebook อาจค้นพบว่าโฆษณาที่มีคำรับรองจากลูกค้ามีประสิทธิภาพดีกว่าโฆษณาที่มีเพียงรูปภาพอาหาร ด้วยข้อมูลเชิงลึกนี้ พวกเขาสามารถปรับปรุงโฆษณาของตนให้มีหลักฐานทางสังคมมากขึ้น

 

ประเภทของ Ads & Web performance tracking

Ads & Web performance tracking Type

Pixel-Based Tracking

วิธีนี้ใช้พิกเซลติดตามเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ใช้ มักใช้สำหรับการกำหนดเป้าหมายใหม่และการติดตาม Conversion เช่นแบรนด์อีคอมเมิร์ซมักใช้ Facebook Pixel เพื่อติดตามเมื่อผู้ใช้ดูผลิตภัณฑ์ แต่ไม่ดำเนินการซื้อให้เสร็จสิ้น ทำให้พวกเขาสามารถแสดงโฆษณาการกำหนดเป้าหมายใหม่แบบส่วนบุคคลในภายหลังได้

 

UTM Tracking

พารามิเตอร์ UTM จะถูกเพิ่มไปยัง URL เพื่อติดตามแหล่งที่มา สื่อ และชื่อแคมเปญ วิธีนี้ช่วยให้คุณทราบว่าปริมาณการใช้งานของคุณมาจากที่ใด ไม่ว่าจะเป็นโฆษณาบนโซเชียลมีเดียหรือแคมเปญอีเมลเช่น แบรนด์ฟิตเนสอาจใช้ลิงก์ UTM ในโฆษณา Instagram เพื่อดูว่ามีปริมาณการเข้าชมและยอดขายมากน้อยเพียงใดจากแพลตฟอร์ม

 

View-Through Conversions

การติดตามประเภทนี้จะบันทึก Conversion จากผู้ใช้ที่เห็นโฆษณา แต่ไม่ได้คลิกทันที ช่วยวัดการเปิดเผยแบรนด์และอิทธิพลระยะยาว เช่น บริษัทให้บริการทางการเงินที่ใช้โฆษณา YouTube อาจสังเกตเห็นผู้ใช้ที่เห็นโฆษณา แต่ทำการซื้อหลายสัปดาห์ต่อมา ซึ่งแสดงให้เห็นถึงผลกระทบที่ล่าช้าของแคมเปญวิดีโอของพวกเขา

 

ประโยชน์ของการติดตามโฆษณาคืออะไร? 

รู้จักลูกค้ามากขึ้น

การติดตามช่วยให้คุณเข้าใจว่าใครกำลังโต้ตอบกับโฆษณาของคุณ คุณสามารถวิเคราะห์อายุ เพศ สถานที่ และความสนใจ เพื่อปรับแต่งการกำหนดเป้าหมายของคุณให้ละเอียดขึ้น เช่นบริษัทตัวแทนท่องเที่ยวสามารถใช้การติดตามโฆษณาเพื่อค้นพบว่าคนรุ่นมิลเลนเนียลตอบสนองต่อโฆษณาที่มีแพ็คเกจการเดินทางผจญภัยได้ดีกว่าคนรุ่นเก่า

 

ปรับงบประมาณของคุณให้เหมาะสม 

การติดตามโฆษณาช่วยให้คุณจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยการลงทุนในสิ่งที่ได้ผลมากขึ้น และลดแคมเปญที่ทำผลงานได้ไม่ดี

ตัวอย่างช่น บริษัทเทคโนโลยีอาจสังเกตเห็นว่า Google Ads นำไปสู่อัตรา Conversion ที่สูงกว่า LinkedIn Ads ซึ่งทำให้พวกเขาเปลี่ยนการใช้จ่ายโฆษณาไปที่ Google มากขึ้น

 

วัดความสำเร็จ

การติดตามเมตริก เช่น CTR และอัตรา Conversion ให้ตัวบ่งชี้ที่ชัดเจนเกี่ยวกับประสิทธิภาพของโฆษณา ช่วยให้คุณวัดผลได้ว่าคุณบรรลุ KPI ของคุณหรือไม่

 

การทดสอบ A/B

การติดตามโฆษณาช่วยให้คุณทดลองใช้ครีเอทีฟพาดหัวข่าว และคำกระตุ้นการตัดสินใจที่แตกต่างกัน เพื่อดูว่าอะไรที่สอดคล้องกับผู้ชมของคุณมากที่สุด

 

ตัวอย่างเช่น ผู้ให้บริการหลักสูตรออนไลน์อาจทำการทดสอบ A/B กับพาดหัวข่าวโฆษณาเพื่อดูว่า “เรียนรู้การเขียนโค้ดใน 30 วัน” ทำงานได้ดีกว่า “เรียนรู้การเขียนโค้ดอย่างรวดเร็ว” หรือไม่

 

การวางแผนอนาคต

 

ด้วยภาพที่ชัดเจนว่าอะไรใช้ได้ผลและอะไรไม่ได้ผล คุณสามารถวางแผนแคมเปญในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่ามีการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง

 

5 ข้อผิดพลาดที่ควรหลีกเลี่ยงในการติดตามโฆษณา

1.ไม่เข้าใจค่า Metric

การมุ่งเน้นไปที่เมตริกที่ดูดี เช่น การแสดงผลหรือการคลิกโดยไม่วิเคราะห์ KPI ที่ลึกกว่า เช่น อัตรา Conversion อาจนำไปสู่การใช้จ่ายโฆษณาที่สูญเปล่า

2.ตั้งค่าแล้วลืม

แคมเปญต้องมีการตรวจสอบและปรับให้เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง การปล่อยให้โฆษณาทำงานโดยไม่มีการปรับเปลี่ยนอาจนำไปสู่ประสิทธิภาพที่ไม่ดี

3.มองข้ามการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

การปรับเปลี่ยนเล็กน้อย เช่น การปรับแต่งสำเนาโฆษณา หรือการกำหนดเป้าหมายในช่วงเวลาอื่นของวัน อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อประสิทธิภาพ

4.ละเลยการทดสอบ A/B

การไม่ทดลองกับรูปแบบโฆษณาที่แตกต่างกัน หมายถึงการพลาดข้อมูลเชิงลึกที่มีคุณค่าซึ่งอาจเพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ

5.ไม่เรียนรู้จากความผิดพลาด 

การไม่วิเคราะห์แคมเปญที่ผ่านมา และนำบทเรียนเหล่านั้นไปใช้กับความพยายามในอนาคต อาจส่งผลให้เกิดข้อผิดพลาดซ้ำๆ กัน

 

สรุป

Ads tracking เป็นสิ่งสำคัญสำหรับนักการตลาดทุกคนที่มุ่งหวังที่จะเพิ่ม ROI ให้สูงสุด และบรรลุความสำเร็จที่ยั่งยืน โดยการทำตามกระบวนการที่มีโครงสร้าง ใช้เครื่องมือที่เหมาะสม และหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดทั่วไป คุณสามารถเพิ่มประสิทธิภาพแคมเปญของคุณอย่างต่อเนื่อง และอยู่เหนือคู่แข่งได้ อย่าลืมติดตาม วิเคราะห์ และปรับตัวเพื่อให้แน่ใจว่าโฆษณาของคุณส่งมอบคุณค่าสูงสุด การมีเครื่องมือ  Ads & Web performance tracking อย่างเช่น Connect X จะช่วยให้แบรนด์ของคุณสามารถติดตามแคมเปญของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

 

    Yearly Budget

    How do you know us?

    ใส่ความเห็น

    อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *