Author Archives: connectx

Omni-channel Marketing กลยุทธ์ทางการตลาดที่คุณไม่ควรพลาดในปี 2025

Omni-Channel-Marketing

Omni-channel Marketing กลยุทธ์ทางการตลาดที่คุณไม่ควรพลาดในปี 2025

เมื่อเข้าสู่ปี 2025 พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI, AR และ Chat Commerce เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ การทำการตลาดเพียงช่องทางเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป แบรนด์ที่ยังพึ่งพาการขายผ่านหน้าร้าน หรือช่องทางออนไลน์เพียงอย่างเดียวจะพบว่า การเติบโตเริ่มชะลอตัว ข้อมูลที่กระจัดกระจาย และประสบการณ์ลูกค้าที่ไม่ต่อเนื่องกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ

นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Omnichannel Marketing กลับมาได้รับความสนใจมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจต้องแข่งขันกันสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ (Seamless Experience) ให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อผ่านมือถือ รับสินค้าที่หน้าร้าน หรือสอบถามข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียแล้วไปทดลองสินค้าที่สาขา ทุกขั้นตอนควรเชื่อมต่อกันอย่างลื่นไหลและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแบบเฉพาะบุคคล

Omni-channel Marketing คืออะไร และทำไมถึงเหมาะกับยุคนี้?

การตลาด Omni channel คือกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงช่องทางการสื่อสารทั้งหมดของแบรนด์เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์ โดยมีข้อมูลของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทั้งจากเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ร้านค้า โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่คอลเซนเตอร์ เมื่อรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในระบบกลาง เช่น CDP (Customer Data Platform) จะช่วยให้ธุรกิจสามารถมอบประสบการณ์แบบ Personalized ได้อย่างแม่นยำ และลูกค้าจะรู้สึกถึงความเข้าใจ ความใส่ใจ และการให้บริการที่เป็นหนึ่งเดียวไม่ว่าจะมาจากช่องทางไหน

สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งในปี 2025 ที่ผู้บริโภคต้องการความรวดเร็ว ความสะดวก และความเป็นส่วนตัวมากกว่าที่เคย และด้วยแนวโน้มของ Gen Z ที่ขึ้นมาเป็นกำลังซื้อหลัก การสื่อสารต้องรวดเร็วและตอบสนองแบบ Real-time บนทุกแพลตฟอร์ม การใช้กลยุทธ์ Omni-channel ที่แท้จริง จึงไม่ใช่แค่การมีหลายช่องทาง แต่เป็นการทำให้ทุกช่องทางทำงานประสานกันอย่างลงตัว

เหตุผลที่ธุรกิจควรเลือกใช้แพลตฟอร์มการตลาดแบบ Omnichannel

  • User Quality Data มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคได้อย่างละเอียด และเชื่อมต่อข้อมูลกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดให้เกิด Conversation Rate ที่สูงขึ้นและสร้าง Hyper-Personalization เพื่อประสบการณ์ของผู้บริโภค
  • Create Consistency Across Channel – สามารถสร้างมั่นคงและเชื่อมโยงการสื่อสารกับลูกค้าได้ทุกช่องทางแบบเรียลไทม์
  • Drive Revenue – ช่วยเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้น เนื่องจากมีช่องทางให้เข้าถึงมากมาย จึงเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย และยังช่วยเปลี่ยนลูกค้าใหม่ให้กลายเป็นลูกค้าประจำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
  • Improve Customer Experience – ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้บริโภคให้ดีกว่าเดิม โดยที่ผู้บริโภคสามารถเลือกดูข้อมูลเพิ่มเติมจากช่องทางที่หลากหลายเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สามารถสั่งซื้อ และชำระเงินได้ง่ายหลากหลายช่องทางตามความสะดวกของแต่ละคน
  • Increase Brand Loyalty – สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์และกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อได้มากยิ่งขึ้นได้มากขึ้น เนื่องจากมีการรีวิวสินค้าจากหลายช่องทาง

เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่จะพา Omni-channel Marketing ไปได้ไกลยิ่งขึ้นในปี 2025

สิ่งที่ทำให้การตลาด Omnichannel ประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่ช่องทางที่ใช้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “เครื่องมือเบื้องหลัง” ที่สามารถรวมข้อมูล วิเคราะห์ และสื่อสารอย่างแม่นยำแบบอัตโนมัติ ซึ่งในปี 2025 ธุรกิจจำนวนมากหันมาใช้ CDP อย่างแพลตฟอร์มของ Connect X ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกช่องทางได้ในที่เดียว พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ Marketing Automation ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างแคมเปญที่ตอบสนองแบบทันทีทันใด

การใช้ CDP ควบคู่กับกลยุทธ์ Omnichannel จะช่วยให้ทีมการตลาดเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ทั้งจากพฤติกรรมการซื้อ เส้นทางการใช้งาน และปฏิสัมพันธ์ในแต่ละจุดสัมผัส ไม่เพียงช่วยเพิ่มอัตรา Conversion แต่ยังสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นำไปสู่ Brand Loyalty อย่างยั่งยืน

สุดยอด Platform ที่ตอบโจทย์ Omnichannel Marketing พร้อมฟีเจอร์สุดปัง

การใช้การตลาด Omnichannel ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จะต้องมี แพลตฟอร์ม อย่างเช่น CDP (Customer Data Platform) ที่ช่วยเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทาง และ Marketing Automation ที่เครื่องมือทำการตลาดแบบอัตโนมัติ ซึ่ง Connect X เป็นแพลตฟอร์มที่ครบครันและตอบโจทย์กลยุทธ์ธุรกิจแบบ Omnichannel ได้มากที่สุด

ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

*รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

    Yearly Budget

    How do you know us?

    CDP คืออะไร ? แนะนำเครื่องมือทางการตลาดที่ทุกแบรนด์ควรมี

    CDP-คือ-อะไร

    ในยุคที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบรนด์ต่างๆ จึงต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ การเพิ่มยอดขายหรือสร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ไม่ได้อาศัยแค่โฆษณาที่น่าดึงดูดเท่านั้น แต่ต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อเข้าใจลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง และตอบสนองพฤติกรรมแต่ละคนอย่างตรงจุด นี่คือจุดที่เครื่องมืออย่าง CDP หรือ Customer Data Platform เข้ามามีบทบาทสำคัญ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่การตลาดยุคใหม่จะเน้นประสบการณ์ของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพราะลูกค้ายินดีกลับมาใช้บริการซ้ำกับแบรนด์ที่รู้ใจและให้บริการได้ตรงความต้องการ ดังนั้นการมีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และสามารถใช้งานได้จริงในทุกช่องทางการตลาดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ยุคใหม่ต้องรู้จักว่า CDP คืออะไร และจะนำไปใช้ได้อย่างไรเพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาว

    วันนี้ Connect X ขอพาทุกคนไปรู้จักกับ CDP แบบเข้าใจง่าย พร้อมแนะนำว่าระบบนี้สามารถเก็บข้อมูลอะไรได้บ้าง มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร และเพราะเหตุใด CDP ของ Connect X จึงเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับธุรกิจไทยในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

    CDP คืออะไร ?

    CDP หรือ Customer Data Platform คือเครื่องมือทางการตลาดที่ถูกออกแบบมาเพื่อรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลลูกค้าจากหลากหลายช่องทางไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือระบบหลังบ้านอย่าง E-Commerce CDP จะทำหน้าที่เป็นฐานข้อมูลกลางที่รวมทุกปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าเข้าด้วยกัน ทำให้นักการตลาดสามารถมองเห็นภาพรวมของลูกค้าแต่ละรายได้แบบ 360 องศา

    การเข้าใจว่า CDP คืออะไร ไม่เพียงพอแค่การรู้ว่ามันช่วยเก็บข้อมูลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการรู้ว่าเครื่องมือนี้ช่วยให้เราทำการตลาดแบบ Personalized ได้แม่นยำขึ้น เช่น การส่งข้อเสนอเฉพาะบุคคล การเลือกคอนเทนต์ที่ตรงกับความสนใจ หรือการกำหนดแคมเปญที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ส่งผลให้ประสบการณ์ของลูกค้าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และสร้าง Brand Loyalty ได้มากยิ่งขึ้น

    CDP (Customer Data Platform) เก็บข้อมูลแบบไหนได้บ้าง

    CDP มีศักยภาพในการเก็บข้อมูลหลากหลายรูปแบบ โดยข้อมูลที่ถูกรวบรวมจะถูกจัดเก็บอย่างมีระบบ และพร้อมนำไปใช้ต่อยอดในด้านการวิเคราะห์และสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มหลัก:

    1. ข้อมูลธุรกรรมและคำสั่งซื้อ – เช่น ประวัติการซื้อสินค้า มูลค่าการใช้จ่าย ความถี่ในการซื้อ และประเภทสินค้าที่ลูกค้าให้ความสนใจ ซึ่งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมและความภักดีของลูกค้า

    2. ข้อมูลพฤติกรรมบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน – เช่น หน้าเพจที่เข้าชม การคลิกแต่ละจุด ระยะเวลาที่ใช้ในแต่ละหน้า หรือสินค้าที่ถูกเพิ่มในรถเข็นแต่ไม่ซื้อ ช่วยให้แบรนด์เข้าใจเส้นทางการตัดสินใจของผู้บริโภคได้ลึกขึ้น

    3. ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) – เช่น อายุ เพศ อาชีพ หรือไลฟ์สไตล์ ซึ่งแบรนด์สามารถนำมาสร้างกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ PDPA และความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล

    4. ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ – เช่น สินค้าที่เหลือในสต๊อก ราคา หรือโปรโมชั่นย้อนหลัง ซึ่งช่วยให้การตลาดสามารถจัดแคมเปญที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของสินค้าจริง

    ด้วยศักยภาพเหล่านี้ CDP จึงไม่ใช่แค่คลังข้อมูล แต่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่ “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” ได้อย่างแท้จริง

    ข้อดีของ CDP มีอะไรบ้าง ช่วยแบรนด์ได้อย่างไร?

    1. รวบรวมข้อมูลจากทุกช่องทางให้อยู่ในที่เดียว

    ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะมีช่องทางในการขายหรือสื่อสารกับลูกค้ากี่ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หลัก ช่องทางอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง LINE, Facebook หรือ Instagram ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญ แต่หากแยกเก็บในแต่ละระบบก็อาจทำให้เกิดความสับสน ซ้ำซ้อน หรือยากต่อการนำมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือจุดที่ CDP (Customer Data Platform) เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะระบบนี้จะช่วยรวบรวมข้อมูลจากทุกแพลตฟอร์มมาไว้ในที่เดียว โดยนำมาจัดระเบียบและจัดกลุ่มอย่างมีระบบ ทำให้ทีมการตลาดสามารถเห็นภาพรวมของลูกค้าแต่ละคนแบบ 360 องศา ลดเวลาในการค้นหาข้อมูล และทำให้สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้ง่ายและเร็วขึ้น ส่งผลให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

    2. เพิ่มยอดขายด้วยการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalization)

    เมื่อตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ลูกค้าแต่ละคนก็มีความคาดหวังที่แตกต่างกันออกไป การสื่อสารแบบกว้างๆ หรือ Mass Marketing จึงไม่เพียงพออีกต่อไป แบรนด์ที่สามารถส่งมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลได้จะได้เปรียบในสนามการแข่งขัน ซึ่ง CDP คือเครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์เข้าใจลูกค้าแต่ละคนในเชิงลึก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐานอย่างชื่อ อายุ เพศ ที่อยู่ หรือข้อมูลเชิงพฤติกรรม เช่น การคลิกดูสินค้า การซื้อซ้ำ ความสนใจเฉพาะด้าน เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ แบรนด์จะสามารถออกแบบแคมเปญการตลาดที่ตรงใจลูกค้าแต่ละราย ส่งผลให้เกิดการซื้อซ้ำ เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย และขยายฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสามารถตอบสนองต่อเทรนด์หรือพฤติกรรมใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์

    3. เสริมสร้างความภักดีและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

    ลูกค้ายุคใหม่ไม่เพียงคาดหวังสินค้าคุณภาพดี แต่ยังต้องการประสบการณ์ที่ราบรื่นและเป็นส่วนตัวตลอดเส้นทางการซื้อ ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการรู้จักแบรนด์ไปจนถึงบริการหลังการขาย CDP จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้แบรนด์สามารถออกแบบประสบการณ์ให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้อย่างแท้จริง เช่น การแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับความสนใจ หรือการส่งโปรโมชั่นในช่วงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะซื้อ เมื่อลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและดูแลเขาอย่างใกล้ชิด โอกาสที่เขาจะกลับมาซื้อซ้ำ หรือกลายเป็นลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลดีต่อการบอกต่อแบบปากต่อปาก ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการขยายฐานลูกค้าโดยไม่ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากในการโฆษณา

    4. วางกลยุทธ์ได้แม่นยำและแข่งขันได้เหนือกว่า

    การตลาดออนไลน์ในยุคปัจจุบันเป็นสนามที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด และไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะประสบความสำเร็จ สิ่งที่ทำให้บางแบรนด์โดดเด่นและเติบโตได้อย่างยั่งยืนก็คือการมีข้อมูลที่ชัดเจนและลึกซึ้งเพียงพอสำหรับการวางกลยุทธ์ CDP ช่วยให้แบรนด์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียด ทั้งในด้านพฤติกรรม ความต้องการ และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ทำให้สามารถกำหนดทิศทางของแคมเปญการตลาดได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกช่วงเวลาในการโปรโมต การตั้งราคาที่เหมาะสม หรือแม้แต่การเลือกช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า นอกจากนี้ยังสามารถตรวจวัดผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างคล่องตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่ไม่หยุดนิ่ง

    5. พัฒนาการบริการให้ครบวงจรและตรงจุด

    การให้บริการที่ดีไม่ได้จบเพียงแค่การปิดการขาย แต่ควรครอบคลุมตั้งแต่การโฆษณา การแนะนำสินค้า การทำธุรกรรม ไปจนถึงการติดตามและบริการหลังการขาย ซึ่งข้อมูลที่ได้จาก CDP จะทำให้ทุกขั้นตอนเหล่านี้เชื่อมโยงกันได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นทีมการตลาด ฝ่ายขาย หรือฝ่ายบริการลูกค้า ทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าชุดเดียวกัน ทำให้การตอบสนองหรือการแก้ไขปัญหาทำได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว ลูกค้าจึงรู้สึกถึงความใส่ใจและประทับใจในประสบการณ์โดยรวม ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว

    สุดยอด Customer Data Platform จาก Connect X

    การรวบรวม วิเคราะห์ และปรับใช้ข้อมูลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องมี CDP (Customer Data Platform) ที่ดี ใช้งานง่าย ตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาของแบรนด์ได้ ซึ่ง Connect X เป็น CDP Platform ที่ครบครันและตอบโจทย์คุณได้มากที่สุด โดยมีตัวอย่างฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์ต่อแบรนด์มากมาย อาทิ

    • Real-time Marketing Automation ช่วยให้แบรนด์ของคุณสามารถสร้าง Customer Journey พร้อมบริการส่ง SMS, Email Marketing และการยิงโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ แบบอัตโนมัติ เช่น Facebook, Line, Twitter, Instragram หรือ Pantip ได้แบบ Real-Time อีกด้วย
    • Customer Single View ช่วยให้มองเห็นภาพรวมทุกการเชื่อมต่อของลูกค้ากับแบรนด์ในมุมมองเดียว และสามารถสื่อสารทางการตลาดได้อย่างเฉพาะเจาะจงและแม่นยำ ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อมาจากช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ หรือ Omni-Channel
    • API-Connect ช่วยให้แบรนด์สามารถเชื่อมต่อ (Integrate) กับทุกฐานข้อมูลลูกค้าในระบบหลังบ้านเพื่อเข้าถึงทุกข้อมูลของลูกค้าแบบศูนย์กลางเดียว เช่น พฤติกรรมการซื้อสินค้า แคมเปญโปรโมชันที่ลูกค้าแต่ละคนชื่นชอบ สินค้าที่ซื้อเป็นประจำ เป็นต้น
    • ระบบ AI ที่ช่วยให้แบรนด์รู้ใจลูกค้าถึง Insight ช่วยจัดลำดับลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสินค้าสูงที่สุด ทำให้แบรนด์สามารถทำแคมเปญการตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น

    ทั้งหมดนี้คือข้อดีของ CDP ที่สามารถพลิกโฉมการทำการตลาดของแบรนด์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการข้อมูลที่กระจัดกระจายให้เป็นระบบเดียว การสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้า หรือการวางกลยุทธ์ที่แม่นยำในทุกช่วงเวลา ซึ่งจะกลายเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่ข้อมูลคือพลัง

    และหากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์ม CDP ที่ใช้งานง่าย เชื่อมต่อได้กับหลากหลายช่องทาง พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจตลาดไทยอย่างแท้จริง ConnectX คือคำตอบของคุณ เพราะเรามุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ลึกยิ่งขึ้น ทำการตลาดได้ชาญฉลาดขึ้น และขยับเข้าใกล้เป้าหมายทางธุรกิจได้เร็วยิ่งกว่าเดิม

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

      Yearly Budget

      How do you know us?

      Omni Channel คืออะไร ? ทำไมมีแล้วยอดขายพุ่ง (ฉบับอัพเดตปี 2025)

      omni-channel

      ในยุค Digital แบบนี้ทำให้หลายๆธุรกิจมีช่องทางในการขายสินค้าหลากหลายมากขึ้น ทั้ง Offline และ Online ทำให้การตลาดแบบ Omni-Channel คือ สิ่งที่เข้ามามีบทบาทและสามารถตอบโจทย์ในการทำการตลาดในยุคนี้มากที่สุด วันนี้ Connect X จะพาทุกคนไปรู้จักกับ OmniChannel Marketing แบบเห็นภาพมากขึ้นกันครับ

      OmniChannel คือการเชื่อมต่อทุกช่องทางเป็นหนึ่งเดียว ให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ Shopping แบบไม่สะดุด

       

      Omni Channel คืออะไร ?

      การรวมทุกช่องทางที่ลูกค้าติดต่อ Brand เข้ามาไว้ในที่เดียว ไม่ใช่แค่เฉพาะ Offline และ Online แต่ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน , Social Media ,Website, Application ต่างๆ ทำให้ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อมาจากช่องทางไหน ก็จะได้รับประสบการณ์เดียวกันแบบไร้รอยต่อนั่นเองครับ (Seemless Customer Experience)

      นอกจากที่ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์แบบไร้รอยแล้ว การตลาดแบบรวมทุกช่องทาง สามารถช่วยธุรกิจดึงดูดลูกค้าจากช่องทาง Online ต่างๆ เช่น Facebook, Line, Instagram ให้มาปิดการขายที่หน้าร้าน หรือเปลี่ยนจากลูกค้าหน้าร้าน ให้ไป Shopping Online แบบง่ายๆ สำหรับใครที่ยังไม่เห็นภาพ Connect X ได้ยกตัวอย่างการทำ OmniChannel Marketing แบบง่ายๆ จุดเด่นของ Omni-Channel Marketing คือการ มอบประสบการณ์ที่ต่อเนื่องและสอดคล้องกันในทุกช่องทาง ไม่ว่าลูกค้าจะเข้ามาจากช่องทางใด ก็จะได้รับการดูแลและข้อมูลที่สอดคล้องกัน ช่วยเพิ่มความพึงพอใจและโอกาสในการปิดการขาย ตามตัวอย่างด้านล่างเลยครับ

      [/col]
      Omni-Channel Connect X

      ตัวอย่าง OmniChannel 

      ขอยกตัวอย่าง การตลาดแบบรวมช่องทาง จากร้านขายสินค้าที่ต้องการเปลี่ยนจากลูกค้าหน้าร้าน ให้ไป Shopping Online แบบง่ายๆ กับครับ

      เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้าผ่าน การตลาดแบบรวมช่องทางด้วยการ มอบส่วนลดท้ายใบเสร็จ 50% เพื่อดึงดูดลูกค้าจากช่องทาง Offline ให้ไปซื้อสินค้าในช่องทาง Online

      หลังจากนั้นเมื่อลูกค้ามาซื้อที่สินค้าที่ช่องทาง Online แบรนด์ก็เริ่มเข้าใจพฤติกรรมการซื้อสินค้าของลูกค้าผ่านทาง Website และ Social Media ที่ลูกค้าได้ลงทะเบียนเข้ามา เมื่อรู้ว่าลูกค้า ชอบซื้อสินค้าอะไร ชอบดู Content แบบไหน ก็สามารถส่ง Promotion แจ้งเตือนสินค้าที่ลูกค้าสนใจได้ทันที

      จากข้อมูลที่ได้มา เมื่อลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าที่หน้าร้านอีกครั้ง พนักงานก็สามารถแนะนำสินค้าและมอบบริการที่ลูกค้าชื่นชอบได้ ทำให้สามารถเพิ่มยอดขายได้ด้วยการมอบประสบการณ์เป็นหนึ่งเดียวให้กับลูกค้าแบบไร้รอยต่อด้วยการตลาดแบบ การตลาดแบบรวมช่องทางนั่นเองครับ

      omnichannel

      ทำไม OmniChannel Marketing ถึงสำคัญ?

      • ลูกค้าในยุคนี้ไม่ซื้อสินค้าผ่านแค่ช่องทางเดียวอีกต่อไป

      • พฤติกรรมเปลี่ยนจากดูออนไลน์ มาซื้อหน้าร้าน หรือดูสินค้าที่ร้านแล้วย้ายไปซื้อบนแอป

      • การตลาดแบบแยกส่วน (Multi-Channel) ทำให้ข้อมูลลูกค้ากระจัดกระจาย ไม่สามารถวิเคราะห์หรือดูแลแบบครบวงจรได้

      ในขณะที่ OmniChannel Marketing มุ่งเน้นการเชื่อมต่อทุกจุดสัมผัสของลูกค้าให้เป็น “ประสบการณ์เดียว” ซึ่งนำไปสู่ ความจงรักภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) และ ยอดขายที่เพิ่มขึ้นอย่างยั่งยืน

      แล้วถ้าอยากเริ่มทำการตลาดแบบ Omni-Channel ต้องทำยังไงล่ะ?

      สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในการทำ การตลาดแบบรวมช่องทาง คือ Marketing Platform นั่นเองครับ

      ซึ่ง Marketing Platform ที่จะเข้ามาช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าแบบ การตลาดแบบรวมช่องทางได้นั้น

      จำเป็นต้องมี 2 ส่วนที่ขาดไม่ได้เลย นั่นก็คือ</p>

      1. CDP หรือ Customer Data Platform คือ เครื่องมือที่ช่วยเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า จากทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Social Media เช่น Facebook, Line, Instragram และมาพร้อมกับ API ที่สามารถเชื่อมต่อข้อมูลลูกค้ากับระบบอื่นๆ เช่น CRM, POS เป็นต้น เมื่อมี CDP ที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าได้แบบครบทุกช่องทางที่ลูกค้าติดต่อมาแล้วจะทำให้สามารถเห็นข้อมูลลูกค้าได้แบบ 360° และตอบโจทย์ลูกค้าได้ตรงจุดมากขึ้นนั่นเองครับ (Customer Single View)

      2. Marketing Automation คือ เครื่องมือทำการตลาดแบบอัตโนมัติ ทำให้แบรนด์สามารถเลือกกลุ่มลูกค้า และสร้าง Customer Journey ส่งแคมเปญการตลาดผ่านช่องทางต่างๆได้แบบ Personalized เช่น ส่ง SMS, Email ,Facebook Message, Line ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์แบบทุกช่องทางครับ

      เมื่อแบรนด์มีเครื่องมือในการช่วยทำการตลาดครบวงจรทั้ง CDP และ Marketing Automation แล้วก็จะทำให้แบรนด์สามารถรู้ใจลูกค้ามากขึ้น และ สร้างแคมเปญการตลาด ส่ง Promotion ตอบโจทย์ ถูกใจลูกค้ามากขึ้น ทำให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อซ้ำๆ เพื่อจะได้รับประสบการณ์ดีๆ การตลาดแบบรวมช่องทางไม่ใช่แค่ช่วยเพิ่มยอดขาย แต่ยังสามารถช่วยเพิ่มลูกค้าประจำให้กลับมาซื้อซ้ำๆอีกด้วย

      Omni-channel

      การตลาดแบบรวมช่องทาง คือสิ่งที่ตอบโจทย์การตลาดในยุค Digital ในการดึงดูดลูกค้าจาก Facebook, Line, Instagram ให้มาปิดการขายที่หน้าร้าน หรือเปลี่ยนจากลูกค้าหน้าร้านให้ไป Shopping Online แบบง่ายๆ

      –  สร้างประสบการณ์ไร้รอยต่อ

      –  ประหยัดงบด้วยการทำโฆษณาที่ตรงใจ

      –  เพิ่มยอดขายแบบไม่มีสะดุด

      –  ทำให้ลูกติดหนึบจนไม่อยากไปไหน ด้วยการตลาดแบบแบบรวมช่องทาง

       

      Connect X: ตัวช่วยสำคัญสู่ความสำเร็จด้าน Omni-Channel

      Connect X Marketing Platform คือเครื่องมือที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเริ่มต้นการตลาดแบบ Omni-Channel ได้ง่ายและครบวงจร โดยมีทั้ง:

      • CDP ระบบเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบครบทุกช่องทาง

      • Marketing Automation ระบบการตลาดอัตโนมัติที่ยืดหยุ่น

      • CRM ที่ออกแบบให้รองรับธุรกิจไทยและกฎหมาย PDPA

      นอกจากนี้ Connect X ยังมีทีมงานผู้เชี่ยวชาญที่สามารถ Customize ระบบ ให้เข้ากับทุกประเภทธุรกิจ ไม่ว่าคุณจะเป็นร้านค้าปลีก ธุรกิจบริการ หรือองค์กร B2B

      เริ่ม Connect กับประสบการณ์ใหม่ของลูกค้า

      อย่าปล่อยให้ธุรกิจของคุณถูก Digital Disruption ลองเริ่มสร้างประสบการณ์แบบ OmniChannel ให้ลูกค้าได้สัมผัสตั้งแต่วันนี้ ด้วยแพลตฟอร์มที่ครอบคลุมและเข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง

      📞 สนใจทดลองใช้ระบบ หรือปรึกษาฟรีกับผู้เชี่ยวชาญจาก Connect X ได้เลย!

      ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

      *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

        Yearly Budget

        How do you know us?

        [/row]

        เผยเคล็ดลับทำการตลาด LINE Marketing อย่างไรให้ลูกค้าประทับใจ

        Line marketing

        แอปพลิเคชัน LINE นั้นเป็นแอปสื่อสารที่อยู่คู่กับมือถือของคนไทยในยุคนี้แทบทุกคน สอดคล้องกับสถิติล่าสุดที่มีจำนวนผู้ใช้งานในประเทศไทยมากกว่า 49 ล้านคน อีกทั้งเป็นแพลตฟอร์มที่ธุรกิจสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้โดยตรง นักการตลาดและแบรนด์ต่างๆ เล็งเห็นว่า ”การตลาด LINE Marketing” นั้นสามารถสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

        แล้วแบรนด์ของท่านจะทำการตลาดผ่าน LINE ได้อย่างไร? Connect X จะมาบอกเคล็ดลับให้ทราบกันครับ

        เริ่มต้นทำการตลาด LINE Marketing อย่างไรดี?

        การเข้าถึงลูกค้าผ่าน LINE นั้นแน่นอนว่าต้องมีการสร้างบัญชี LINE Official Account  หรือ LINE OA หรือที่หลายคนเรียกกันจนเคยชินว่า “ไลน์แอด” ซึ่งเดิมทีก็เป็นเครื่องมือที่มีฟังก์ชันหลากหลายอยู่แล้ว เช่น การแชท คูปอง บัตรกำนัลส่วนลด ไปจนถึงการส่งคอนเทนต์ในรูปแบบต่างๆ สามารถสร้างความสัมพันธ์แบบ Personalized กับลูกค้าแต่ละคนได้ อีกทั้งยังใช้ตรวจสอบพฤติกรรมการซื้อและความสนใจได้ด้วย

        สรุปง่ายๆ ว่าการตลาด LINE Marketing นั้นคือการทำการตลาดผ่าน LINE Official Account ของแบรนด์นั่นเอง ที่ไม่ว่า SME หรือธุรกิจใหญ่ๆ ก็ทำได้

        ทำไมต้องทำการตลาด LINE Marketing?

        เพราะว่า LINE Official Account นั้นมีข้อดีต่างๆ มากมายที่ให้ประโยชน์กับแบรนด์อย่างไม่ต้องสงสัย ทาง Connect X จึงนำข้อดีอย่างคร่าวๆ มาบอกทุกท่าน ได้แก่

        • แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ทันทีผ่านแชทและฟังก์ชัน LINE OA ทำให้ง่ายต่อการดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าและทำโฆษณาไปยังกลุ่มลูกค้าที่รู้จักแบรนด์อยู่แล้ว (Retargeting)
        • สะดวกสบายสำหรับร้านและลูกค้าทั้งในแง่ของการพูดคุย สอบถามรายละเอียดสินค้า ไปจนถึงการปิดการขาย
        • ลูกค้าส่วนใหญ่รู้สึกว่า LINE เป็นช่องทางการพูดคุยกับแบรนด์ที่ง่ายที่สุด เพราะ LINE เป็นแอปพลิเคชันแชทที่ผู้คนคุ้นเคย จึงทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าสามารถถามคำถามได้สะดวกและตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

        นอกจากนี้ LINE ยังเป็นแพลตฟอร์มดัง ที่มีระบบ CRM ต่างๆ สามารถเชื่อมต่อได้อีกด้วย ซึ่ง Connect X ก็สามารถทำได้อย่างราบรื่นเช่นกันครับ

        ทำการตลาด LINE Marketing อย่างมีประสิทธิภาพ

        อย่างที่กล่าวไปข้างต้น แอปพลิเคชัน LINE มีฐานผู้ใช้งานจำนวนมาก และมีหลายกลุ่มเป้าหมาย Connect X จะมาบอกเคล็ดลับการทำการตลาดผ่าน LINE ให้ทุกท่านนำไปประยุกต์ใช้กับแบรนด์ของตน

        1.เลือกใช้ฟังก์ชันให้ถูก

        แอป LINE นั้นมีฟังก์ชันสำหรับการทำการตลาดมากมาย แบรนด์นั้นสามารถใช้เครื่องมือได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตามเพื่อประสิทธิภาพในการทำการตลาด ขอแนะนำให้ เลือกใช้เฉพาะฟังก์ชันที่จำเป็นหรือเหมาะสมกับแบรนด์ ยกตัวอย่างเช่น

        • Rich Menu – ส่วนแรกที่ลูกค้าเห็นเมื่อได้เพิ่มเพื่อนบน LINE OA ทางแบรนด์สามารถใส่เมนูหรือลิงก์ต่างๆ ได้ อาทิ รายละเอียดสินค้า บริการ วิธีการสั่งซื้อ ฯลฯ เพื่อเตรียมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อลูกค้า และแบรนด์ก็จะลดเวลาการเข้ามาตอบแชทอีกด้วย
        • Card Message – เครื่องมือมากประโยชน์ที่เหมาะสำหรับส่งข่าวสินค้าใหม่ โปรโมชัน และข้อมูลหลายๆ อย่าง ได้พร้อมๆ กัน และยังสามารถใส่ “ลิงก์” ไปยังเว็บไซต์ของแบรนด์ได้อีกด้วย
        • Reward Card & Coupon – เป็นฟังก์ชันสำหรับการจัดโปรโมชันที่เป็นประโยชน์ในการกระตุ้นการขาย เช่น ให้ลูกค้าสะสมแต้มมาแลก Reward Card หรือการแจกคูปองเพื่อให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าหรือบริการ

        2.ห้ามลืมช่วงเทศกาล

        ในการทำ LINE Marketing นั้นหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือจังหวะในการส่งข้อความ หรือการ Broadcast เพราะหากทำบ่อยเกินไปก็อาจสร้างความรำคาญ แต่หากทำน้อยเกินไป ลูกค้าก็อาจจะลืมแบรนด์ของคุณไปง่ายๆ ซึ่งช่วงเทศกาลนั้นถือเป็นจังหวะเหมาะในการส่งข้อความการตลาดต่างๆ ให้กับลูกค้า เช่น Black Friday, 11.11, คริสต์มาส, วันปีใหม่ เป็นต้น เนื่องจากเป็นช่วงที่ผู้บริโภคต่างต้องการจับจ่ายใช้สอยกันนั่นเอง

        3.สร้างโฆษณาบน LINE Ads Platform

        เมื่อรักษาฐานลูกค้าเดิมในแอป LINE ไว้ได้แล้ว ก็ต้องค้นหาลูกค้าใหม่ด้วย ซึ่งสิ่งที่นักการตลาดหลายท่านแนะนำก็คือ LINE Ads Platform แบรนด์สามารถยิง Ad ได้ทั้งในหน้าแชท LINE, บน Timeline, LINE TODAY หรือแม้กระทั่งแอป LINE TV ก็สามารถทำได้เช่นกัน

        ทั้งหมดก็เป็นเคล็ดลับเบื้องต้นสำหรับการทำ LINE Marketing และยังมีเคล็ดลับอีกมากมายด้วยกัน Connect X เชื่อมต่อ LINE OA

        การมีความสม่ำเสมอในการบริการเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อแบรนด์มีแอดมินหลายคนที่คอยสับเปลี่ยนกันตอบแชทลูกค้า บางครั้งก็อาจเกิดปัญหา “ไม่ได้คุยในเรื่องที่ค้างไว้” ทำให้ลูกค้ารู้สึกแย่และศูนย์เสียลูกค้าไปในที่สุด

        ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วย Connect X แพลตฟอร์ม CDP (Customer Data Platform) ที่สามารถเชื่อมต่อกับ LINE สามารถให้แอดมินแชทพูดคุยผ่าน Connect X ได้โดยไม่ต้องสลับไปมา พร้อมระบบจัดการ Admin แบบครบวงจร พร้อมยังสามารถดู Report ของ Performance แต่ละคนได้ด้วย สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างครบถ้วน และมี Marketing Automation ที่จะแบ่งกลุ่มลูกค้าที่มีความสนใจต่างกัน เพื่อส่ง Personalized Message เป็นแคมเปญหรือโปรโมชันที่ตรงกับความสนใจลูกค้าอย่างตรงจุดได้บน LINE และช่องทางยอดนิยมอื่นๆ อีกด้วย

        สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

        เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

        Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

        Connect X เป็นระบบ Customer Data Platform (CPD) ที่มาพร้อมกับ Marketing Automation ที่สามารถวิเคราะห์ได้ลึกถึง Insight แบ่งกลุ่ม Audience Segment ชัดเจนเข้าใจความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และสร้างแคมเปญการตลาดพร้อมส่งไปยังลูกค้าที่ใช่ในทุกช่องทาง

        สร้างความประทับใจและประสบการณ์การใช้งานที่ลูกค้าต้องติดใจอย่างแน่นอน เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

        Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

        Connect X เข้าใจนักการตลาดทุกคนว่าการเลือก Platform มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

        ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

        *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Martech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

          Yearly Budget

          How do you know us?

          3 เทรนด์ Customer Relationship Management System ที่น่าจับตามองในปี 2022

          Customer-Relationship-Management-System

          3 เทรนด์สำคัญของระบบ Customer Relationship Management System ที่น่าจับตามองในปี 2022

          สำหรับโลกธุรกิจในยุคดิจิทัล “ข้อมูล” คือทรัพยากรที่มีมูลค่ามากที่สุด เพราะทุกการตัดสินใจทางการตลาดต้องอ้างอิงจากพฤติกรรม ความต้องการ และความพึงพอใจของลูกค้า การจัดการข้อมูลเหล่านี้ให้เป็นระบบจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น ระบบที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดเก็บและบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างเป็นระบบนั้นคือ Customer Relationship Management System หรือ CRM ซึ่งกลายเป็นหัวใจของการทำตลาดในยุคนี้

          ในปี 2022 CRM ได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเติมเต็มศักยภาพของระบบ ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์แบบใหม่ของผู้ใช้งาน การนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้กระทั่งการใช้เสียงเป็นหนึ่งในช่องทางการเก็บข้อมูล เทรนด์เหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้การบริหารลูกค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังเปลี่ยนโฉมหน้าของ CRM ไปอย่างสิ้นเชิง

          1. การใช้งาน Customer Relationship Management System บนมือถือ: ตอบโจทย์การทำงานจากทุกที่

          เมื่อโลกเผชิญกับโควิด-19 การทำงานจากที่บ้านหรือจากระยะไกลกลายเป็นเรื่องปกติ หลายธุรกิจจึงหันมาใช้ระบบ Cloud และเครื่องมือที่ช่วยให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา CRM ก็เป็นหนึ่งในนั้น การพัฒนาให้สามารถใช้งานผ่านสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเช็กข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ หรือการบันทึกการขายภาคสนาม

          อย่างไรก็ตาม การนำ CRM มาอยู่บนมือถือก็ต้องเผชิญกับโจทย์เรื่องความปลอดภัย เพราะข้อมูลลูกค้าถือเป็นข้อมูลละเอียดอ่อน หากไม่มีระบบป้องกันที่ดีพอก็อาจนำไปสู่ปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลได้ ดังนั้นผู้พัฒนาระบบ CRM ต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าการทำงานระยะไกลจะไม่กระทบกับความปลอดภัยของข้อมูลที่สำคัญ

          2. ระบบ AI กับบทบาทใหม่ใน CRM: วิเคราะห์และจัดการข้อมูลได้แม่นยำยิ่งขึ้น

          AI กลายเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาระบบ CRM ยุคใหม่ เพราะมันสามารถทำในสิ่งที่มนุษย์ใช้เวลานานได้ภายในไม่กี่วินาที ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า การจำแนกกลุ่มเป้าหมาย หรือแม้แต่การคาดการณ์แนวโน้มการซื้อในอนาคต การนำ AI เข้ามาช่วยจะทำให้ทีมการตลาดไม่ต้องเสียเวลาไปกับงานจัดการข้อมูลจำนวนมากอีกต่อไป แต่สามารถใช้เวลากับการคิดกลยุทธ์เชิงลึกได้มากขึ้น

          ยิ่งไปกว่านั้น AI ยังสามารถเรียนรู้จากข้อมูลลูกค้าในระบบ และปรับเปลี่ยนการวิเคราะห์ให้แม่นยำขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ CRM ไม่ใช่แค่ฐานข้อมูลธรรมดา แต่กลายเป็นระบบที่ “แนะนำ” แนวทางการทำตลาดได้แบบอัตโนมัติ เป็นการยกระดับการดูแลลูกค้าให้เป็นแบบ Personalization ได้ง่ายขึ้นและแม่นยำกว่าที่เคย

          3. Voice Recognition: เทคโนโลยีเสียงกับมิติใหม่ของการเก็บข้อมูลลูกค้า

          เทคโนโลยีการจดจำเสียงกำลังกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในระบบ CRM เมื่อการเก็บข้อมูลไม่ได้จำกัดอยู่แค่แบบฟอร์มหรือการคลิกบนหน้าเว็บอีกต่อไป แต่สามารถวิเคราะห์ได้จาก “น้ำเสียง” ในการสนทนา ซึ่งอาจเปิดเผยอารมณ์ ความพึงพอใจ หรือแม้แต่ปัญหาที่ลูกค้าไม่ได้พูดออกมาตรงๆ

          เทคโนโลยีอย่าง Siri หรือ Alexa ได้พิสูจน์แล้วว่าผู้คนเริ่มคุ้นชินกับการสื่อสารผ่านเสียง ธุรกิจที่นำระบบจดจำเสียงมาใช้ใน CRM จะสามารถเข้าใจลูกค้าในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น แต่ก่อนลงทุนในเทคโนโลยีนี้ ธุรกิจควรประเมินความคุ้มค่า รวมถึงความเหมาะสมกับลักษณะการให้บริการของตนเอง เพราะการลงทุนด้านเสียงยังถือว่าใหม่ และต้องใช้ทรัพยากรพอสมควรในการพัฒนา

          ระบบ CRM กับพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ข้อจำกัดของการเก็บข้อมูลที่ทุกธุรกิจต้องเตรียมตัวรับมือ

          หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าระบบ CRM คือ การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ผ่านการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ รวมถึงจัดการปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลต่อการขาย และช่วยปรับปรุงให้ธุรกิจของคุณมีวิธีการขายที่ดีขึ้น เพื่อสร้าง Brand Royalty ให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าของเราอีกครั้ง ทว่าในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ประเทศไทยจะมีผลบังคับใช้พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ส่งผลให้ทุกธุรกิจไม่สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างอิสระเหมือนเมื่อก่อน นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณต้องเลือกแพลตฟอร์มผู้ให้บริการที่รองรับ PDPA ด้วย จะได้ไม่เกิดปัญหาในอนาคต และสามารถผ่านเกณฑ์ PDPA ได้อย่างราบรื่น สำหรับใครที่อยากทราบข้อมูลวิธีการผ่านเกณฑ์ PDPA ให้ละเอียดขึ้น สามารถอ่านต่อได้ที่นี่

          ส่วนใครที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มที่พร้อมก้าวทันตามเทรนด์ในปี 2022 Connect X คือแพลตฟอร์มที่พร้อมรองรับ PDPA และมีเครื่องมือเก็บข้อมูลลูกค้าเอาไว้ในที่เดียวกัน (CDP) ที่มาพร้อมกับระบบ CRM ในตัว นอกจากนี้ยังมี Marketing Automation กับ AI อัจฉริยะที่คอยช่วยเรื่องการตลาดแบบอัตโนมัติด้วย ทุกคนจึงสามารถมั่นใจได้ว่า Connect X มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และพร้อมที่จะช่วยให้คุณทำการตลาดได้ง่ายขึ้น

          บทความอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ระบบ CRM (Customer Relationship Management)

           

          ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

          *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

            Yearly Budget

            How do you know us?

            ระบบ CRM ตัวช่วยปรับกลยุทธ์เพิ่มยอดขาย ขยายธุรกิจแบบยั่งยืน

            แนะนำ 5 กลยุทธ์การเพิ่มยอดขายเพียงใช้ ระบบ CRM ที่มีประโยชน์ในการบริหารจัดการและการให้บริการในทุกกระบวนการ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

             

            การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการระบาดของโควิด-19 นั้น ส่งผลให้ธุรกิจทุกรูปแบบต้องปรับตัวและเปลี่ยนกลยุทธ์การขายใหม่ ผ่านการเปลี่ยนหรือเพิ่มช่องทางการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนหันไปใช้เวลาอยู่กับ Social Media มากขึ้น และกิจกรรมบน E-Commerce ก็ขยายตัวอย่างชัดเจน ซึ่งการที่เหล่าธุรกิจปรับเปลี่ยนรูปแบบและช่องทางการขายก็ยิ่งทำให้มียอดขายที่เพิ่มขึ้น และเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

            สำหรับปี 2022 รูปแบบพฤติกรรมของผู้บริโภคยังคงดำเนินไปทิศทางเดียวกับในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ กลยุทธ์ทางการตลาดแบบดิจิทัลจึงจำเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่การเพิ่มยอดขายมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยธุรกิจได้ในระยะยาวอีกด้วย ยกตัวอย่างเทรนด์การขายที่มาแรงในปี 2022 (Sales Trend 2022) คือ การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับกลยุทธ์ทางการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำระบบ CRM หรือระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าเข้ามาช่วยนั้น จะสามารถช่วยเพิ่มยอดขายไปพร้อมกับการมัดใจลูกค้าให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์หรือ Brand Loyalty ซึ่งเป็นการเพิ่มยอดขายและการสร้างแบรนด์ได้อย่างยั่งยืน

            เพราะในปัจจุบันนี้การเพิ่มช่องทางการขายเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตและก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก วันนี้ Connect X จะขอแนะนำการปรับกลยุทธ์การขายให้ธุรกิจแบบใหม่ด้วยระบบ CRM

            Customer Relationship Management (ระบบ CRM) คืออะไร

            CRM คือ ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ให้ธุรกิจหรือองค์กรสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์ของลูกค้าเอาไว้ให้ได้นานที่สุด พร้อมสร้างโอกาสจาก Potential Customer โดยมุ่งเน้นไปในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและการปฏิสัมพันธ์แบบเฉพาะตัวอย่างมีคุณค่า รวมถึงการนำเสนอสินค้าอย่างถูกที่ถูกเวลาอีกด้วย

            กระบวนการดังกล่าวจะต้องอาศัยการเก็บข้อมูลของผู้บริโภคมาวิเคราะห์ เพื่อหากลยุทธ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ระบบ CRM ยังสามารถนำใช้กับธุรกิจ B2B (Business-to-Business) ได้อีกด้วย โดยที่จะเข้ามาช่วยให้ฝ่ายการขายจัดการ Sales Circle ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

            5 กลยุทธ์เพิ่มยอดขายด้วย ระบบ CRM

            1.โฆษณาให้ถูกช่องทางและถูกที่ถูกเวลา

            ด้วยระบบนี้จะเก็บข้อมูลด้านพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า เพื่อต่อยอดกิจกรรมทางการตลาดให้ถูกจุด เช่น ข้อมูลความสนใจของลูกค้า ลูกค้านิยมใช้ช่องทางใดบ้าง เป็นต้น เป็นการช่วยทำให้ธุรกิจทำความเข้าใจลูกค้าได้มากขึ้น และสื่อสารได้อย่างตรงจุด ทำให้สามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว

            2. ตอบแชทได้รวดเร็วทันใจ ลูกค้าตัดสินใจได้ทันที

            ระบบนี้สามารถเก็บข้อมูลของลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาในทุกช่องทาง รวมไปถึงการรวบรวมช่องทางแชท เช่น Facebook, LINE, Twitter หรือ Instagram  ให้สามารถตอบได้บนแพลตฟอร์มเดียวและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถติดตามว่าลูกค้ากำลังอยู่ในกระบวนการใดของการซื้อ เพื่อช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ตรงกับความต้องการ ช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ในทันที

            3. สร้างความประทับใจผ่านการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalize Marketing)

            ระบบนี้จะจะช่วยติดตามและเก็บข้อมูลของลูกค้าแต่ละคนไว้ว่ามีความสนใจด้านใด มีการดูสินค้าประเภทไหนเอาไว้บ้าง ซึ่งสามารถนำข้อมูลมาต่อยอดให้เกิดการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) เพื่อสร้างคุณค่าและสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าคนนั้นๆ ได้ อาทิ การส่งโปรโมชันพิเศษเพื่อกระตุ้นการขาย หรือยิงโฆษณาความสินค้าที่ลูกค้าสนใจ ทำให้มัดใจลูกค้าขาจรเป็นขาประจำได้ไม่ยาก

            4. ติดตามลูกค้าและให้บริการแบบไร้รอยต่อในทุกช่องทาง

            ระบบนี้จะช่วยรวบรวมข้อมูลออกมาเป็นรายงานการขายที่สามารถเรียกดูได้ทุกเวลาแบบเรียลไทม์ ทำให้การติดตามลูกค้าทุกคนพร้อมกันได้อย่างง่ายดายมากขึ้น พร้อมช่วยให้สามารถตอบคำถามและให้บริการทุกช่องทางในรูปแบบ Omni Channel ไม่ว่าจะเป็นที่หน้าร้านหรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ก็สามารถเชื่อมกันได้อย่างไร้รอยต่อ จนทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และอยากกลับมาซื้อซ้ำ

            5. เพิ่มบริการหลังการขาย เพื่อมัดใจลูกค้า

            จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นระบบ CRM รวบรวมข้อมูลทุกความเคลื่อนไหวของลูกค้าทุกคนเอาไว้ จึงช่วยให้สามารถเพิ่มบริการหลังการขายได้อย่างตรงจุด และช่วยลูกค้าแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ซึ่งการให้บริการที่เอาใจใส่และแก้ปัญหาได้รวดเร็วนั้นสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าเป็นอันดับต้นๆ จึงช่วยมัดใจลูกค้าให้เป็น Loyal Customer ของแบรนด์ได้นั่นเอง

            จากที่ Connect X ได้แนะนำกลยุทธ์เด็ดเพิ่มยอดขายกันไปแล้ว จะเห็นว่าระบบ CRM เป็นหัวใจหลักที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนในยุคนี้ โดยช่วยปรับปรุงการบริการตั้งแต่กระบวนการช่วงต้นน้ำ-ปลายน้ำ กล่าวคือตั้งแต่เริ่มขายไปจนถึงการบริการหลังการขายได้อย่างครบวงจร และยังช่วยให้ธุรกิจพร้อมก้าวทัน Marketing Trend ใหม่ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งเป็นตัวช่วยทางธุรกิจที่มีความสำคัญในยุคปัจจุบันและอนาคตเป็นอย่างมาก

            สำหรับใครที่กำลังมองหาระบบ CRM มาเริ่มต้นใช้ในธุรกิจนั้น Connect X คือ แพลตฟอร์ม CDP ที่คุณกำลังมองหา มีเครื่องมือเก็บข้อมูลลูกค้าที่มาพร้อมกับระบบ CRM ในตัวที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Marketing Automation กับ AI อัจฉริยะที่คอยช่วยเรื่องการตลาดแบบอัตโนมัติด้วย มั่นใจได้ว่า Connect X มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และพร้อมที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณเติบโตอย่างก้าวกระโดด

            บทความอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Customer Relationship Management (CRM)

             

            ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

            *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

              Yearly Budget

              How do you know us?

              GDPR ต่างจาก PDPA อย่างไร? กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลที่แบรนด์ไทยต้องรู้

              GDPR-PDPA

              เจ้าของธุรกิจออนไลน์ทุกท่านอาจเคยได้ยินหรือทราบถึง PDPA ซึ่งคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่ถูกบังคับใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถือเป็นหนึ่งในกฎหมายที่เกิดขึ้นเพื่อตอบรับการเติบโตของเทคโนโลยีสารสนเทศและการจัดเก็บข้อมูลในยุคดิจิทัล อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังเกิดคำถามว่า “PDPA กับ GDPR ต่างกันอย่างไร?” และแบรนด์ไทยจำเป็นต้องรู้เรื่อง GDPR หรือไม่?

              ในบทความนี้ Connect X จะพาเจ้าของธุรกิจทุกท่านไปรู้จักกับ PDPA อย่างละเอียด พร้อมอธิบายความสัมพันธ์กับ GDPR เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นใจและถูกต้องตามกฎหมาย

              กฎหมาย PDPA คืออะไร?

              PDPA (Personal Data Protection Act) คือกฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครอง “ข้อมูลส่วนบุคคล” ที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีชื่อภาษาไทยว่า “พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562” ซึ่งได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 และเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565

              PDPA เป็นกฎหมายที่แบรนด์ไทยทุกแห่งต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่มีผลบังคับใช้กับข้อมูลออนไลน์ แต่ยังครอบคลุมถึงข้อมูลออฟไลน์ เช่น การเก็บข้อมูลลูกค้าผ่านใบสมัคร การจดบันทึก หรือแม้แต่การใช้กล้องวงจรปิดในพื้นที่ขององค์กร

              PDPA ครอบคลุมข้อมูลด้านใดบ้าง?

              กฎหมาย PDPA เป็นกฎหมายที่มาพร้อมกับการก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสาร ซึ่งแน่นอนว่าครอบคลุมข้อมูลบนสื่อออนไลน์ เช่น การเก็บข้อมูลผ่านระบบ CRM ไปจนถึงข้อมูลออฟไลน์อย่างการจดบันทึกอีกด้วย ทั้งยังเป็นกฎหมายที่ป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Violation) แบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมล รูปภาพใบหน้า ข้อมูลเสียง ลายนิ้วมือ ฯลฯ

              ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ PDPA นั้นครอบคลุมไปถึง Sensitive Data หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวด้วย อาทิ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความเห็นทางการเมือง ความเชื่อ ลัทธิ ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลทางด้านสุขภาพ ข้อมูลทางพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ Cookies ID หรือ Device ID

              จะเห็นได้ว่า PDPA นั้นครอบคลุมข้อมูลของผู้บริโภคแบบรอบด้านเลยทีเดียว ซึ่งการที่นิติบุคคล กิจการ หรือแบรนด์ต่างๆ จะเก็บรวบรวมข้อมูลได้นั้น ต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเสียก่อน

              GDPR มีข้อแตกต่างอย่างไร?

              กฎหมาย GDPR นั้นย่อมาจาก General Data Protection Regulation ที่จริงๆ แล้วอาจไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมากนัก เนื่องจากเป็นข้อบังคับในกฎหมายของสหภาพยุโรป (European Union หรือ EU) จะคุ้มครองข้อมูลของส่วนบุคคลของประชากรในสหภาพยุโรปและบุคคลสัญชาติยุโรปที่อยู่ในต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลจะไม่ถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ และได้เริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เป็นที่เรียบร้อย หากท่านมีกิจการระหว่างประเทศ (International Business) อยู่ในสหภาพยุโรป ก็ควรพึงปฏิบัติตามข้อกฎหมายนี้ด้วย

              GDPR ในยุโรปนั้นได้ถูกร่างและบังคับใช้มาก่อน PDPR ของไทย หรือพูดในอีกนัยหนึ่งว่า GDPR เป็นต้นแบบของ PDPR ก็ว่าได้ และมีข้อกำหนดที่มากกว่าด้วย แต่ในไม่ช้า พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้จะมีการร่างข้อบังคับเพิ่มเติมและประกาศใช้ภายหลัง เจ้าของธุรกิจทุกท่านควรศึกษาและปรับธุรกิจให้อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้

              ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไรเมื่อมีกฎหมาย PDPA และ GDPR?

              สิ่งแรกๆ ที่ผู้ประกอบการและแบรนด์ควรให้ความสำคัญคือ การสร้าง Privacy Policy หรือนโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อ “แจ้ง” รายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เก็บข้อมูลอะไร ใช้ทำอะไร ลบข้อมูลเมื่อใด เป็นต้น

              นอกเหนือจากนั้น ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 พ.ร.บ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ จะมีการบังคับใช้ให้ผู้ที่เก็บรวบรวมข้อมูลต้องทำ Privacy Policy ด้วยนั่นเอง เพื่อเป็นการป้องกันการถูกฟ้องร้อง แบรนด์ควรขอความยินยอมในการเก็บข้อมูล การใช้หรือการเปิดเผยข้อมูลเสียก่อน หรือที่เรียกว่า Consent Management นั่นเอง

              การใช้ระบบเก็บข้อมูลอย่างระบบ CRM หรือ ระบบ CDP ที่ได้มาตรฐานและสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างชาญฉลาด เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการทุกท่าน

              ดังนั้นการบริหารข้อมูลส่วนบุคคลจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์โดยตรง และจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะหากไม่มี “ข้อมูล” แล้ว การทำการตลาด เช่น Personalized Marketing หรือ Remarketing จะเป็นไปไม่ได้เลย

              บทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม PDPA

              การละเมิดกฎหมาย PDPA ไม่ใช่เพียงแค่การกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง ซึ่งอาจสร้างผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจทั้งในด้านการดำเนินงานและความเชื่อมั่นของลูกค้า โดยบทลงโทษของ PDPA แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ โทษทางแพ่ง โทษทางอาญา และโทษทางปกครอง

              1. โทษทางแพ่ง
              หากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้รับความเสียหายจากการกระทำที่ละเมิด PDPA พวกเขาสามารถยื่นฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลได้โดยตรง และศาลมีอำนาจในการพิจารณาชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติม โดยอาจสั่งให้ชดใช้สูงสุดถึงสองเท่าของมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง ขึ้นอยู่กับระดับของความเสียหายและพฤติการณ์แห่งคดี

              2. โทษทางอาญา
              ในกรณีที่มีการละเมิด PDPA โดยเจตนา เช่น การเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยมิชอบ ผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษทางอาญา ซึ่งรวมถึงโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขึ้นอยู่กับระดับของความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเจ้าของข้อมูล

              3. โทษทางปกครอง
              คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีอำนาจในการกำหนดโทษทางปกครองกับหน่วยงานหรือองค์กรที่ไม่ปฏิบัติตาม PDPA ได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งรวมถึงการสั่งปรับทางปกครองเป็นจำนวนเงินสูงสุดไม่เกินห้าล้านบาท นอกจากนี้ คณะกรรมการยังสามารถสั่งระงับการเก็บ รวบรวม หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลได้ทันที และในบางกรณีอาจกำหนดให้ดำเนินมาตรการแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดด้วย

              แน่นอนว่าไม่มีผู้ประกอบการท่านไหนต้องการที่จะเสียค่าปรับหรือจำคุก การนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในทางที่เหมาะสมและการเข้าใจขอบเขตในการเข้าถึงข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบทุกครั้ง ไม่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในระยะยาว

              หากคุณกำลังมองหาโซลูชันที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดของ PDPA Connect X พร้อมช่วยคุณวางระบบที่สอดคล้องกับกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการจัดการความยินยอม การจัดเก็บ และการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ธุรกิจของคุณเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นใจและยั่งยืนในยุคดิจิทัล

              ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

              *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                Yearly Budget

                How do you know us?

                ทำไมธุรกิจ SME ขนาดเล็กถึงควรมีระบบ CRM Platforms ติดตัว?

                SME-CRM-Platforms

                ในยุคที่การแข่งขันด้านการตลาดและการขายเข้มข้นมากกว่าที่เคย ธุรกิจ SME ที่ต้องการเติบโตอย่างมั่นคงจึงไม่สามารถพึ่งพาแค่สินค้าและบริการที่ดีได้อีกต่อไป สิ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการได้ตรงจุด และเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น ก็คือ ระบบ CRM Platforms หรือ Customer Relationship Management ที่เข้ามาทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งช่วยบริหารความสัมพันธ์ในทุกๆ จุดที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์

                เพราะ “ลูกค้า” คือหัวใจของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ ทำตลาดแบบ B2B หรือ B2C ต่างก็ต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น มีพฤติกรรมที่ซับซ้อนและคาดหวังประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ระบบ CRM จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าใจและติดตามลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของพฤติกรรม ความต้องการ และศักยภาพในการซื้อซ้ำ

                อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ้าของกิจการ SME ที่ยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ เวลา หรือทรัพยากร อาจเกิดคำถามตามมาว่า การลงทุนในระบบ CRM จะคุ้มค่าหรือไม่ และจะให้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งความจริงแล้ว ระบบ CRM ไม่ได้มีไว้เพื่อธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น หากเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมกับขนาดธุรกิจ ก็สามารถช่วยเปลี่ยนข้อมูลลูกค้าให้กลายเป็นโอกาสทางการขายได้ไม่ยาก

                ในบทความนี้ Connect X จะพาคุณไปสำรวจข้อดีต่างๆ ของระบบ CRM ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือธุรกิจ SME โดยเฉพาะ พร้อมอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนว่า ทำไมธุรกิจที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก จึงควรมีระบบนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักของการเติบโตในยุคดิจิทัล

                ระบบ CRM Platforms เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้า

                ทุกธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนล้วนเข้าใจดีว่า “ลูกค้า” ไม่ได้เป็นแค่คนที่ซื้อของเพียงครั้งเดียว แต่คือคนที่อาจกลับมาซื้อซ้ำ บอกต่อ และกลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญให้แบรนด์ ดังนั้นการดูแลลูกค้าจึงต้องลึกไปกว่าการขายสินค้า ระบบ CRM หรือ Customer Relationship Management จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นผู้ช่วยมือขวาในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอย่างมีระบบ

                โดยพื้นฐานแล้ว ระบบ CRM คือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อรวบรวม จัดการ และวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram, LINE หรือแม้แต่เว็บไซต์ของธุรกิจเอง ทุกการคลิก การซื้อ หรือการกรอกฟอร์มสมัคร ล้วนสามารถกลายเป็นข้อมูลอันมีค่า ที่จะถูกดึงมาใช้เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดแบบ Personalization ได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากระบบตรวจพบว่าลูกค้าคนหนึ่งมักซื้อสินค้าช่วงปลายเดือน แบรนด์ก็สามารถส่งโปรโมชั่นเฉพาะบุคคลให้ตรงเวลา หรือแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาสนใจได้อย่างแม่นยำ

                ข้อดีของ CRM ไม่ได้มีเพียงแค่การเก็บข้อมูล แต่ยังสามารถช่วยวิเคราะห์และต่อยอดกิจกรรมทางการตลาดได้อย่างชาญฉลาด เปลี่ยนการสื่อสารแบบกว้างๆ ให้กลายเป็นข้อความที่ “พูดกับลูกค้าแต่ละคนโดยตรง” ซึ่งสิ่งนี้คือหัวใจของการทำ Personalized Marketing ที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ใส่ใจในตัวเขา ไม่ได้มองเขาแค่ตัวเลขยอดขาย และเมื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีต่อเนื่อง ความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์ก็จะเพิ่มขึ้นตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ

                จากสถิติที่น่าสนใจของ Salesforce ระบุว่า การใช้ระบบ CRM อย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายได้มากถึง 29% เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ SME ที่ต้องการเพิ่มรายได้โดยไม่ต้องขยายทีมการตลาดหรือทุ่มงบประมาณมหาศาล

                แน่นอนว่าการเก็บข้อมูลลูกค้าต้องกระทำภายใต้กรอบของกฎหมายความเป็นส่วนตัว เช่น พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญควบคู่ไปกับการทำตลาด เพราะแม้การใช้ข้อมูลจะช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่หากละเลยเรื่องความถูกต้องตามกฎหมาย ก็อาจกลายเป็นปัญหาในระยะยาว ดังนั้นระบบ CRM ที่ดีควรมีฟีเจอร์รองรับการจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกับกฎหมาย PDPA ด้วยเช่นกัน

                ข้อดีของระบบ CRM Platforms ที่ธุรกิจ SME ไม่ควรมองข้าม

                ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจดุเดือดขึ้นทุกวัน ธุรกิจ SME จำเป็นต้องยกระดับการให้บริการลูกค้า เพื่อสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงและยั่งยืน ซึ่งระบบ CRM หรือ Customer Relationship Management คือหนึ่งในเครื่องมือที่เข้ามาช่วยตอบโจทย์ในจุดนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีข้อดีที่โดดเด่นดังต่อไปนี้

                1. รวมศูนย์ข้อมูลลูกค้าไว้ในที่เดียว

                หลายธุรกิจยังคงจัดเก็บข้อมูลลูกค้าแบบกระจัดกระจาย บ้างอยู่ในไฟล์ของแอดมิน บ้างอยู่กับเซลล์ ทำให้การเข้าถึงและใช้ข้อมูลกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก เสี่ยงต่อความผิดพลาดและการสูญหายของข้อมูล ระบบ CRM เข้ามาช่วยรวบรวมข้อมูลจากทุก Touch Point ไว้ในศูนย์กลางเดียว ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ ช่องทางโซเชียล หรือข้อมูลจากการลงทะเบียนของลูกค้า ช่วยให้ทีมงานทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกและแม่นยำ

                2. ติดตามสถานะลูกค้าได้แบบเรียลไทม์

                ด้วยระบบที่จัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ธุรกิจสามารถติดตามสถานะของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่า ลูกค้าที่กำลังพิจารณาสินค้า หรือผู้ที่อยู่ระหว่างการต่อรอง ทีมขายจึงสามารถวางแผนการติดต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น

                3. สร้างแคมเปญการตลาดได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

                ข้อมูลที่ได้จาก CRM ไม่เพียงแต่บอกว่าใครคือลูกค้า แต่ยังเผยให้เห็นถึงพฤติกรรม ความสนใจ และความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้าแต่ละราย สิ่งนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบแคมเปญการตลาดที่ตรงจุด ส่งโปรโมชันหรือข้อเสนอที่เหมาะสมไปยังลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อจริงๆ ซึ่งสำคัญมากสำหรับธุรกิจ SME ที่มีงบประมาณจำกัด

                4. ลดต้นทุนในระยะยาว

                ระบบ CRM ช่วยลดความสิ้นเปลืองจากการทำการตลาดแบบหว่านแห เพราะสามารถโฟกัสไปที่ลูกค้ากลุ่มที่มีโอกาสซื้อจริง ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำ สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องทุ่มงบโฆษณาใหม่อยู่ตลอดเวลา

                5. ยกระดับการบริการลูกค้าแบบใกล้ชิด

                ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า เช่น อายุ ความสนใจ หรือประวัติการซื้อ สามารถนำมาใช้สร้างประสบการณ์ที่ตรงใจ สร้างความรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและใส่ใจ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแลอย่างพิเศษ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้าง Brand Loyalty และยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากที่มีพลังมากที่สุดในการตลาด

                ระบบ CRM ที่ดีต้องมาคู่กับระบบ CDP

                คำว่า CRM อาจเป็นศัพท์ที่ใช้อย่างแพร่หลายจนหลายๆ คนเริ่มชิน และมองว่าเป็นซอฟต์แวร์ที่รวมทุกสิ่ง แต่นี่อาจเป็นความเชื่อที่ผิดไป เพราะแม้ระบบ CRM จะสามารถเก็บข้อมูลได้ดี แต่ยังคงต้องการอาศัยบุคคลในการนำข้อมูลเหล่านั้นไปต่อยอด ในหลายกรณี หลายธุรกิจจึงไม่สามารถทำการตลาดได้เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นการนำ CDP (Customer Data Platform) ที่มีการทำงานร่วมกับ CRM เข้ามาปรับใช้กับธุรกิจจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในหลายๆ แง่มุม

                ยกตัวอย่าง Connect X ที่เป็นทั้งแพลตฟอร์ม CDP และ Marketing Automation ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย สามารถช่วยสนับสนุนธุรกิจ SME ได้มากกว่า เช่น

                • 360° Customer Insights – รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลลูกค้าได้แบบ 360 องศา ไม่ว่าจะติดต่อมาทาง Facebook Messenger, LINE หรืออื่นๆ ระบบจะจัดการข้อมูลอย่างชาญฉลาด คาดการณ์พฤติกรรมหรือความต้องการของลูกค้าเฉพาะบุคคลได้
                • Omni Channel – รวมทุกช่องทางการแชท การติดต่อที่เกิดขึ้นไว้บนแพลตฟอร์ม รวมไปถึงระบบ API ต่างๆ ทีมขายจึงสามารถประสานงานได้แบบไร้รอยต่อ ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไม่มีสะดุด
                • ระบบ AI ช่วยสนับสนุน – Connect X มีระบบ AI สุดฉลาดที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทำนายและจัดอันดับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นลูกค้า (Predictive Lead Scoring) พร้อมวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ ตอบโจทย์การสื่อสารด้านการตลาดอย่างแม่นยำกว่าเดิม
                • Marketing Automation – ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้แบบ Real-Time ช่วยยิงโฆษณาที่ตรงใจลูกค้า ในเวลาที่ใช่ ผ่านช่องทางที่เหมาะสมกับลูกค้ามากที่สุด

                นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์อีกเพียบที่สามารถสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ SME ท่ามกลางยุคแห่งการแข่งขันทางตลาดที่ดุเดือดนี้ได้

                พูดได้เต็มปากเลยว่าหากธุรกิจ SME มีระบบ CRM ที่ดี มีฟีเจอร์และฟังก์ชันครบครัน ก็สามารถยกระดับธุรกิจเล็กๆ ให้เติบโตอย่างมั่นคง แข่งขันในตลาดได้อย่างมีชั้นเชิง และมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดของตัวเองได้ไม่ยาก เพราะ CRM ที่ดีไม่ใช่แค่เครื่องมือจัดเก็บข้อมูล แต่คือหัวใจสำคัญของการเข้าใจลูกค้า สื่อสารได้ตรงจุด และสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจอย่างยั่งยืน

                ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                  Yearly Budget

                  How do you know us?

                  Email Marketing ตัวอย่าง 5 เทคนิคจากแบรนด์ดังระดับโลก

                  Connect X ขอเผยเคล็ดลับกับ 5 เทคนิค Email Marketing ตัวอย่าง ของแบรนด์ดังระดับโลกที่รับรองว่าเวิร์คสุดๆ ให้เหล่านักธุรกิจนำไปปรับใช้ได้ง่ายๆ

                  หากพูดถึง Digital Marketing หลายคนอาจนึกถึงการตลาดบนสื่อโซเชียล (Social Media Marketing) มาเป็นอันดับแรกๆ เพราะเป็นช่องทางที่สามารถเพิ่มโอกาสในการซื้อขายและขยายตลาดได้สะดวกและเห็นผลไวที่สุด จึงเกิดคำถามว่า “แล้วการตลาดรูปแบบอื่น อย่าง Email Marketing ยังเหมาะสมกับการตลาดในยุคปัจจุบันอยู่หรือไม่?” เพราะหลายคนเชื่อว่าเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมน้อยกว่าสื่อโซเชียล แต่รู้หรือไม่ว่า แบรนด์ดังระดับโลกยังคงใช้ Email Marketing ในการกระตุ้นยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้เป็นอย่างดี

                  Email Marketing ยังเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก เพราะข้อดีของ Email Marketing คือสามารถทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized)  ที่ช่วยสร้างความรู้สึกพิเศษหรือ Customer Journey ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า ซึ่งธุรกิจสามารถส่งข้อความหรือข้อมูลข่าวสารซ้ำๆ (Auto Resend) ได้อย่างไม่จำกัด และส่งไปถึงเป้าหมายได้ 100% นอกจากนี้ ยังสามารถต่อยอดไปยังการตลาดรูปแบบอื่นๆ ได้ง่ายดาย พร้อมผสานการทำงานกับระบบอื่นๆ อย่างระบบ CRM, Marketing Automation และ CDP (Customer Data Platform) ได้อีกด้วย

                  วันนี้ Connect X จะมาแนะนำ Email Marketing ตัวอย่างใช้ยังอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย 5 เทคนิคที่แบรนด์ระดับโลกใช้แล้วเวิร์คสุดๆ

                  Email Marketing คืออะไร?

                  Email Marketing หรือ “การตลาดผ่านอีเมล” นั้นมีความหมายที่ตรงตัว เป็นการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ใช้อีเมลเป็นช่องทางในการสื่อสาร โดยจะเน้นการส่งข้อมูลข่าวสาร แนะนำสินค้าและโปรโมชัน ประกาศสำคัญต่างๆ ของแบรนด์ เพื่อเป็นการเพิ่มยอด Engagement สู่เว็บไซต์หรือขยายช่องทางการขายหลักของร้านได้ กล่าวคือจุดประสงค์ในการทำ Email Marketing คือการกระตุ้นยอดขายให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้ง (Remarketing)

                  นอกเหนือจากนั้น Email Marketing ยังสามารถใช้สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับกลุ่มลูกค้า ช่วยรักษากลุ่มลูกค้าเก่า พร้อมกับมัดใจลูกค้ารายใหม่ได้ง่ายๆ โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกกลุ่มฐานลูกค้าที่ต้องการส่งอีเมลได้ ตลอดจนการทำการตลาดแบบรายบุคคล (Personalized Marketing) เพื่อแสดงความใส่ใจต่อลูกค้าแต่ละคนได้อีกด้วย

                  รวม 5 เทคนิค Email Marketing ตัวอย่าง ที่แบรนด์ระดับโลกใช้แล้วเวิร์คสุดๆ

                  1. สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

                  แบรนด์ต้องไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าเกิดระยะห่างขึ้น ซึ่งแบรนด์ชื่อดังอย่าง Adidas ได้มอบการบริการด้วยความใส่ใจในทุกเวลาไม่ว่าจะเป็น Welcome Email สำหรับผู้ติดตามคนใหม่ๆ โดยจะส่งอีเมลให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งผลิตภัณฑ์ที่สนใจได้ พร้อมสอบถามความพึงพอใจหลังซื้อสินค้า และส่งโปรโมชันพิเศษเฉพาะของสาขาที่ลูกค้าลงทะเบียนเอาไว้ นอกจากนี้ Adidas ยังมอบความรู้สึกพิเศษให้กับลูกค้า ด้วยการมอบโอกาสการเป็นเจ้าของรองเท้าแบบปรับแต่งได้ด้วยตัวเอง จากการสะสมแต้มเพื่อปลดล็อกสิทธิ์ดังกล่าว

                  2. สร้างความดึงดูดด้วยวิดีโอหรือภาพเคลื่อนไหว

                  เพราะอีเมลจะมีแค่ตัวหนังสือหรือภาพธรรมดาๆ ไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากไม่อาจดึงความสนใจลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น ลองดูตัวอย่างเทคนิคการใช้ Email Marketing ­ของแบรนด์คอมพิวเตอร์ชั้นนำอย่าง DELL เพราะไม่เพียงแค่แนบไฟล์ทั่วไปๆ เท่านั้น แต่ DELL ยังได้แนบภาพ .GIF ที่มีการเคลื่อนไหว สื่อถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ ด้วยภาพคอมพิวเตอร์ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นแท็บเล็ต ซึ่งแคมเปญดังกล่าวช่วยเพิ่มยอดขายให้กับ DELL ได้ถึง 109% เลยทีเดียว ผลลัพธ์นี่พิสูจน์ได้ว่า การใช้ภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงข้อความที่แบรนด์ต้องการจะสื่อสาร เพิ่มความน่าดึงดูดได้อย่างรวดเร็ว และช่วยเพิ่ม Click Rate ที่นำไปสู่โอกาสในการซื้อสินค้าได้อย่างเห็นผล

                  3. ชนะใจด้วยการออกแบบที่แปลกใหม่อย่างโดนใจ

                  ปฏิเสธไม่ได้ว่าดีไซน์สวยๆ หรือสินค้าที่สะดุดตาสามารถช่วยดึงความสนใจของผู้บริโภคได้มาก แบรนด์ Dropbox ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ชื่อดัง ก็ได้ใช้การออกแบบด้วยตัวการวาดการ์ตูนน่ารักๆ พร้อมข้อความที่สื่อสารไปถึงสมาชิกได้อย่างโดนใจ เช่น

                  “Recently your Dropbox has been feeling kind of lonely :-(”

                  แปลเป็นไทยได้ว่า “ช่วงนี้ Dropbox ­ของคุณกำลังรู้สึกเหงามากเลย” พร้อมภาพกล่องที่ว่างเปล่าที่ให้ความรู้สึกเศร้าๆ และภาพกล่องที่สดใสภายในมีเอกสารอยู่ เป็นต้น ซึ่งการออกแบบที่แปลกใหม่นี้ นอกจากจะสร้างความประทับใจให้กับสมาชิกแล้ว ยังสามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ในแนวทางที่ดี และสามารถปรับเปลี่ยนการตัดสินใจให้ใช้บริการได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย

                  4. สร้างประสบการณ์แบบ Personalize อย่างเหนือชั้น

                  จุดเด่นของ Email Marketing คือสามารถทำการตลาดแบบ Personalize ได้ ซึ่งไม่เพียงแต่การใส่ชื่อของลูกค้าเข้าไปเท่านั้น แต่การลงรายละเอียดเฉพาะรายบุคคล จะช่วยสร้างความรู้สึกพิเศษได้มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับ Spotify แอปพลิเคชันสตรีมมิ่งเพลงชื่อดัง ที่ในทุกสิ้นปีจะมีการส่งอีเมลสรุปสถิติการใช้งานของผู้ใช้งาน รวมถึงได้มีการรวบรวม Playlist เพลงที่ผู้ใช้งานฟังมากที่สุดประจำปีนั้นๆ ซึ่งแคมเปญดังกล่าวได้รับผลตอบรับและสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว

                  5. มอบการบริการสุดพิเศษที่ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์

                  ธุรกิจการให้บริการที่พักชื่อดังอย่าง Airbnb ได้มอบบริการสุดพิเศษภายหลังจากที่ลูกค้าได้จองที่พัก หรือระบุตำแหน่งที่ตั้งของเมืองที่ต้องการไปเที่ยว ด้วยการส่งอีเมลแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติมในเมืองนั้นๆ ให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นการต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ ผสมผสานกับการแนะนำข้อมูลด้วยความใส่ใจต่อลูกค้าแบบรายบุคคล รวมทั้งหากลูกค้าได้เลือก Keyword ที่ต้องการ เช่น เลือกคำว่าโรแมนติก อีเมลที่คัดสรรสถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมนติกก็ได้ถูกส่งให้ลูกค้าอย่างรวดเร็ว แคมเปญดังกล่าวทำให้ Airbnb ได้รับความเชื่อใจและเป็นที่นิยมที่เหล่าผู้ใช้บริการเลือกใช้จนกลายเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้าง

                  สำหรับ 5 เทคนิค Email Marketing ตัวอย่างที่ได้รวบรวมมาจากแบรนด์ดังทั่วโลกนี้ หากธุรกิจของคุณได้นำไปปรับใช้ ก็จะสามารถดึงจุดเด่นที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ไม่ยาก พร้อมโน้มน้าวให้กลับมาซื้อซ้ำหรือใช้บริการต่อเนื่องได้แน่นอน

                  หากใครกำลังมองหาว่าจะเริ่มต้นใช้งาน Email Marketing จากตรงไหน? ต้องมีเครื่องมืออะไร? Connect X มีบริการ CDP หรือ Customer Data Platform โปรแกรมที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน พร้อมตัวช่วยที่นักการตลาดไม่ควรพลาด ช่วยให้สามารถจัดการข้อมูลเพื่อจัดทำแคมเปญ Email Marketing ส่งอีเมลไปถึงลูกค้าได้แบบรายบุคคล อีกทั้งยังสามารถตั้งค่า Customer Journey แบบ Cross Channel ได้ ทำให้สามารถส่งโปรโมชันผ่านช่องทางอื่นได้พร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น SMS, LINE หรือ Facebook เป็นต้น และนอกจากนี้ยังคงมีฟีเจอร์สุดล้ำมากมายที่เกิดมาเพื่อช่วยนักการตลาดยุคดิจิทัล

                  ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                  *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                    Yearly Budget

                    How do you know us?

                    มารู้จักกับ Marketing Automation Tool ว่าคืออะไร และดีอย่างไร?

                    marketing-automation-tool

                    ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา หลายคนอาจจะเคยเห็นคำว่า “Marketing Automation” ผ่านตากันมาบ้าง ไม่ว่าจะในบทความการตลาด การสัมมนา หรือแม้แต่ในแพลตฟอร์มที่เราใช้งานอยู่ทุกวัน คำนี้ไม่ได้เป็นแค่กระแสชั่วคราว แต่กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักการตลาดดิจิทัลและเจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น วันนี้ ConnectX พาไปรู้จัก Marketing Automation Tool ระบบช่วยทำการตลาดแบบอัตโนมัติ

                    Marketing Automation Tool คืออะไร และทำไมถึงสำคัญในยุคนี้

                    ในยุคที่ธุรกิจต้องแข่งขันกันบนความเร็ว ความแม่นยำ และประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า Marketing Automation หรือระบบอัตโนมัติทางการตลาด กลายเป็นเครื่องมือที่แทบทุกแบรนด์ควรมีไว้ในมือ เพราะมันคือผู้ช่วยที่คอยทำงานด้านการตลาดซ้ำๆ ให้เราแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมลแจ้งโปรโมชั่น การแจ้งเตือนผ่าน SMS หรือการแสดงข้อความอัตโนมัติในแชทของ Facebook หรือ LINE OA ทุกอย่างถูกตั้งค่าไว้ล่วงหน้าเพื่อทำงานแทนเราในเวลาที่เหมาะสมที่สุด

                    เครื่องมือนี้ไม่ได้แค่ “ช่วยประหยัดเวลา” เท่านั้น แต่มันยังช่วยลดต้นทุนของทีมการตลาด เพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เพราะสามารถสื่อสารแบบตรงจุด ตรงกลุ่ม และตรงช่วงเวลา เรียกได้ว่าเป็นการ “ยิงตรงใจ” โดยไม่ต้องเสียเวลาหรือพลังงานซ้ำๆ กับงานเดิมๆ นั่นเอง

                    อีกหนึ่งเหตุผลที่ Marketing Automation สำคัญมากคือ การทำงานร่วมกับฐานข้อมูล (CRM หรือ CDP) ที่สามารถรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า และนำมาวิเคราะห์เพื่อสร้างแคมเปญแบบเฉพาะเจาะจง เช่น หากลูกค้ารายหนึ่งชอบซื้อสินค้าประเภทสกินแคร์ในช่วงปลายเดือน ระบบก็สามารถตั้งเวลาโปรโมชันเฉพาะสินค้าสกินแคร์ในช่วงเวลานั้นให้กับลูกค้าคนนี้โดยเฉพาะโดยไม่ต้องส่งแบบเดียวกันให้กับทุกคน

                    Marketing Automation มีหน้าตาเป็นอย่างไร และทำงานอย่างไร ?

                    การใช้งาน Marketing Automation เริ่มต้นจากการ “ตั้งค่า Flow” หรือการกำหนดเส้นทางการทำงานที่เราต้องการให้ระบบดำเนินไปตามลำดับขั้นอย่างอัตโนมัติ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากมีลูกค้าใหม่กรอกแบบฟอร์มสมัครสมาชิกในเว็บไซต์ ระบบสามารถส่งอีเมลต้อนรับทันที และตั้งค่าให้อีก 7 วันถัดไปส่งอีเมลเสนอส่วนลดพิเศษ พร้อมทั้งอีก 14 วันถัดไปส่งข้อความผ่าน LINE OA เพื่อสอบถามความพึงพอใจ หรือเสนอข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติม—all แบบอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องทำเองทีละรายการให้เสียเวลา

                    ระบบนี้จะประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ ได้แก่:

                    • Trigger: จุดเริ่มต้นของกระบวนการ เช่น เมื่อลูกค้าลงทะเบียน

                    • Action: สิ่งที่ระบบจะดำเนินการ เช่น ส่งอีเมล, SMS หรือข้อความผ่าน LINE OA

                    • Condition/Filter: เงื่อนไขหรือการคัดกรอง เช่น เลือกเฉพาะลูกค้าที่เคยซื้อสินค้า A

                    • Wait: การกำหนดเวลารอ เช่น รอ 3 วันก่อนดำเนินการถัดไป

                    ในระบบที่มีความสามารถสูง ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าทั้งชุดนี้ให้เป็นเส้นทางหรือ Marketing Automation Journey ซึ่งมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับเป้าหมายทางการตลาดได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะต้องการส่งข้อความเพียงครั้งเดียว หรือสร้างแคมเปญที่ต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์หรือเดือน โดยช่องทางที่สามารถใช้ได้มีทั้ง Email, SMS, Facebook Messenger และ LINE OA ที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ

                    จุดเด่นอีกอย่างของระบบนี้คือความง่ายในการตั้งค่า แม้ผู้ใช้งานจะไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิคมาก่อนก็สามารถเรียนรู้ได้ในเวลาไม่นาน ด้วยหน้าตาการใช้งานที่เป็นแบบ Visual หรือ “ลาก-วาง” ผู้ใช้สามารถจัดลำดับขั้นตอนต่างๆ ได้เองโดยตรง เช่น หากเราต้องการส่ง SMS ไปหาลูกค้า 200 คนในตอนนี้ และรอจนถึงเดือนหน้าค่อยตามด้วยข้อความผ่าน LINE OA ก็สามารถใช้ฟังก์ชัน “Wait until” เพื่อให้ระบบหยุดรอในช่วงเวลาที่กำหนดก่อนดำเนินการต่อได้ทันที

                    ด้วยความยืดหยุ่นสูงและประหยัดเวลาแบบนี้เอง ทำให้ Marketing Automation กลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมในหมู่นักการตลาดยุคใหม่ ที่ต้องรับมือกับงานซ้ำซากแต่ยังต้องการความแม่นยำและประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

                    https://ortto.com/blog/what-is-marketing-automation/

                    Marketing Automation กับผู้บริโภค

                    จุดเด่นที่ทำให้ Marketing Automation แตกต่างจากการทำการตลาดแบบเดิมๆ คือการสร้าง “ประสบการณ์เฉพาะบุคคล” หรือที่เรียกว่า Personalized Marketing ซึ่งเกิดจากการที่ระบบสามารถวิเคราะห์และแบ่งกลุ่มลูกค้าได้อย่างละเอียด เรียกว่า Segmentation เช่น แบ่งกลุ่มตามเพศ อายุ ความสนใจ หรือพฤติกรรมการซื้อ

                    ตัวอย่างเช่น หากเรามีลูกค้าช่วงอายุ 18-24 ปี ที่ชื่นชอบสินค้าแฟชั่น เราก็สามารถส่งโปรโมชันหรือคอนเทนต์เฉพาะด้านแฟชั่นไปยังกลุ่มนี้เท่านั้น ขณะที่ลูกค้าอายุ 30+ ที่ชอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็จะได้รับข้อเสนอที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและใส่ใจในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่แค่ส่งข้อความโฆษณาแบบเดียวให้ทุกคน

                    นอกจากนี้ Marketing Automation ยังช่วยให้เราวัดผลได้ง่ายขึ้น เช่น เราสามารถดูว่าอีเมลที่ส่งไปมีอัตราการเปิดเท่าไร มีคนกดลิงก์หรือไม่ หรือแคมเปญที่ส่งผ่าน LINE OA ได้ผลตอบรับมากน้อยแค่ไหน ทำให้เราปรับปรุงกลยุทธ์ได้แบบเรียลไทม์ และสร้างแคมเปญที่ดีขึ้นในรอบถัดไป

                    ทิ้งท้าย

                    Marketing Automation ไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยีใหม่ที่น่าสนใจ แต่เป็นเครื่องมือที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจในยุคที่ลูกค้าคาดหวังความรวดเร็วและแม่นยำจากทุกการสื่อสาร สำหรับแบรนด์หรือเจ้าของกิจการที่ต้องการลดภาระงาน เพิ่มยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า ระบบนี้คือคำตอบ

                    หากคุณกำลังมองหาแนวทางเริ่มต้นหรือยังไม่แน่ใจว่าจะใช้ Marketing Automation อย่างไรดี ทีมงานของ ConnectX พร้อมให้คำปรึกษาฟรี พร้อมมอบส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงการตลาดให้อัตโนมัติมากขึ้นตั้งแต่วันนี้

                    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                      Yearly Budget

                      How do you know us?