Category Archives: other

Customers Journey จะลื่นไหลแค่ไหน ถ้ามี Marketing Automation?

Customers-Journey

Marketing Automation ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพใน Customers Journey ได้อย่างไร

วันนี้ทีมงาน Connect X จะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจว่า Marketing Automation หรือระบบการตลาดแบบอัตโนมัติ ไม่เพียงแต่ช่วยให้ทีมการตลาดทำงานได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกช่วงของ Customers Journey ได้อย่างเป็นรูปธรรม

หลายท่านอาจสงสัยว่า ระบบอัตโนมัติในการทำการตลาดจะช่วยประหยัดได้จริงหรือ? คำตอบคือ “จริง” และเห็นผลได้อย่างชัดเจน โดยหลักการสำคัญของ Marketing Automation คือการใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการกระบวนการทำงานที่ต้องทำซ้ำ เช่น การส่งอีเมล การจัดการข้อมูลลูกค้า หรือการส่งแคมเปญโฆษณา เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารเวลาและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

Marketing Automation คืออะไร?

Marketing Automation คือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการกิจกรรมทางการตลาดต่าง ๆ ให้ทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำ เพิ่มความแม่นยำในการสื่อสาร และช่วยให้ทีมการตลาดสามารถมุ่งเน้นไปที่การวางกลยุทธ์และการวิเคราะห์ผลลัพธ์ได้มากขึ้น

ระบบการตลาดอัตโนมัติสามารถครอบคลุมการทำงานหลากหลาย ตั้งแต่การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย การตั้งแคมเปญ การส่งข้อความส่วนบุคคล การติดตามผลลัพธ์ในแต่ละ Touchpoint ตลอด Customer Journey ไปจนถึงการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า ทั้งในรูปแบบออนไลน์ เช่น การส่งอีเมลอัตโนมัติ การแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน การแสดงโฆษณาแบบเจาะจง ไปจนถึงออฟไลน์ เช่น การออกคูปอง ณ จุดขาย หรือการเชื่อมต่อข้อมูลกับ Call Center

หนึ่งในจุดเด่นของ Marketing Automation คือความสามารถในการ “ปรับแต่ง” การสื่อสารให้ตรงกับพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้าในแต่ละราย เช่น การส่งข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าที่เคยดูสินค้าหมวดหมู่หนึ่งบ่อยครั้ง หรือการส่งอีเมลติดตามแบบเจาะจงไปยังลูกค้าที่เคยละทิ้งตะกร้าสินค้า

ระบบยังสามารถเชื่อมโยงกับ CRM และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ช่วยให้ธุรกิจมีภาพรวมของลูกค้าอย่างครบถ้วนในทุกช่องทาง ซึ่งส่งผลต่อการออกแบบแคมเปญที่แม่นยำ สื่อสารตรงกลุ่ม และวัดผลได้แบบเรียลไทม์

กล่าวได้ว่า Marketing Automation ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับ “ทำงานแทนคน” แต่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจและตอบสนองลูกค้าได้ในเวลาที่เหมาะสม ด้วยข้อความที่เหมาะสม และผ่านช่องทางที่ลูกค้าต้องการ ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย รักษาความสัมพันธ์ และขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางการตลาดอย่างเป็นระบบ

Marketing Automation ช่วยอะไรได้บ้าง?

การทำการตลาดในยุคดิจิทัลไม่ได้หยุดอยู่แค่การสื่อสารผ่านหลายช่องทาง แต่ต้องสามารถควบคุม จัดการ และส่งมอบประสบการณ์ที่ตรงจุดและทันเวลาให้กับลูกค้าในทุกช่วงของ Customers Journey และนี่คือ 3 สิ่งสำคัญที่ระบบ Marketing Automation เข้ามาช่วยได้อย่างชัดเจน:

1. รวบรวมและจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ

Marketing Automation ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในระบบเดียว ไม่ว่าจะมาจากการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ การกดคลิกโฆษณา หรือพฤติกรรมการใช้งานในแอปพลิเคชัน ข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกและเรียบเรียงอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ทีมการตลาดสามารถเข้าใจภาพรวมของลูกค้าแต่ละรายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของความสนใจ พฤติกรรมการซื้อ และช่องทางที่ใช้บ่อยที่สุด

2. สื่อสารแบบอัตโนมัติและเฉพาะบุคคล

หนึ่งในจุดเด่นของ Marketing Automation คือความสามารถในการส่งข้อความอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เช่น การส่งอีเมลต้อนรับทันทีเมื่อลูกค้าสมัครใช้งาน หรือการแจ้งเตือนเมื่อมีสินค้าค้างในตะกร้า ที่สำคัญคือระบบสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมและข้อมูลที่เก็บไว้ เพื่อส่งข้อความที่ “ตรงใจ” และ “ตรงจังหวะ” กับลูกค้าแต่ละราย เพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมและตัดสินใจซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

3. วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์

ระบบสามารถวิเคราะห์ผลตอบรับของแคมเปญในแต่ละขั้นตอน เช่น เปิดอีเมล คลิกลิงก์ หรือสั่งซื้อ และสรุปออกมาเป็นรายงานที่ใช้งานได้ทันที ทีมการตลาดสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาทำ A/B Testing ปรับข้อความ เลือกเวลาส่ง หรือจัดลำดับกลุ่มเป้าหมายใหม่ เพื่อให้แคมเปญครั้งต่อไปมีความแม่นยำยิ่งขึ้น และเชื่อมโยงกับ Customer Journey ได้ลื่นไหลกว่าเดิม

เมื่อรวมทั้งสามประเด็นเข้าด้วยกัน จะเห็นได้ว่า Marketing Automation ไม่เพียงช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุน แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่มีคุณภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ไปจนถึงการรักษาความสัมพันธ์ในระยะยาว

ทำไม Marketing Automation จึงเป็นหัวใจของ Customers Journey ที่มีประสิทธิภาพ

ในยุคที่ลูกค้ามีอำนาจในการเลือกสูงขึ้น และคาดหวังประสบการณ์ที่ราบรื่นจากทุกช่องทาง แบรนด์ที่สามารถเข้าใจและตอบสนองได้อย่างแม่นยำในแต่ละช่วงของ Customer Journey จะมีความได้เปรียบอย่างมาก การสื่อสารที่ “ตรงคน ตรงเวลา และตรงช่องทาง” ไม่เพียงช่วยสร้างความสนใจในช่วงแรกของการรับรู้แบรนด์เท่านั้น แต่ยังช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้นในระยะยาว

Marketing Automation เข้ามาเติมเต็มบทบาทนี้อย่างเป็นระบบ โดยทำหน้าที่เป็นกลไกเบื้องหลังที่ประมวลผลข้อมูลลูกค้าจากหลากหลาย Touchpoint แล้วนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการออกแบบแคมเปญการตลาดที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล เช่น การแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้อเดิม การส่งข้อความต้อนรับที่สื่อสารอย่างเป็นมิตร หรือแม้แต่การแจ้งเตือนเมื่อมีโปรโมชั่นที่ตรงความสนใจของลูกค้าในช่วงเวลาที่เหมาะสม

การมีระบบที่ช่วยบริหารกระบวนการเหล่านี้แบบอัตโนมัติ ไม่เพียงช่วยลดภาระของทีมงาน แต่ยังช่วยลดความผิดพลาดจากการทำงานแบบแมนนวล ขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกจุดสัมผัสของลูกค้ากับแบรนด์ “สื่อสารด้วยเสียงเดียวกัน” (consistent messaging) ไม่ว่าจะผ่านอีเมล แชท โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่หน้าร้านจริง

นอกจากนี้ Marketing Automation ยังทำให้แบรนด์สามารถวัดผลและประเมินความสำเร็จในแต่ละขั้นของ Customer Journey ได้แบบเรียลไทม์ แบรนด์จึงสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน และตอบสนองต่อความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างทันเหตุการณ์

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า Marketing Automation ไม่ใช่แค่เครื่องมือสำหรับ “การส่งข้อความอัตโนมัติ” แต่คือแกนกลางของการออกแบบประสบการณ์ลูกค้าในโลกที่ทุกการคลิก ทุกการเปิดอีเมล หรือทุกการสั่งซื้อ ล้วนมีความหมายต่อภาพรวมของธุรกิจ และเมื่อนำมาใช้ร่วมกับการวางแผน Customer Journey อย่างมีกลยุทธ์ ก็จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ขับเคลื่อน Customers Journey ด้วยระบบจาก Connect X

Marketing Automation ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่คือเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจยุคใหม่ต้องมี หากต้องการบริหาร Customers Journey ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และยืดหยุ่น เมื่อระบบสามารถทำหน้าที่แทนในเรื่องที่ซ้ำซ้อน ส่งข้อความได้ตรงจุด และวิเคราะห์ผลได้แบบเรียลไทม์ ธุรกิจจะมีเวลาและทรัพยากรเหลือพอในการโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “ลูกค้า”

ที่ Connect X เราเข้าใจดีว่าเส้นทางของลูกค้าไม่ใช่เรื่องง่าย การบริหารจัดการหลายช่องทางให้เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ จำเป็นต้องอาศัยทั้งเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและทีมที่มีความเข้าใจในระบบอย่างแท้จริง เราจึงพัฒนาโซลูชันด้าน Marketing Automation ที่ผสานกับระบบ CRM, CDP และ Social Chats ได้อย่างลงตัว พร้อมให้ธุรกิจของคุณขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ

หากคุณกำลังมองหาวิธีบริหาร Customer Journey ที่ไม่ใช่แค่ “ตามทัน” แต่ “นำหน้า” คู่แข่ง Connect X พร้อมให้คำปรึกษาและเดินไปกับคุณในทุกจุดสัมผัสของลูกค้าอย่างแท้จริง

ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

*รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

    Yearly Budget

    How do you know us?

    5 วิธีเลือกระบบ Customer Relationship Management CRM ให้ปังที่สุด

    CRM-Customer-Relationship- Management

    เจ้าของแบรนด์มือใหม่ที่อยากยกระดับการให้บริการจะเลือกระบบ Customer Relationship Management CRM ให้เหมาะสมได้อย่างไร? Connect X จะมาบอกให้รู้เอง!

    การให้บริการและการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดของธุรกิจยุคนี้เพื่อให้ “อยู่รอด” เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันล้วนต้องการการบริการที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการได้ทั้งนั้น หากแบรนด์ไหนที่ไม่สามารถให้บริการได้ดีเท่าที่ลูกค้าคาดหวัง ก็อาจจะต้องยุติธุรกิจลงเลยก็เป็นได้

    ในการบริหารความสัมพันธ์และให้บริการลูกค้านั้น แบรนด์จำเป็นต้องมีการ “จัดเก็บ” ข้อมูลและการ “จัดการ” ที่เหมาะสม ระบบ Customer Relationship Management (CRM) และกระบวนการ CRM จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามาเป็นตัวช่วยในการบริหาร จัดการข้อมูลลูกค้า และยกระดับการบริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่คำถามสำคัญคือเลือกระบบ CRM อย่างไร? ในบทความนี้ Connect X จะมาบอก 5 วิธีเลือกระบบ CRM ให้เจ้าของธุรกิจมือใหม่ได้ทราบกัน

    5 วิธีเลือกระบบ Customer Relationship Management

    หนึ่งในปัญหาหลักๆ ของแบรนด์เมื่อนำระบบ CRM เข้ามาใช้ในธุรกิจคือ พบว่าระบบไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ดีที่เท่าที่คิด ทั้งๆ ที่ลงทุนไปแล้วแต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนกลับมา เชื่อว่าเจ้าของธุรกิจทุกคนคงไม่ต้องการให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นการคัดเลือกระบบ Customer Relationship Management จึงเป็นขั้นตอนที่มองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด

    1. เริ่มจากคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ

    ก่อนจะเลือกระบบ CRM คุณควรเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ตัวเองว่า “เราเป็นใคร” และ “เราต้องการอะไร” เพราะแต่ละธุรกิจมีบริบทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ระบบ CRM ที่เหมาะกับร้านอาหารอาจไม่ตอบโจทย์ธุรกิจขายของออนไลน์ หรือบริการ B2B ขนาดใหญ่ก็อาจต้องการฟีเจอร์ที่ซับซ้อนกว่าร้านค้า B2C ขนาดเล็ก ดังนั้นคำถามที่ควรถามตัวเองก่อนมีดังนี้:

    • ธุรกิจของเราเป็น B2B หรือ B2C?
    • ทีมขายของเราทำงานผ่านช่องทางไหนบ้าง เช่น LINE OA, โทรศัพท์, อีเมล หรือหน้าร้าน?
    • มีทีมขายกี่คน และมีความสามารถด้านเทคโนโลยีแค่ไหน?
    • ข้อมูลลูกค้าแบบใดที่เราจำเป็นต้องเก็บ เช่น ประวัติการซื้อ ความสนใจ หรือพฤติกรรมการใช้งาน?
    • กระบวนการขายของเรามีกี่ขั้นตอน และใครเป็นผู้เกี่ยวข้องบ้าง?

    คำตอบเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าระบบ CRM แบบไหนควรเลือก เช่น หากทีมงานยังไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อาจต้องเลือกแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย และมีการเทรนนิ่งชัดเจนอย่าง Connect X CRM

    2. ลิสต์ความต้องการจากระบบ Customer Relationship Management CRM

    หลังจากเข้าใจธุรกิจของตัวเองแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเขียนรายการความต้องการจากระบบ CRM ให้ชัดเจนที่สุด เพราะ CRM ในตลาดมีมากมายหลากหลายเจ้า บางระบบเด่นด้านการเก็บข้อมูล บางระบบเด่นด้านการวิเคราะห์ หรือบางระบบออกแบบมาเพื่อการตลาดโดยเฉพาะ การมีลิสต์ที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณกรองตัวเลือกได้ง่ายขึ้น เช่น

    • ต้องการให้เชื่อมกับ Facebook, LINE OA, Shopee หรือระบบ POS ได้หรือไม่?
    • ระบบต้องมีแดชบอร์ดแบบ Real-Time หรือไม่?
    • ต้องการระบบ Marketing Automation ที่ส่งอีเมลหรือข้อความอัตโนมัติตามพฤติกรรมลูกค้าหรือเปล่า?
    • อยากให้มีระบบ AI ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าไหม?
    • ระบบต้องรองรับทีมงานหลายคนพร้อมกันหรือเปล่า?

    สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณไม่ตกหลุมพรางของ CRM ที่มีฟีเจอร์มากเกินไปแต่ไม่จำเป็นต่อธุรกิจ และยังช่วยลดต้นทุนในระยะยาวได้ด้วย

    3. ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน

    ความง่ายในการใช้งานเป็นหัวใจของระบบ CRM ที่ดี เพราะต่อให้ระบบจะมีความสามารถมากมายขนาดไหน ถ้าใช้งานจริงแล้วพนักงานสับสน ใช้ไม่เป็น หรือเสียเวลาในการอบรมมากเกินไป ก็จะกลายเป็นภาระมากกว่าประโยชน์ ควรพิจารณาดังนี้:

    • ระบบมีอินเทอร์เฟซเป็นมิตรต่อผู้ใช้ (User Friendly) หรือไม่?
    • มีภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่ทีมงานเข้าใจได้ง่ายไหม?
    • รองรับการใช้งานผ่านมือถือหรือแท็บเล็ตหรือไม่?
    • สามารถทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่นได้ไหม เช่น เชื่อมกับอีเมลอัตโนมัติ หรือ LINE OA แบบไม่ต้องเปลี่ยนแพลตฟอร์มไปมา?

    Connect X CRM ถูกออกแบบมาให้คนไทยใช้งานได้ง่าย มีการแสดงข้อมูลที่เข้าใจได้ทันที ลดเวลาในการเทรนนิ่ง และช่วยให้ทีมงานโฟกัสกับการดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มที่

    4. ทดลองใช้หรือขอ DEMO จากผู้ให้บริการ

    อีกหนึ่งข้อที่ห้ามมองข้ามคือ “การทดลองใช้ระบบจริง” หรืออย่างน้อยก็ขอให้ผู้ให้บริการจัด Demo ให้ก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของระบบก่อน ว่าฟีเจอร์ต่างๆ ทำงานอย่างไร และตรงกับความต้องการของทีมงานหรือไม่ บางระบบเปิดให้ทดลองใช้ฟรี 14 วัน หรือ 30 วัน ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะให้ทีมทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจจริง

    หากเป็นระบบที่ไม่ได้เปิดให้ทดลองใช้งานทันที คุณสามารถติดต่อทีมขายเพื่อขอ Demo หรือจัดประชุมอธิบายการใช้งาน ซึ่ง Connect X มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมนำเสนอและแนะนำระบบแบบเจาะลึกให้เข้าใจง่ายที่สุด

    5. การบริการหลังการขายก็สำคัญไม่แพ้ระบบ

    ถึงแม้ว่าระบบจะดีเพียงใด แต่ถ้าคุณไม่มีทีมสนับสนุนที่ไว้ใจได้ การใช้งานในระยะยาวก็อาจติดขัดได้ตลอดเวลา ผู้ให้บริการที่ดีควรมีศูนย์ช่วยเหลือลูกค้า (Customer Support) ที่เข้าถึงได้ง่าย มีช่องทางติดต่อหลากหลาย เช่น โทรศัพท์ อีเมล หรือแชตไลฟ์ และมีเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาเดียวกับคุณ พร้อมแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที

    นอกจากนี้ ควรตรวจสอบว่า มีการจัดเทรนนิ่งเบื้องต้นให้หรือไม่? มีคู่มือหรือวิดีโอการใช้งานหรือเปล่า? และมีทีม Customer Success ที่ติดตามการใช้งานหลังจากติดตั้งหรือไม่? Connect X CRM มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะเกิดปัญหาเมื่อไร ก็จะมีคนช่วยเหลืออยู่เสมอ

    Connect X ขอแนะนำว่า หลังจากตัดสินใจเลือกระบบได้แล้ว ควรวางแผนวันติดตั้งอย่างชัดเจน โดยเริ่มจากการกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนผ่านระบบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงานประจำวันของทีมขายหรือทีมบริการลูกค้า จากนั้นควรเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้พร้อมล่วงหน้า เช่น รายชื่อลูกค้า รายการสินค้า หรือข้อมูลการติดต่อสำคัญ เพื่อนำเข้าสู่ระบบใหม่ได้อย่างแม่นยำและเป็นระบบระเบียบ

    นอกจากนี้ อย่าลืมจัดการอบรมหรือเวิร์กชอปให้กับทีมงาน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจวิธีใช้งานระบบ ตั้งแต่การบันทึกข้อมูลลูกค้า การติดตามสถานะการขาย ไปจนถึงการใช้ฟีเจอร์การวิเคราะห์หรือระบบอัตโนมัติต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการเตรียมความพร้อมของทีม คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้การใช้งาน CRM เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่สะดุด และยังส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการขายและการดูแลลูกค้าในระยะยาว

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

      Yearly Budget

      How do you know us?

      First Party Data คืออะไร ?

      First-Party-Data

      ConnectX พาไปทำความรู้จักกับ First Party Data ว่าทำไมถึงมีสำคัญในยุคปัจจุบันและทุกๆองค์กรควรมีเป็นของตัวเอง

      First party data ก็คือ ข้อมูลที่คุณรวบรวมโดยตรงจากลูกค้า ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ และผู้ใช้แอปพลิเคชั่นต่างๆ ตามการโต้ตอบจริงของพวกเขากับธุรกิจของคุณผ่านจุดติดต่อต่างๆมากมาย (Touchpoint) ทั้งในอดีตและแบบเรียลไทม์ โดยสรุปแล้วสิ่งนี้ คือข้อมูลที่คุณรวบรวมด้วยความยินยอมของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ (Consent)

      “76% ของผู้บริโภคมีความพึงพอใจที่จะมอบข้อมูล (Consent) ให้กับธุรกิจเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่เหนือกว่าไปทำการ Personalize Marketing”

      ข้อมูลจาก First-party data ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างเนื้อหาที่มีความเป็น Personalize ได้สูงเป็นพิเศษรวมถึงการโฆษณาและที่สำคัญที่สุดคือประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อผู้ใช้แต่ละราย เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลที่แม่นยำที่สุดซึ่งคุณสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าได้ (เช่น สิ่งที่ลูกค้าสนใจ ปัญหาอะไรที่พวกเขากำลังเผชิญ ความต้องการและความชอบของพวกเขาคืออะไร) อย่างไรก็ตาม การรวบรวมข้อมูลและการดำเนินการที่ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจหรือตรงกับจริตของลูกค้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณมีกลไกและการปรับแต่งในเว็บไซต์ของคุณที่ตรงกับลูกค้าในขณะนั้นเพื่อถามพวกเขาว่าพวกเขาต้องการอะไรและพึงพอใจกับสิ่งใด

      ในอดีต เราได้พูดคุยกันว่าประสบการณ์ของลูกค้าได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดและรักษาลูกค้าไว้ได้อย่างไร และข้อมูลของบุคคลที่หนึ่ง  เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องมือสร้างประสบการณ์นั้น ในขณะที่ผู้บริโภคลังเลใจเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลในอดีต แต่ 76% ในปัจจุบันยินดีที่จะมอบข้อมูลนั้นให้กับธุรกิจเพื่อแลกกับประสบการณ์ ข้อเสนอ และผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า นี่คือสิ่งที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ทั้งเจ้าของธุรกิจและตัวลูกค้า

      “ช่องทางการสื่อสารแบบเปิดระหว่างลูกค้ากับธุรกิจและผลิตภัณฑ์จะต้องทำภายในช่วงเวลาและตามเงื่อนไขที่ถูกต้องและเหมาะสมเพราะเป็นสิ่งจำเป็นในการรวบรวมและควบคุมข้อมูลบุคคลที่หนึ่ง แต่การที่จะสร้าง Value ให้กับผลิตภัณฑ์จะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณเปิดใช้งานช่องทางการมีส่วนร่วมนั้นตลอด Journey ของลูกค้าทั้งหมด” – Anna Griffin ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Intercom

      ประสบการณ์การซื้อของลูกค้าในปัจจุบันไม่ใช่เป็นเส้นตรงแบบในอดีตอีกต่อไป ในปัจจุบันลูกค้าสามารถที่จะเจอประสบการณ์การซื้อได้จากหลากหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นทาง Website, Social หรือผ่านทาง E-commerce ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าอาจจะสอบถามข้อมูลผ่านทาง Social platform มีการคุยพูดคุยสอบถามรายละเอียดสินค้าแต่สุดท้ายแล้วลูกค้าซื้อของและชำระเงินผ่าน E-commece นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า CDP (Customer data platform) การผสานรวมข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่างๆให้มาอยู่ในที่ที่เดียว ซึ่งหมายความว่าบริบทของลูกค้าจะถูกติดตาม ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดในเส้นทางของลูกค้าหรือกำลังพูดคุยกับใคร แบรนด์พยายามทุกวิถีทางเพื่อนำเสนอประสบการณ์แบบ Omni-channel ที่ไร้รอยต่อ โดยผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจ (Senior) ประมาณครึ่งหนึ่งกล่าวว่าแบรนด์ของตนไม่มีความสามารถถ่ายทอดบริบท (Journey) ผ่านช่องทางต่างๆ นี่เป็นอุปสรรคสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากประมาณ 85% ของผู้ตอบแบบสำรวจทางธุรกิจยังระบุด้วยว่าลูกค้าของพวกเขาต้องการให้บริบทของพวกเขาติดตามจากช่องทางหนึ่งไปอีกช่องทางหนึ่งเพื่อประสบการณ์แบรนด์ที่ราบรื่น ดังนั้น การนำแหล่งข้อมูลมารวมกันในที่ที่เดียวช่วยให้ทีมของคุณสามารถโต้ตอบกับลูกค้าในลักษณะที่ยังคงตอบสนองความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

      ปัญหาของข้อมูล Third-party ในยุคปัจจุบัน

      ข้อมูล Third-party คือ ข้อมูลที่ถูกรวบรวมมาจากข้อมูล aggregators เป็นข้อมูลที่ซื้อจากแหล่งภายนอกที่ไม่ใช่ผู้รวบรวมข้อมูลดั้งเดิมของข้อมูลนั้น แต่ซื้อจากผู้รวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่ที่ดึงมาจากแพลตฟอร์มและเว็บไซต์อื่นๆ ที่สร้างขึ้น ผู้รวบรวมเหล่านี้จ่ายเงินให้ผู้เผยแพร่และเจ้าของข้อมูลอื่นๆ

      แต่ปัญหาของมันอยู่ที่ปัจจุบัน ข้อมูลที่ได้มามีเยอะเกินทำให้ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควรจะเป็นบวกกับในประเทศไทยเรามีการบังคับใช้กฏหมาย PDPA ซึ่งทำให้ยากต่อการจัดเก็บข้อมูลยิ่งขึ้นไปอีก

      ก่อนจะจากกันไปขอทิ้งท้ายไว้ตรงนี้ว่าในปัจจุบันทุกๆธุรกิจควรที่จะเริ่มรีบเก็บข้อมูล First-party เป็นของตัวเองได้แล้ว ใครที่มีข้อมูลเยอะก็จะยิ่งได้เปรียบเยอะในการแข่งขันในโลกธุรกิจปัจจุบันเนื่องจากข้อมูลไม่สามารถที่จะตามเก็บย้อนหลังได้ ดังนั้นถ้าธุรกิจไหนยิ่งมีข้อมูลของลูกค้าเยอะก็จะได้เปรียบในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

      ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

      *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

        Yearly Budget

        How do you know us?

        เจาะลึก! ความเป็นมาของ CRM Platform ที่ธุรกิจยุคใหม่ต้องมี

        Customer-Relationship-Management

        ระบบ CRM Platform ที่ธุรกิจทั่วโลกใช้งานอยู่ในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? แล้วเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์มากแค่ไหน? Connect X มีคำตอบ

        ปัจจุบันนี้กระบวนการตลาดสามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว เข้าถึงง่าย และตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น อันเนื่องจากข้อมูลดิจิทัลต่างๆ เช่น Cookies หรือ Big Data เป็นต้น รวมไปถึงเครื่องมือ Marketing Automation ต่างๆ ทั้งระบบ POS, ระบบ CDP, ระบบ CRM Platform ที่กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่นักการตลาดขาดไม่ได้ในยุคนี้

        Connect X จึงขอมาเจาะลึกถึงความเป็นมาของระบบ CRM หนึ่งในเครื่องมือสุดสำคัญของการตลาดยุคดิจิทัล

        ยุคการตลาดก่อน CRM Platform

        หากจะพูดถึงระบบ CRM หรือ Customer Relationship Management ก็ต้องย้อนกลับไปในยุคแรกๆ ของการตลาดหรือก็คือในช่วง “Product Era” ในช่วงปี 1860s – 1920s ที่ธุรกิจต่างๆ เน้นการผลิตสินค้าจำนวนมากในต้นทุนต่ำและอาศัยการนำเสนอถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของสินค้าเท่านั้น รวมถึงยังมีแนวคิดที่ว่า “หากผลิตได้ ก็ต้องมีคนซื้อ” ซึ่งอาจจะใช้ไม่ได้ผลนักในปัจจุบัน

        ต่อมาในช่วงปี 1920s-1940s เป็นยุคแห่ง “Sales Era” ที่ทุกคนจะโฟกัสไปที่การ “ขาย” ผ่านการทำโปรโมชันแบบหนักหน่วง ซึ่งทำให้สินค้าที่ไม่ค่อยได้ถูกเสาะหามากอย่าง เช่น ประกันชีวิตได้นำมาขาย หลายคนอาจคุ้นเคยกับเซลล์แมนที่จะไปขายของตามบ้านหรือที่เรียกว่า Hard Sell กันนั้นเอง

        เนื่องจากการ Hard Sell ไม่ได้เป็นแนวทางการตลาดที่ยั่งยืนมากนัก จึงได้เกิด “Marketing Era” ในช่วงปี 1950s – 1990s ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ได้มีการโฆษณามากขึ้น มีการตลาดอย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น แนวคิด Marketing Mix อย่าง 4P (Product, Promotion, Price, Place) ก็ได้เกิดขึ้นมาในยุคนี้เช่นกัน โดยจะโฟกัสไปที่การผลิตสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

        จุดเริ่มต้นของระบบ CRM

        แนวคิด CRM ได้ถือกำเนิดขึ้นช่วงปี 1990s หรือ “Relationship Marketing Era”  ซึ่งการตลาดนั้นจะเน้นการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว ระหว่างแบรนด์และลูกค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง Brand Loyalty ให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าหรือบริการอีกครั้งและไม่เปลี่ยนใจไปหาแบรนด์คู่แข่ง จึงส่งผลให้ Customer Relationship Management หรือการบริการความสัมพันธ์ลูกค้าเกิดขึ้นมานั่นเอง

        ตั้งแต่ตอนนั้นจนปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีระบบ CRM จึงได้เกิดขึ้นมาเพื่อช่วยบริหารความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าหรือบุคคลที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นลูกค้า ให้ทำได้ง่ายและเป็นระเบียบมากกว่าเดิมนั่นเอง

        ประโยชน์ของระบบ CRM

        ระบบ CRM เป็นทางออกของปัญหาต่างๆ ทั้งในด้านการขายสินค้าและปัญหาที่ลูกค้ามักจะพบเจอบ่อยๆ เพราะสามารถช่วยจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าจาก Point of Sales ได้อย่างเป็นระเบียบ ง่ายต่อการนำมาวิเคราะห์ ช่วยปรับปรุงการขายผ่าน Sales Funnel ได้ ติดตามการขาย จึงแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ในทันที

        นอกจากนี้ นักการตลาดยังสามารถนำข้อมูลที่ได้มาศึกษา ปรับเปลี่ยนกลวิธีการตลาด  ปรับปรุงแคมเปญและโปรโมชัน ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ทั้งยังมีส่วนช่วยในการตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนเท่าไหร่ต่อการรักษาฐานลูกค้าเดิม หรือสร้างฐานลูกค้าใหม่

        สิ่งที่ควรคำนึงในการทำ Customer Relationship Management

        ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันนี้ระบบ CRM นั้นมีฟีเจอร์มากมายเข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจ แต่ก็ยังคงมีปัญหาต่างๆ ที่อาจตามมาได้ ยกตัวอย่างเช่น

        • การจัดการข้อมูลมีความ “Silo” หรือแยกตามทีม ตามภาคส่วน และกระจัดกระจายไปตามแต่ละช่องทาง ส่งผลให้นักการตลาด เซลล์ขายของ และเจ้าของธุรกิจขาดความเข้าใจหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Customer Journey
        • แบรนด์ต้องเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้จาก CRM เข้าด้วยกัน ทั้ง Online และ Offline เพื่อให้เข้าใจ Touch Point ของลูกค้าอย่างแท้จริงหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นการมองแบบ Single View นั่นเอง

        ทั้งนี้เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงและลดโอกาสที่ปัญหาจะเกิดขึ้นระหว่าง Customer Journey ซึ่งจะทำให้ประสบการณ์การซื้อขายไม่เป็นไปอย่างที่คิด

        ข้อแนะนำในการพัฒนา CRM ให้มีประสิทธิภาพ

        การพัฒนา CRM ให้ดีขึ้นนั้นสามารถทำได้หลากหลายด้าน Connect X จึงขอมาแนะนำ 3 ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพัฒนา CRM ให้ดีกว่าเดิม

        1. ปรับปรุงทุก Touch Point มอบประสบการณ์ที่ดีตั้งแต่ต้นจนจบ

        ปัญหาการทำงานแบบ Silo ที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการวิเคราะห์​ Customer Journey และระบุ Touchpoint ที่สำคัญออกมา โดยเริ่มจากการใส่ข้อมูล ในแต่ละขั้นตอนที่ลูกค้ามี Interaction กับแบรนด์ เป็นการตอบคำถามดังต่อไปนี้

        • ลูกค้ากำลังคาดหวังอะไร?
        • ลูกค้าคิดอะไรอยู่หรือมีคำถามอะไรต่อสินค้า/บริการหรือไม่?
        • ลูกค้ารู้สึกอย่างไรในขณะนั้น?
        • ลูกค้ากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ผ่านช่องทางไหนบ้าง?

        2. รับฟัง Feedback จากลูกค้าและนำมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

        เสียงและคำตอบรับของลูกค้าถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะส่งผลต่อการพัฒนาของแบรนด์ในอนาคต ซึ่งแบรนด์สามารถนำ Feedback จากลูกค้ามาวิเคราะห์ สร้างประสบการณ์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบรับแบบ

        • Feedback ทางตรง – จาก Survey/Poll, คำติชม หรือวิจัยการตลาด
        • Feedback ทางอ้อม – คอมเมนต์บนโซเชียลมีเดีย, อีเมลที่ลูกค้าส่งถึงแบรนด์, การสนทนาจากทีม Call Center
        • Feedback แบบ Inferred – เว็บไซต์, หน้าร้านค้า หรือ Contact Center

        โดยแบรนด์ควรนำคำตอบรับทั้งหมดจากทุกช่องทางมาวิเคราะห์ร่วมกัน และทำการอัปเดตแบบเรียลไทม์ และมอบหมายให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้แก้ปัญหาอย่างรวดเร็วกว่าเดิม

        3. สร้างประสบการณ์แบบ Personalized ให้แต่ละบุคคล

        การมีระบบ CRM ที่ดี จะสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้เหมาะสมกับลูกค้ารายบุคคลได้ ขึ้นอยู่กับการเก็บข้อมูลที่มีคุณภาพ เพื่อนำมาวิเคราะห์และเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละคน ซึ่ง ระบบ CRM ในปัจจุบันก็มักจะทำงานควบคู่กับ CDP (Customer Data Platform) เพื่อการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ธุรกิจไม่จำเป็นต้อง Integrate หลายๆ ระบบเข้าด้วยกันให้ซับซ้อน

        อย่าง Connect X ที่เป็น CDP พร้อมด้วย Marketing Automation และระบบ CRM ครอบคลุมการตลาดออนไลน์ในทุกด้าน สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ Customer Insight ได้แบบ 360° เปลี่ยนจาก Unknown Customer เป็น Known Customer ได้ง่ายๆ มีระบบ Customer Journey แบบ Cross Channel หากส่งข้อความโปรโมชันหรือแคมเปญแล้วไม่มีการตอบรับ ระบบจะส่งผ่านไปยังช่องทางอื่นๆ ให้อัตโนมัติ สร้าง Brand Awareness, Conversion และรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวได้ย่างแน่นอน

        บทความอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ระบบ CRM (Customer Relationship Management)

        ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

        *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

          Yearly Budget

          How do you know us?

          ธุรกิจระวังไว้ จะเก็บข้อมูลลูกค้ายังไงไม่ให้ละเมิด PDPA Consent

          ธุรกิจระวังไว้ จะเก็บข้อมูลลูกค้ายังไงไม่ให้ละเมิด PDPA Consent

          ธุรกิจต้องเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าอย่างรอบคอบไม่ให้ผิด PDPA Consent เพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องและภาพลักษณ์ที่เสียหาย แล้วต้องคำนึงเรื่องอะไรบ้าง? มาดูกันเลย

          ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่าของธุรกิจ การเข้าถึงและใช้ข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้องกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ธุรกิจจำนวนมากต่างพึ่งพาการเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า สร้างแคมเปญการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) รวมถึงพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่อง “ความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล” หรือ PDPA ที่กฎหมายได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

          ทุกคนล้วนต้องการความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยทางข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นชื่อ เบอร์โทร อีเมล หรือพฤติกรรมการใช้งานออนไลน์ ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่กฎหมาย PDPA ให้ความคุ้มครองโดยตรง โดยกฎหมายฉบับนี้ได้เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 และครอบคลุมทุกธุรกิจที่มีการเก็บ รวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบออนไลน์หรือออฟไลน์

          หลายธุรกิจอาจยังไม่เข้าใจถึง “ขอบเขตของการละเมิด” ว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่การขายข้อมูลเท่านั้นที่ผิด แต่แม้กระทั่งการส่งอีเมลการตลาดโดยที่ลูกค้าไม่เคยให้ความยินยอม หรือการเก็บข้อมูลจากฟอร์มกรอกโดยไม่มีการแจ้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ก็ล้วนเข้าข่ายละเมิด PDPA ทั้งสิ้น

          สำหรับเจ้าของแบรนด์หรือผู้ประกอบการ การตระหนักรู้และเข้าใจเรื่อง PDPA ไม่ใช่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงโทษทางกฎหมาย แต่ยังเป็นการแสดงถึงความใส่ใจในสิทธิของลูกค้า และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ในระยะยาว

          บทความนี้ ConnectX จะพาคุณไปรู้จักสิ่งสำคัญที่ธุรกิจต้องคำนึงเมื่อจะเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้องตาม PDPA และแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยให้คุณไม่พลาดจนต้องเสียทั้งเงินและชื่อเสียง

          หน้าที่ของธุรกิจในการเก็บข้อมูลลูกค้า

          อย่างที่ทราบกันดี PDPA คือกฎหมายที่ถูกร่างมาเพื่อให้ความปลอดภัยต่อเจ้าของข้อมูล ป้องกันไม่ให้ผู้ประสงค์ร้ายนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือใช้ข่มขู่เพื่อหวังผลประโยชน์ สำหรับแบรนด์ในฐานะ “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller)” มีหน้าที่อันแสนสำคัญต่อลูกค้า (เจ้าของข้อมูล) ตามกฎหมาย PDPA ในการรับผิดชอบข้อมูลต่างๆ ที่ได้มา ไม่ว่าจะเป็น

          • ระบุวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลให้ชัดเจนและครบถ้วน
          • ในกรณีที่ต้องขอความยินยอม ธุรกิจต้องมอบอิสระแก่เจ้าของข้อมูลในการเลือกให้ความยินยอม
          • ธุรกิจควรเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ และลบข้อมูลทั้งหมดเมื่อถึงกำหนดระยะเวลาที่ได้แจ้งเอาไว้
          • แจ้งเจ้าของข้อมูลให้ทราบถึงสถานที่ติดต่อและผู้ดูแลหรือผู้ประสานงานข้อมูล
          • ต้องเก็บของมูลจากเจ้าของเท่านั้น (1st Party Data) ไม่สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าจากแหล่งอื่นๆ ได้ เช่น การซื้อข้อมูลจากที่อื่น  ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น ก็ต้องแจ้งขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลโดยเร็วที่สุด หรือภายใน 30 วัน

          นอกจากความรับผิดชอบต่อข้อมูลเหล่านี้แล้ว ธุรกิจควรทำการกำหนดนโยบายในการเก็บข้อมูลอย่างชัดเจนที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือความเข้าใจผิดในภายหลังนั่นเอง ทั้งนี้ทุกฝ่ายในองค์กรหรือธุรกิจต้องรับรู้และเข้าใจตรงกัน

          ธุรกิจต้องคำนึงถึง PDPA Consent ก่อนเริ่มเก็บข้อมูลลูกค้า

          เมื่อทราบถึงหน้าที่ในด้านต่างๆ ที่ธุรกิจต้องปฏิบัติต่อเจ้าของข้อมูลแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่นและอยู่ภายใต้ PDPA โดยเริ่มจากบุคคลภายในองค์กรหรือบริษัท ดังนี้

          1. กำหนดมาตรฐานในการเก็บรักษาข้อมูล

          เมื่อข้อมูลสามารถเก็บรวบรวมได้จากหลายแหล่ง อาทิ การสมัครสมาชิกบนเว็บไซต์ ข้อมูลที่ลูกค้าให้ผ่านแชท หรือการกรอกแบบฟอร์ม ธุรกิจควรที่จะสร้างมาตรฐานในการเก็บและรักษาข้อมูลต่างๆ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างความปลอดภัยให้แก่เจ้าของข้อมูลแล้ว ยังทำให้ง่ายต่อการที่ธุรกิจจะต่อยอดกิจกรรมทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยอาจทำผ่านระบบ CRM หรือระบบ CDP เป็นต้น

          2. ระบุข้อมูลที่จำเป็นต้องเก็บรวบรวม

          แต่ละฝ่ายในองค์กรต้องการข้อมูลที่แตกต่างไปเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ฝ่ายการตลาด, ฝ่ายขาย ฝ่ายบัญชี หรือฝ่ายบริการลูกค้า ล้วนต้องการชุดข้อมูลที่ไม่ซ้ำกัน เจ้าของธุรกิจจึงควรให้แต่ละฝ่ายระบุข้อมูลที่จำเป็นต้องเก็บและระยะเวลาที่เก็บข้อมูลที่ชัดเจน ก่อนร่างนโยบายการเก็บรวบรวมข้อมูล

          3. จัดแยกประเภทของข้อมูล

          กฎหมาย PDPA นั้นครอบคลุมทั้งข้อมูลในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ ธุรกิจควรจัดแบ่งประเภทของข้อมูลอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่จัดเก็บผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลที่จับต้องได้ (Hard Copy) จนกระทั่งรูปแบบข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป และข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว (Sensitive Personal Data) เพื่อสร้างความเป็นระเบียบ อีกทั้งทำให้มีหลักฐานพิสูจน์อำนาจในการจัดเก็บข้อมูลตามระยะเวลาที่กำหนดด้วย ซึ่งหากมีแพลตฟอร์มหรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการข้อมูลที่เป็นไปตามกฎระเบียบของ PDPA จะช่วยธุรกิจได้อย่างมากเลยทีเดียว

          4. จัดตั้งเจ้าหน้าที่ Data Protection Officer

          เมื่อกฎหมาย PDPA ถูกบังคับใช้ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล หรือ Data Protection Officer (DPO) นั้นควรเป็นส่วนหนึ่งของทุกธุรกิจ โดยเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมาย PDPA และ GDPR โดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นผู้ที่คอยให้คำปรึกษากับธุรกิจ คอยแนะนำหากบริษัทยังปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบ และสามารถช่วยเหลือประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในกรณีที่ข้อมูลลูกค้าถูกล่วงละเมิด

          5. สร้าง Privacy Policy ให้สอดคล้อง PDPA Consent

          เชื่อว่าหลายธุรกิจคงคุ้นเคยกับการร่างนโยบายความเป็นส่วนตัวหรือ Privacy Policy กันแล้ว แต่หากเป็นธุรกิจใหม่หรือยังไม่เคยร่างนโยบาย ก็ควรทำนโยบายให้ชัดเจนและสอดคล้องกับ PDPA ไม่ว่าจะเป็นการเก็บรักษาหรือการลบข้อมูลก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกค้าไม่ได้ใช้บริการหรือยกเลิกสมาชิกแล้ว ก็ให้มีการกำจัดข้อมูลลูกค้าและข้อมูลการใช้บริการภายใน 3 ปี รวมไปถึงข้อมูลที่อ่อนไหวต่างๆ ทั้งนี้ระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลก็แตกต่างกันไป เจ้าของธุรกิจจึงควรศึกษาก่อนอย่างรอบคอบหรือปรึกษาเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลก่อนร่างนโยบายนั่นเอง

          จะเห็นได้ชัดเจนว่านโยบายการเก็บรักษาข้อมูลและ PDPA เป็นสิ่งสำคัญต่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าอย่างมาก เพียงธุรกิจทำความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายได้ก็จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะละเมิดข้อมูลของลูกค้าได้ ทั้งยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจแก่แบรนด์ในสายตาผู้บริโภคด้วย

          ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

          *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

            Yearly Budget

            How do you know us?

            “ถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา” Marketing SMS เรียกลูกค้า แค่เห็นก็ต้องหยุดอ่าน!

            Marketing-SMS

            แม้ว่าในยุคนี้ผู้คนจะคุ้นเคยกับแอปแชทและโซเชียลมีเดีย แต่คุณอาจแปลกใจว่า “SMS” ยังคงเป็นหนึ่งในช่องทางที่เข้าถึงลูกค้าได้ดีที่สุด — รวดเร็ว ตรงตัว และมีอัตราการเปิดอ่านสูงมากเมื่อเทียบกับช่องทางดิจิทัลอื่น ๆ วันนี้ ConnectX จะพาคุณไปเจาะลึกว่า Marketing SMS ไม่เพียงแต่ยังมีประสิทธิภาพอยู่ในยุคปัจจุบัน แต่หากใช้ร่วมกับแนวคิดการตลาด Personalized ที่ขับเคลื่อนด้วย First-Party Data ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์และกระตุ้นยอดขายได้อย่างทรงพลังเช่นเดิม

            ทำไมการตลาดผ่าน SMS ยังได้ผลในยุคที่ทุกคนใช้แอปแชท?

            หลายคนอาจรู้สึกว่า SMS เป็นช่องทางที่ “เก่า” ไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง ลูกค้าส่วนใหญ่ยัง ได้รับ SMS อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือน OTP โปรโมชัน บริการหลังการขาย หรือข้อความจากแบรนด์

            ข้อได้เปรียบที่สำคัญคือ SMS เข้าถึงได้ทันที ไม่ต้องใช้แอป ไม่ต้องรอเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และมีอัตราการเปิดอ่าน (Open Rate) สูงถึง 90–98% ภายในไม่กี่นาทีแรก

            หากใช้ร่วมกับข้อมูลลูกค้า (Customer Data) อย่างมีระบบ SMS ก็จะกลายเป็น “ช่องทางทอง” ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะใช้เพื่อดึงลูกค้าเก่ากลับมา หรือแจ้งสิทธิประโยชน์ใหม่อย่างตรงใจ

            ส่ง Marketing SMS ให้เวิร์ก ต้อง “ถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา”

            หัวใจของการทำการตลาดผ่าน SMS ให้ได้ผล คือการส่งข้อความที่ เกี่ยวข้องกับตัวลูกค้าจริง ๆ ไม่ใช่การ Broadcast แบบหว่าน ซึ่งสร้างความรำคาญมากกว่าผลลัพธ์

            1. ส่งถูกคน
            ส่งถึงลูกค้าที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ หรือมีแนวโน้มซื้อซ้ำ ไม่ใช่ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายทั่วไปที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุน

            2. ส่งถูกเวลา
            เลือกช่วงเวลาที่ลูกค้ามักตอบสนอง เช่น เวลาพักกลางวัน เย็นวันศุกร์ หรือช่วงก่อนถึงโปรโมชันหมดเขต — ความเหมาะสมของ “จังหวะเวลา” คือสิ่งที่เปลี่ยน Conversion ได้จริง

            3. ส่งถูกใจ
            ข้อความที่ดีควรสั้น กระชับ และมี “คุณค่า” เช่น คูปองส่วนลด, สิทธิพิเศษเฉพาะคุณ, หรือข้อความที่สร้างแรงจูงใจให้คลิกอ่านและซื้อ

            การทำ SMS แบบ Personalized จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและลดโอกาสที่ลูกค้าจะละเลยหรือบล็อกข้อความของคุณ

            ทำการตลาดผ่าน SMS ให้ง่ายขึ้นด้วย ConnectX

            ด้วยแพลตฟอร์ม Marketing Automation ของ ConnectX คุณสามารถ:

            • ใช้ข้อมูลลูกค้าจาก CDP เพื่อเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ

            • ตั้งค่ากำหนดเวลาในการส่ง SMS ล่วงหน้า พร้อมเลือกเงื่อนไขซับซ้อน เช่น พฤติกรรมล่าสุด หรือการเปิดแคมเปญครั้งก่อน

            • สร้างข้อความ SMS ที่แตกต่างกันตาม Segment เช่น ลูกค้าใหม่ ลูกค้า VIP หรือกลุ่มที่ห่างหายไป

            ที่สำคัญคือ ConnectX มีระบบ Tracking ที่ช่วยให้คุณวัดผลลัพธ์ของการส่ง SMS ได้ทันที ทั้งในแง่การเปิดอ่าน คลิก และ Conversion ทำให้คุณสามารถวางกลยุทธ์ครั้งถัดไปได้แม่นยำยิ่งขึ้น

            Marketing SMS คือโอกาสที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

            ในโลกที่ลูกค้าได้รับข้อมูลจากทุกทิศทุกทาง การสื่อสารที่สั้น กระชับ และ “เฉพาะเจาะจงกับเขา” จะยิ่งสร้างผลลัพธ์ได้ดี การทำการตลาดผ่าน SMS ที่ดีไม่ใช่การส่งให้มากที่สุด แต่คือการ “ส่งให้ถูกที่สุด” ทั้งคน เวลา และเนื้อหา

            ConnectX ช่วยให้คุณทำแคมเปญแบบนั้นได้ — ครบ จบ ง่าย และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง เพื่อให้ทุกข้อความที่ส่งออกไปคือการเชื่อมสัมพันธ์ และทุกครั้งที่ลูกค้าเห็น SMS ของคุณ…คือโอกาสในการกลับมาซื้อซ้ำอีกครั้ง

            เมื่อใช้ร่วมกับระบบ Customer Data Platform (CDP) ของ ConnectX ธุรกิจสามารถวิเคราะห์และคัดเลือกกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เพิ่งมีปฏิสัมพันธ์ล่าสุด, กลุ่มที่มีแนวโน้มจะซื้อซ้ำ, หรือกลุ่มที่ห่างหายไป ระบบสามารถระบุพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละรายและสร้างข้อความ SMS ที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคลได้ในทันที ส่งผลให้แคมเปญมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการยิงข้อความแบบหว่านซ้ำซาก

            นอกจากนี้ การผสาน Marketing SMS เข้ากับกลยุทธ์ Omnichannel ยังช่วยให้ทุกช่องทางการสื่อสารของแบรนด์ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าลูกค้าจะเริ่มต้นจากอีเมล โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ SMS ก็สามารถเป็น “จุดกระตุ้น” ที่ย้ำความสนใจในช่วงเวลาที่เหมาะสม และเปลี่ยนการรับรู้ให้กลายเป็นการตัดสินใจซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

            ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจของคุณจะเปลี่ยนทุกข้อความให้กลายเป็นโอกาสทางรายได้ ด้วยการทำการตลาดผ่าน SMS ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง — ไม่ใช่แค่ส่ง แต่ส่งให้ถูกจังหวะ ถูกกลุ่ม และตรงใจลูกค้าแบบที่พวกเขาอยากคลิกกลับมาหาคุณ

            เริ่มสร้างแคมเปญ SMS แบบแม่นยำ ด้วย ConnectX วันนี้
            ครบ จบ ในที่เดียว ทั้ง CDP + Marketing Automation + Insight ลูกค้าแบบเรียลไทม์
            พร้อมให้คุณเชื่อมต่อทุกบทสนทนา และเปลี่ยนทุกข้อความให้สร้างผลลัพธ์ได้จริง

            ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

            *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

              Yearly Budget

              How do you know us?

              CRM Tool สะสมแต้ม: กลยุทธ์การตลาดที่แบรนด์ยุคใหม่ต้องมี!

              crm-tool

              ใครที่เคยมีประสบการณ์การเข้าร้านสะดวกซื้อทุกวัน คงเคยได้ยินกับคำพูดที่ว่า “สะสมแต้มไหมคะ?” กันเป็นประจำ เพราะนี่ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สะสมแต้มของแบรนด์และร้านค้าที่ช่วยสานสัมพันธ์ให้กับลูกค้าเก่าแล้วยังเป็นแรงจูงใจในการดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ให้กลับมาซื้อสินค้าหรือบริการซ้ำอีกครั้ง ช่วยให้ลูกค้าไม่หันไปซื้อสินค้าหรือบริการจากคู่แข่งอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในระบบ CRM Tool (Customer Relationship Management) ที่สามารถช่วยปรับปรุงกระบวนการขายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

              ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่คือนิยมการสะสมแต้มเพื่อลุ้นรางวัลที่ดึงดูดใจ  ทำให้เกิดการอุดหนุนสินค้าของร้านนั้นซ้ำๆ อย่างเช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ หรือปั๊มน้ำมัน ดังนั้นระบบ CRM Tool สะสมแต้มจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นในบทความนี้ Connect X จะพาทุกคนไปรู้จักกับกลยุทธ์สะสมแต้มให้มากขึ้น ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

              ระบบ CRM Tool สะสมแต้ม คืออะไร?

              ระบบ CRM สะสมแต้มหรือการสะสมแต้มเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ธุรกิจประเภท SME นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถเข้าช่วยเหลือธุรกิจในกระบวนการทำ CRM ได้เป็นอย่างดีแถมยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ระบบสมาชิกสะสมคะแนน ให้ลูกค้าแลกรับสิทธิพิเศษ ทำให้เป็นการเพิ่มยอดขายและกำไรในการกลับมาซื้อสินค้าหรือบริการซ้ำของลูกค้า

              ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาอันยากลำบากของผู้ประกอบการหลายคน ที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่บีบให้การแข่งขันการทำการตลาดออนไลน์ของธุรกิจต่างๆ มีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักการตลาดส่วนใหญ่ต้องรู้จักที่จะมีการปรับแผนการตลาดเพื่อให้เตรียมพร้อมและรับมือกับความเข้มข้นของการแข่งขันที่สูงนี้ “ไม่ใช่แค่ให้เท่าทัน แต่ต้องก้าวข้ามและยืนอยู่เหนือคู่แข่งเสมอ” ฉะนั้นไม่ใช่แค่เพียงการหาลูกค้าหน้าใหม่ แต่ยังต้องรักษาความภักดีต่อแบรนด์ให้เหนียวแน่น ดังนั้นการทำการตลาดแบบสะสมแต้มจึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ทุกแบรนด์ควรรู้จักและนำไปปรับใช้เพื่อให้ประสิทธิภาพในการขายสูงขึ้นเหนือกว่าใคร

              ประโยชน์ของการตลาดแบบสะสมแต้มผ่าน CRM Tool

              หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงพอที่จะเข้าใจกลยุทธ์การสะสมแต้มเบื้องต้นกันบ้างแล้วใช่ไหม ดังนั้นมาดูกันดีกว่าว่าหากแบรนด์รู้จักใช้กลยุทธ์นี้ให้ถูกทางจะมีผลดีอย่างไร

              • การตลาดแบบสะสมแต้มได้ผลดีกว่าการให้ส่วนลด จากงานวิจัยที่น่าเชื่อถือหลายแห่งระบุตรงกันว่า ความพึงพอใจของผู้บริโภคของการทำการตลาดแบบสะสมแต้มดีกว่าการให้ส่วนลด เนื่องจากเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าลดราคาแล้ว ลูกค้าไม่จำเป็นต้องกลับมาซื้อซ้ำอีก หรือบางรายอาจอยากทดลองซื้อสินค้าของแบรนด์คู่แข่งก็ได้ แต่หากเป็นการสะสมแต้มจากการซื้อสินค้าหรือบริการในครั้งแรก จะเป็นการจูงใจที่ดีเพื่อสร้างความพอใจและมีโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้าและบริการอีกในครั้งต่อไป
              • เป็นการตลาดโดยตรงที่คุ้มค่าการเงินที่ลงทุน การทำการตลาดแบบสะสมแต้มจะช่วยให้ธุรกิจได้เงินจากการใช้จ่ายของลูกค้าอย่างแน่นอนและค่อยตอบแทนกลับด้วยรูปแบบของสิทธิ์พิเศษจากแต้มสะสม ซึ่งต่างจากการลงทุนโฆษณาในแบบอื่นๆ ที่จะต้องลงทุนไปก่อน แล้วค่อยลุ้นว่าจะปังหรือแป๊ก แต่อย่างไรก็ตาม ควรรู้เอาไว้ว่าการตลาดแต่ละรูปแบบก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนดำเนินการรูปแบบใดๆ ก่อนเสมอ
              • ต่อยอดไปยังกระบวนการวิเคราะห์พฤติกรรม แน่นอนว่าในปัจจุบันกลยุทธ์การสะสมแต้มมักเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ของระบบ CRM ทำให้มีการเก็บข้อมูลต่างๆ ของลูกค้ามาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำไปใช้ในการทำการตลาดเชิงลึกโดยต้องอิงตามข้อกำหนดของ PDPA ต่อไป

              Connect X กับ Loyalty Connect

              สำหรับใครที่สนใจเราขอพาทุกท่านมารู้จักกับโปรแกรม Connect X ที่เป็นระบบ CDP สำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการยืนอยู่เหนือคู่แข่ง จึงได้ออกแบบโปรแกรมที่พร้อมรองรับผู้ประกอบการธุรกิจที่ต้องการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ที่ช่วยวิเคราะห์และเก็บข้อมูลลูกค้า พร้อมทำ Real Time Marketing แบบทันที มีฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะบริการ Loyalty Connect ที่รองรับการทำ Loyalty Program อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น

              • ระบบเก็บ Point ที่ช่วยจัดการคะแนนสะสมของลูกค้าหรือหากลูกค้ามีระบบสะสมคะแนนอยู่แล้วก็สามารถนำมาเชื่อมต่อกับ Connect X ได้ทันที
              • ระบบ Tier  เป็นระบบจัดลำดับความสำคัญของลูกค้า สามารถแบ่งออกเป็น Bronze, Silver, Diamond ทำให้สามารถตั้งสิทธิพิเศษตามขั้นต่างๆ เพื่อเป็นแรงดึงดูดใจลูกค้าได้
              • ระบบจัดการ Point สามารถเซ็ต Point ได้ทั้งในรูปแบบการเก็บและการแลก เช่น ลูกค้าซื้อสินค้ารวม 1,000 บาท ได้ 10 Points และการเซ็ตรางวัลเอาไว้เพื่อให้ลูกค้าใช้แต้มในการแลกสิทธิ์
              • ระบบ API Connect สามารถเชื่อมต่อกับระบบการแลก Point อื่นๆ ได้ เช่น POS, Website และ Application
              • ระบบ Marketing Automation เมื่อลูกค้าใช้ Point ข้อมูลจะถูกส่งมาที่ระบบของ Connect X เพื่อทำ Marketing Automation ต่อได้ทันที
              • ระบบ Point Expire สามารถกำหนดวันหมดอายุ Point ของลูกค้าได้และสามารถแจ้งเตือนลูกค้าในกรณีต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ Point ใกล้หมดอายุ แจ้งเตือนให้กลับมาซื้อสินค้าซ้ำเพื่อให้ได้แต้มครบตามกำหนด เป็นต้น
              • ระบบ Gift Management  เซ็ตของรางวัลเพื่อใช้ในแคมเปญต่างๆ ได้ตามต้องการ

              ต้องบอกว่าในโลกของการตลาดออนไลน์ กลยุทธ์การสะสมแต้มพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงและปรับใช้ได้กับทุกธุรกิจ ตั้งแต่ SME จนถึงบริษัทชั้นนำที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย หากคุณเป็นผู้ประกอบการมือใหม่ที่กำลังมองหาระบบ CRM เพื่อช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ พร้อมรักษาฐานลูกค้าเก่าให้มั่นคง Connect X คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม สามารถขอรับตัวอย่าง Demo จากทีมงานได้ทันที เพื่อเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน

              ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

              *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                Yearly Budget

                How do you know us?

                Marketing Automation มีอะไรบ้าง ? เปิดกรณีศึกษาจากแบรนด์ดังระดับโลก

                Marketing-Automation-มีอะไรบ้าง

                Marketing Automation มีอะไรบ้าง ? เปิดกรณีศึกษาจากแบรนด์ดังระดับโลก

                Connect X ขอนำเสนอเคล็ดลับเด็ดจาก 3 แบรนด์ระดับโลกที่ใช้ Marketing Automation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นแนวทางให้ธุรกิจไทยสามารถนำไปปรับใช้ เพิ่มยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืน

                ในยุคที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานของชีวิต ผู้คนสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้จากทุกมุมโลก ภาคธุรกิจเองก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน การแข่งขันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่เดียวหรือประเทศเดียวอีกต่อไป แต่กลายเป็นการแข่งขันในระดับโลก ลูกค้าในวันนี้มีทางเลือกมากมาย และสามารถเข้าถึงสินค้าหรือบริการจากที่ไหนก็ได้ ทำให้ธุรกิจต้องหาวิธีเข้าถึงและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากขึ้น

                หนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความได้เปรียบอย่างชัดเจนคือ “การตลาดแบบอัตโนมัติ” หรือ Marketing Automation ซึ่งสามารถเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าตัวจริง และส่งมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์แบบเฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ

                Marketing Automation มีอะไรบ้าง และทำงานอย่างไร?

                Marketing Automation คือการใช้ซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยบริหารกิจกรรมทางการตลาดให้เป็นระบบและแม่นยำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลลูกค้า การวิเคราะห์พฤติกรรม ไปจนถึงการส่งแคมเปญหรือข้อเสนอให้ลูกค้าแต่ละรายในช่วงเวลาที่เหมาะสม ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Email, SMS, Social Media หรือเว็บไซต์

                แพลตฟอร์ม Marketing Automation ส่วนใหญ่มักมาพร้อมระบบเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า เช่น การเข้าชมหน้าเว็บไซต์ การคลิกดูสินค้า การเพิ่มของลงตะกร้า หรือการสมัครรับข่าวสาร จากข้อมูลเหล่านี้ ระบบจะคำนวณเป็นคะแนนที่เรียกว่า Lead Score เพื่อประเมินความสนใจของลูกค้าในแต่ละราย

                เมื่อคะแนนถึงเกณฑ์ ระบบจะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น การส่งอีเมลพร้อมโปรโมชันเฉพาะบุคคล การนำเสนอสินค้าแนะนำ หรือแม้แต่การทักแชทแบบ Real-time เพื่อปิดการขาย ซึ่งเป็นตัวอย่างของการทำ Personalized Marketing ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยน “ผู้สนใจ” ให้กลายเป็น “ลูกค้า” ได้มากขึ้น และทำให้ประสบการณ์ของผู้บริโภคในแต่ละขั้นตอนมีความราบรื่นและตรงใจมากยิ่งขึ้น

                เคล็ดลับ Marketing Automation จากแบรนด์ดังระดับโลก

                เมื่อรู้แล้วว่า Marketing Automation คืออะไร ถ้าอย่างนั้นขอพาเจ้าของแบรนด์ทุกท่านมาดูกันว่าแบรนด์ยอดนิยมระดับโลกใช้งานระบบนี้เพื่อเอาใจลูกค้าได้อย่างไรบ้าง โดย Connect X ได้คัดมาให้แล้ว 3 แบรนด์ดัง ได้แก่

                1. Netflix

                กรณีศึกษา Marketing Automation ที่ดีแบรนด์หนึ่งคือ Netflix เว็บสตรีมมิ่งที่มียอดผู้ใช้งานเป็นอันดับ 1 ของโลก ที่พัฒนาจากร้านเช่าวิดีโอเล็กๆ จนกลายเป็นแอปฯ ติดมือถือของคนทั่วโลก ตัวช่วยสำคัญให้ Netflix สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้งานในทุกวันนี้ได้ คงหนีไม่พ้น Marketing Automation ที่ช่วยเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และประมวลผล ไปสู่การสร้างเนื้อหาแบบเฉพาะเจาะจงแบบรายบุคคล (Personalized Content) ได้เป็นอย่างดี เคล็ดลับของ Netflix คือ

                • การสร้างประสบการณ์เหนือระดับ Netflix ได้สร้างประสบการณ์ที่มีเฉพาะ “คุณ” เท่านั้น ด้วยการใช้ Marketing Automation รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI ขั้นสูง มีการใช้อัลกอริทึมที่ปรับแต่งมาอย่างดี เพื่อให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากที่อื่น สังเกตเห็นได้จากฟีเจอร์แนะนำหนังที่ผู้ชมน่าจะชอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก เพราะมีความแม่นยำสูงและตรงใจ โดยระบบนี้ส่งผลให้มีการรับชมเนื้อหามากถึง 80% บนแพลตฟอร์ม การสร้างประสบการณ์แบบเฉพาะแบบรายบุคคลอย่างละเอียดรูปแบบนี้ เกิดขึ้นจากการสร้างโปรไฟล์โดยการให้ผู้ชมเลือกประเภทของความชอบ ที่หลากหลาย ด้วยตัวกรองที่มีความยืดหยุ่นสูง เมื่อผู้ชมเลือกประเภทของหนังและตัวอย่างหนังที่ชอบ จะทำให้มีการจัดประเภทของความชอบที่เหมาะสมได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ทุกกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นประวัติการเข้าชม รายการที่ชื่นชอบ และการตั้งค่าแจ้งเตือน ทั้งหมดจะถูกนำมาประมวลผล เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ชมที่ดียิ่งขึ้น
                • มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมด้วย Email Marketing เคล็ดไม่ลับที่เหล่าแบรนด์ดังใช้กันอย่างแพร่หลาย และยังคงได้ผลดีคือการใช้ Email Marketing ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนตั้งแต่การสมัครสมาชิกเสร็จสิ้น ด้วยการส่งอีเมลต้อนรับ หลังจากนั้น Netflix จะทำการจัดแบ่งกลุ่มของผู้ชม แล้วจึงส่งเนื้อหาที่แนะนำและข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไปให้ โดยอ้างอิงจากความชอบของผู้ชมแต่ละบุคคล นอกจากนี้ยังมีการส่งเนื้อหาแนะนำที่ดึงดูดผู้คนด้วยเนื้อหาที่ติดเทรนด์ของภายในประเทศและติดเทรนด์ทั่วโลก รวมถึงการแนะนำเนื้อหาที่สอดคล้องกับเทศกาลต่างๆ เช่น คริสต์มาส ฮาโลวีน วาเลนไทน์ และอื่นๆ ซึ่งวิธีนี้ช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมที่ห่างหายไปกลับมารับชมใหม่ได้อย่างเห็นผล

                2. Panasonic

                แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง Panasonic ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ไม่เพียงแต่การมียอดขายจำนวนมากจากรูปแบบ B2C (Business-to-Customer) เท่านั้น แต่ยังมียอดขายจากบริษัทกว่า 300,000 แห่งทั่วโลกในรูปแบบ B2B (Business-to-Business) อีกด้วย ซึ่ง Panasonic ก็ได้ใช้กลยุทธ์ Marketing Automation โดยเริ่มจากสาขาในฝั่งของยุโรปและนำไปปรับใช้กับสาขาทั่วโลก ซึ่งผลจากการใช้ Marketing Automation ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นจาก 10% ไปถึง 26% และยังมีการประสานงานกับระบบ CRM (Customer Relationship Management) อีกทั้งยังเพิ่มจำนวนแคมเปญได้อีก 5 เท่า ซึ่งสิ่งที่ Panasonic ทำได้เป็นอย่างดี ได้แก่

                • การติดต่ออย่างเหมาะสมและถูกจังหวะ การที่มีระบบ Marketing Automation นั้นจะช่วยให้ธุรกิจส่งข้อมูลได้อย่างไม่จำกัดและยังสามารถส่งได้ตลอดเวลา แต่หากใช้เครื่องมือนี้อย่างไม่เหมาะสมด้วยการส่งข้อมูลจำนวนมากให้กับคู่ค้าหรือลูกค้าบ่อยเกินไป อาจส่งผลเสียต่อแบรนด์ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ทีมการตลาดของ Panasonic จึงมีการควบคุมการติดต่อสื่อสารให้ไม่เกิน 3 ครั้งต่อไตรมาส โดยมีฐานข้อมูลที่มีความละเอียดที่แบ่งตามภาษา ประเทศ ประเภทธุรกิจ และอื่นๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับสถานการณ์แก่ลูกค้า ซึ่งถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีงามกับลูกค้าได้รูปแบบหนึ่ง
                • เพิ่มโอกาสใหม่ๆ ด้วยช่องทางที่หลากหลาย จากรูปแบบการทำงานของระบบ Marketing Automation ทำให้แบรนด์สามารถเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้ง่าย พร้อมการจัดการที่เป็นระบบ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นตามด้วยการเพิ่ม Lead ของระบบ Marketing Automation ถึงแม้ Panasonic จะเป็นแบรนด์ระดับโลกที่มียอดขายสูงอยู่แล้ว แต่ยังมีการปรับตัวเข้าสู่ยุคสมัยอยู่ตลอด ไม่เพียงแค่การมีแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ของตัวเองเท่านั้น ยังมีการเพิ่มช่องทางบนสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ อีกด้วย ตัวอย่างที่ดีของ Panasonic คือ หลังจากเริ่มโปรโมทแบรนด์ผ่าน LinkedIn เพียง 18 เดือน มีผู้ติดตามถึง 3,000 คน และในแคมเปญที่มีการเผยแพร่จำนวนหนึ่งมีอัตราการมีส่วนร่วมสูงถึง 5% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของแพลตฟอร์มปกติ 2 – 3% เลยทีเดียว

                3. McAfee

                แน่นอนว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อหรือรู้จักบริษัทซอฟต์แวร์ป้องกันและกำจัดไวรัสบนคอมพิวเตอร์ชื่อดังอย่าง McAfee อยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันยังได้ให้บริการด้านความปลอดภัยของเครือข่ายและระบบคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานทั่วโลก บริษัท McAfee มีการใช้ Marketing Automation เพื่อรวบรวมคนที่มีศักยภาพในการเป็นลูกค้า (Lead) และเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมใช้เพื่อปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น จึงทำให้ McAfee มีอัตราของลูกค้าเก่าต่ออายุการใช้งานเพิ่มขึ้น 50% รวมทั้งยังได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก 50% โดยเคล็ดลับของ McAfee คือ

                • กำหนด Lead Score อย่างเหนือชั้น จุดแข็งของ Marketing Automation คือระบบ Lead Scoring แต่ปัญหาคือเมื่อมีการเพิ่ม Lead ได้จำนวนมากแล้ว แต่ Lead เหล่านั้นอาจไม่มีคุณภาพมากพอ กล่าวคือ Lead ไม่ได้พัฒนาสู่การเป็นลูกค้าที่มีการซื้อสินค้าและปิดการขายได้จริง ส่งผลให้เกิดปัญหาระหว่างทีมการตลาดและทีมขายเป็นอย่างมาก แต่ McAfee ได้ทำการแก้ปัญหาโดยการยกระดับเรื่องการจัดแบ่งหมวดหมู่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อติดตามและดูแล รวมถึงเพื่อให้คะแนนแบบรายบุคคล ซึ่งการจัดหมวดหมู่ Lead เพื่อติดตามและดูแลรายบุคคลนี้จะช่วยสร้างความประทับใจ และให้บริการที่ครอบคลุมได้มากกว่ารูปแบบเดิม ถึงแม้ว่าจำนวน Lead ในภาพรวมจะลดลงไป แต่ McAfee ก็ได้ Lead ที่มีคุณภาพมากขึ้นแทน จนปิดการขายได้สำเร็จ โดยมีอัตรา Conversion Rate มากขึ้นเป็น 4 เท่า กระบวนการดังกล่าวช่วยให้ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น และลดปัญหาที่เกิดตามมาได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถให้คำปรึกษาที่เหมาะสม และมีการบริการที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยในด้านการจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
                • รวมทุกอย่างไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ปัจจุบันนี้เครื่องมือทางการตลาดที่เข้ามาช่วยธุรกิจในด้านต่างๆ นั้นมีจำนวนมาก หากภายในบริษัทหนึ่งมีการใช้งานแพลตฟอร์มที่มีความแตกต่างกันมากกว่า 1 แพลตฟอร์ม จะสร้างความสับสน ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและเกิดความผิดพลาดต่อภาพรวมของธุรกิจได้ ซึ่ง McAfee ก็เคยพบปัญหาเหล่านั้น ทำให้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ต้องใช้เวลาถึง 3 วัน จึงจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดและพร้อมแก้ไขปัญหาได้ แต่เมื่อ McAfee เลือกใช้แพลตฟอร์มที่มี Marketing Automation ที่มีฟีเจอร์หลากหลายและให้พนักงานทุกแผนกใช้แพลตฟอร์มเดียวกันทั้งหมด ทำให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและประสานงานกันได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากขึ้น แพลตฟอร์มดังกล่าวได้ช่วยเก็บรวบรวม ประมวล และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอย่างเป็นระบบ สามารถเข้าถึงได้ง่าย และมี UI (User Interface) ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน เพื่อให้พนักงานทุกคนสามารถทำงานได้เต็มที่ นอกจากนี้แพลตฟอร์มดังกล่าวยังช่วยให้ฝ่ายขายสามารถติดต่อกับผู้ใช้งานได้โดยตรงอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้คำแนะนำและการบริการที่เหนือระดับ

                จากที่ Connect X ได้แนะนำเคล็ดลับต่างๆ จาก 3 แบรนด์ดัง จะเห็นได้ว่าธุรกิจนั้นควรใช้ Marketing Automation ให้เหมาะสมกับรูปแบบและวิธีทำงาน และพร้อมที่จะทดลองและก้าวข้ามสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ อีกทั้งยังมีจุดมุ่งหมายในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้ สำหรับ Marketing Automation นั้นเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ได้รับความนิยม จนทำให้หลายๆ องค์กรนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย หากลองนำเคล็ดลับต่างๆ ไปปรับใช้รับรองว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานในปัจจุบัน และมุ่งสู่การเป็นผู้นำทางการตลาดได้อย่างแน่นอน

                สำหรับใครที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มที่มี Marketing Automation ในตัว Connect X คือแพลตฟอร์ม Customer Data Platform (CDP) ที่รวมฟีเจอร์เด็ดๆ ไว้ในที่เดียว พร้อมการใช้งานที่ง่ายเพียงปลายนิ้ว พร้อมช่วยเหลือธุรกิจของคุณให้ Connect เข้าหาลูกค้าได้แบบไร้รอยต่อ

                ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                  Yearly Budget

                  How do you know us?

                  ที่สุดของ Marketing Platform ที่นักการตลาดยุคนี้ขาดไม่ได้

                  Marketing-Platform

                  Marketing Platform อาวุธลับของนักการตลาดยุคใหม่ ที่มากกว่าแค่ส่งข้อความ

                  ในปี 2025 โลกของการตลาดไม่ได้หมุนรอบแค่การโฆษณาหรือสร้าง Awareness อีกต่อไป แบรนด์ที่อยู่รอดได้ในยุคนี้คือแบรนด์ที่เข้าใจลูกค้า รู้ว่าลูกค้าคือใคร ต้องการอะไร และต้อง “ส่งมอบ” ประสบการณ์ที่ตรงใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่คือเหตุผลที่ “Marketing Platform” กลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจทุกขนาด ทุกอุตสาหกรรม

                  แต่ Platform ที่ดีไม่ได้วัดกันแค่จำนวนฟีเจอร์เท่านั้น ความสามารถในการปรับให้เข้ากับแต่ละแบรนด์ และการเชื่อมต่อทุกมิติของข้อมูลลูกค้าเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ (Seamless) คือมาตรฐานใหม่ที่นักการตลาดต้องมองหา

                  ConnectX ในฐานะ Marketing Platform สัญชาติไทยที่เข้าใจตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคเอเชียอย่างลึกซึ้ง จึงออกแบบระบบให้รองรับความต้องการแบบครบวงจร ตั้งแต่การเก็บ วิเคราะห์ ไปจนถึงการสื่อสารกับลูกค้าแบบเรียลไทม์ ด้วยฟีเจอร์ที่ทรงพลัง 4 ด้านนี้

                  4 เหตุผลที่นักการตลาดยุคนี้ ต้องมี Connect X

                  1. Customer Data Platform (CDP): แพลตฟอร์มที่เก็บข้อมูลแบบ 360°

                  โลกการตลาดในปี 2025 ขับเคลื่อนด้วย “ข้อมูล” แต่ไม่ใช่แค่การเก็บข้อมูลให้มากที่สุด แบรนด์ต้องสามารถเข้าใจบริบทของข้อมูลด้วย ซึ่ง CDP ของ ConnectX ช่วยให้คุณ:

                  • รวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียว (Unified Profile)

                  • วิเคราะห์ Customer Journey อย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มรู้จักแบรนด์จนถึงกลายเป็นลูกค้าประจำ

                  • เชื่อมต่อกับระบบ POS, CRM, ERP ผ่าน API เพื่อสร้างมุมมองข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุด

                  ด้วย Global ID ที่เป็นเอกลักษณ์ของ ConnectX แบรนด์จะเห็นลูกค้าในมุมเดียวกันทั่วทั้งองค์กร ไม่ว่าจะเข้ามาผ่านแอป เว็บไซต์ หรือหน้าร้านก็ตาม นี่คือกุญแจสำคัญของการสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อที่แท้จริง

                  2. Marketing Automation: ส่งแคมเปญแบบรู้ใจ เรียลไทม์ และตรงจังหวะ

                  การส่งแคมเปญแบบสุ่มหรือ Mass Marketing กำลังจะกลายเป็นอดีต Marketing Automation ของ ConnectX จึงช่วยให้แบรนด์ทำแคมเปญได้แม่นยำขึ้น ทั้งในด้านเวลา ช่องทาง และเนื้อหา เช่น

                  • สร้าง Segment ลูกค้าด้วยเงื่อนไขที่หลากหลาย เช่น พฤติกรรมการคลิก ประวัติการซื้อ ความสนใจ

                  • วาง Triggers ที่เหมาะสม เช่น ทิ้งตะกร้า ซื้อซ้ำ แจ้งเตือนโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่ม

                  • ส่งแคมเปญผ่าน Email, SMS, Line OA, Facebook Messenger หรือ Push Notification แบบ Cross-channel

                  ความสามารถนี้ไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังเพิ่ม Engagement และ Conversion ได้จริง โดยไม่ต้องอาศัยทีมงานขนาดใหญ่

                  3. Dashboard & Optimization: รู้ทุกแคมเปญแบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ ROI ได้ในคลิกเดียว

                  หนึ่งในปัญหาหลักของนักการตลาดคือการดูผลลัพธ์แบบแยกกันในแต่ละแพลตฟอร์ม ConnectX แก้ปัญหานี้ด้วย Dashboard เดียวที่สามารถ:

                  • Monitor ทุกแคมเปญแบบเรียลไทม์

                  • วิเคราะห์รายได้จากแต่ละแคมเปญเปรียบเทียบแบบ Side-by-side

                  • สร้าง Dashboard แบบ Customize ให้ตรงกับ KPI ที่แต่ละทีมต้องการ

                  เมื่อทุกการตัดสินใจสามารถทำได้จากข้อมูลจริง และมีหลักฐานยืนยันในมือ ทีมการตลาดก็สามารถทำงานได้เร็วขึ้น พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของพฤติกรรมผู้บริโภค

                  4. AI-Driven Marketing: ไม่ใช่แค่ช่วยคิด แต่ช่วยแนะนำแผนการตลาดที่ดีที่สุด

                  AI ในปี 2025 ไม่ใช่แค่ช่วยวิเคราะห์ แต่ต้องสามารถ “แนะนำ” ได้ด้วย และ AI ของ ConnectX ทำได้มากกว่านั้น:

                  • วิเคราะห์แคมเปญที่มีผลตอบแทนสูงสุด

                  • แนะนำช่องทางการสื่อสารที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละ Segment

                  • ทำนายพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น โอกาสในการซื้อซ้ำ การเลิกใช้แบรนด์ หรือความภักดีที่เปลี่ยนไป

                  ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาดสายวิเคราะห์ หรือสายสร้างสรรค์ AI ของ ConnectX จะเป็นคู่คิดที่ช่วยให้คุณทำงานได้แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น

                  Marketing Platform ที่เข้าใจนักการตลาดไทยที่สุด ต้อง ConnectX

                  โลกของการตลาดในปี 2025 ไม่มีที่ว่างสำหรับการสื่อสารแบบเดิมอีกต่อไป แบรนด์ที่ต้องการเติบโตต้องมีเครื่องมือที่พร้อมทั้งเก็บ วิเคราะห์ และสื่อสารกับลูกค้าในแบบที่เป็น “มนุษย์” ที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีจะทำได้

                  ConnectX คือ Marketing Platform ที่รวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว พร้อมปรับให้เหมาะกับแต่ละธุรกิจแบบเฉพาะตัว และเชื่อมต่อได้กับทุกช่องทางการตลาดที่คุณใช้ ลองเปิดประสบการณ์ใหม่ของการทำการตลาดด้วย ConnectX แล้วคุณจะรู้ว่า การรู้ใจลูกค้า ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด

                  ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                  *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                    Yearly Budget

                    How do you know us?

                    Email Marketing Examples เทคนิคการสร้างยอดขายด้วยเครื่องมือนี้อย่างไร?

                    Email Marketing Examples วันนี้เราจะมาดูตัวอย่างการทำ Emails Marketing ให้ประสบความสำเร็จ การมาถึงของโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มสื่อสารต่างๆ อาจทำให้หลายท่านสงสัยว่า Email Marketing ยังจำเป็นต่อการเข้าถึงลูกค้าหรือไม่? Connect X จะมาตอบคำถามนั้นให้ทุกท่านกันครับ การตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมีวิธีการใช้งานและเครื่องมือการเข้าถึงที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาผ่าน Google Ads, การทำ SEM (Search Engine Marketing) หรือแม้กระทั่ง Social Media Marketing ที่ได้รับความนิยมในหมู่ธุรกิจมากขึ้นทุกวัน แต่อย่างไรก็ตามยังมีอีกเครื่องมือหนึ่งที่มักถูกมองข้ามก็คือ Email Marketing 

                    Email Marketing ยังสำคัญอยู่ไหม?

                    Email นั้นได้กำเนิดมาตั้งแต่ปี 1971 ปัจจุบันก็มีอายุ 50 ปีแล้วครับ ซึ่งหลายๆ ท่านและเจ้าของธุรกิจบางคนก็อาจคิดว่าอีเมลนั้นได้ตายไปพร้อมกับการมาถึงของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อีเมลยังคงเป็นช่องทางที่ผู้คนนิยมใช้กันอยู่ โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารระหว่างธุรกิจและองค์กร

                    จากสถิติของ Mailchimp ได้แสดงค่าเฉลี่ย Open Rate (การเปิดอีเมล) อยู่ที่ 20-25% และค่าเฉลี่ย Click Rate อยู่ที่ประมาณ 2-3% ซึ่งสถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอีเมลนั้นยังเป็นช่องทางการสื่อสารที่ยังมีประสิทธิภาพอยู่พอสมควรเลยครับ

                    นอกจากนั้น ธุรกิจ B2B ต่างๆ ก็ยังสามารถสร้าง Lead จากการทำ Email Marketing ได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามการทำ Email Marketing ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็ต้องมีเทคนิคที่ดีด้วย

                    ประโยชน์ในการทำ Email Marketing

                    สิ่งแรกที่แน่นอนได้เลยก็ในการทำ Email Marketing คือ ท่านมั่นใจได้เลยว่าอีเมลที่ถูกส่งออกไปจะถึงผู้รับซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ 100% (แต่จะเปิดอีเมลหรือไม่นั้นอีกอีกเรื่องหนึ่ง) นอกจากนั้น Email Marketing สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่า โดยการอัปเดตข่าวสารดีๆ สร้างความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ หรือที่เรียกว่า Customer Relationship Management และสร้างลูกค้าใหม่ผ่านการนำเสนอโปรโมชันใหม่ๆ หรือสิทธิพิเศษแบบ Exclusive จนเกิดเป็น Brand Loyalty นั่นเองครับ

                    [/col]

                    เทคนิคการทำ Email Marketing ให้มีประสิทธิภาพ

                    แน่นอนว่าหาก Email Marketing ของท่านไม่น่าสนใจหรือทำออกมาไม่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย อีเมลของท่านก็จะตกไปอยู่ในโฟลเดอร์ Spam ได้ง่ายๆ ซึ่งวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของอีเมลจะมีอะไรบ้างนั้น? มาดูกันเลยครับ

                    1. กำหนดรูปแบบในการทำ Email Marketing ต้องการส่งอีเมลให้ลูกค้าเนื่องจากอะไร?

                    เป็นหนึ่งคำถามที่ท่านควรมีคำตอบก่อน โดยการกำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งอีเมลนั้น ซึ่ง Email Marketing นั้นมีอยู่ด้วยกัน 5 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่

                    1. Behavioral Email – มีเป้าหมายในการเชิญชวน กระตุ้นและตอบสนองต่อพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น การตอบสนองต่อความเห็น การทำ Consumer Survey ซึ่งควรมีดีไซน์อีเมลแบบกระชับ เข้าใจได้ง่าย
                    2. Inaugural Emails – เป้าหมายของอีเมลนี้คือการทำการแสดงความยินดีและต้อนรับที่ลูกค้าได้รับสิ่งใหม่ๆ ครับ อาทิ อีเมลที่ยินดีในการได้รางวัล ยินดีในการสมัครสมาชิก ที่จะตามมาด้วย Call To Action หลายๆ แบบอยู่ด้านใน เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่รับอีเมลตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไม่ว่าจะเป็นการให้เข้าไปดูหน้าเว็บไซต์ ดูแคตตาล็อกสินค้าและบริการ เป็นต้น
                    3. Promotional Emails – เป็นการประกาศให้กับกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับโปรโมชันหรือกิจกรรมต่างๆ ของแบรนด์นั่นเอง ที่หลายท่านน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น เชิญชวนทำกิจกรรม การลดราคา การสมนาคุณ รวมถึงการประกาศสินค้าใหม่ ซึ่งมักจะมาควบคู่กับ Visual Stunning นั้นคือการที่ต้องมีภาพใหญ่ๆ ตัวอักษรเน้นๆ มีสีที่กระตุ้นความต้องการเพื่อดึงดูดความสนใจ
                    4. Punctual Emails –  อีเมลประเภทมีเป้าหมายเฉพาะตัว เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญๆ ต่อธุรกิจ และเพื่อชี้แจงข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูง ยกตัวอย่างเช่น Newsletter ประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การชี้แจงข้อมูลความปลอดภัย ฯลฯ
                    5. Notification Emails – อีเมลสำหรับแจ้งเตือนลูกค้าในเรื่องต่างๆ เช่น กิจกรรมที่ทำไปของผู้บริโภค ข้อผิดพลาดในการใช้งาน ข้อมูลยืนยันการซื้อสินค้า หรือการแจ้งการรีเซตรหัสผ่านต่างๆ ซึ่งควรเป็นอีเมลที่ชัดเจน และมีรายละเอียดครบถ้วน

                    2. ตั้งชื่อหัวข้อให้ดี

                    ขั้นตอนนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะหากชื่ออีเมลของคุณไม่ดี ไม่น่าดึงดูด คนก็จะไม่คลิกเข้าไป อีเมลที่ส่งไปให้นั้นก็จะไม่มีความหมายครับ เทคนิคเบื้องต้นที่ผมอยากจะแนะนำสำหรับการตั้งชื่อหัวข้ออีเมลก็คือเทคนิคเดียวกับการตั้งชื่อบทความครับ เช่น การใช้ประโยคคำถาม ใช้ตัวเลข คำพูดน่าสนใจ (เจ๋ง! หายาก! ฟรี!) เล่นกับความกลัวหรือ Scarcity

                    นอกจากนี้ก็ควรมีการใส่ชื่อของผู้รับอีเมลลงไปในหัวข้อด้วย เพื่อแสดงความเป็น Personalized Marketing Email ให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของท่านกำลังพูดกับเขาจริงๆ และเป็นอีกวิธีที่แสดงความใส่ใจต่อลูกค้า ซึ่งการตอบโจทย์ของลูกค้าแต่ละคนเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะลูกค้าอาจมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน จึงต้องมีการส่งโปรโมชันที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละคนนั่นเอง

                    3. โฟกัสกับเป้าหมายทีละจุด

                    ในการส่ง Email Marketing นั้นทางแบรนด์ควรที่จะมีเป้าหมายเพียงหนึ่งหรือสองอย่างเท่านั้น เนื่องจากการกำหนดเป้าหมายหลายๆ อย่างอาจทำให้ลูกค้านั้นเกิดความสับสนว่าอีเมลนั้นต้องการสื่อสารในด้านไหน หรือลังเลที่จะทำ Action อะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น หากในหนึ่งอีเมลมีปุ่ม Call To Action ให้ เข้าชมเว็บไซต์ เข้าไปซื้อของ บอกโปรโมชัน บอกการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย ทั้งหมดด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าหรือผู้รับอีเมลสับสน ตัดสินใจไม่ถูก จนในที่สุดอาจจะกด Unsubscribe ไปเลยก็เป็นได้

                    4. Auto Resend อันทรงพลัง

                    ระบบ CRM หรือระบบ CDP อย่าง Connect X จะสามารถกำหนด Flow ในการส่งอีเมลให้เป็นแบบ Auto Resend ได้ เช่น ตั้งค่าไว้ว่าหากลูกค้าไม่เปิดอีเมลอ่านหรือไม่คลิกปุ่ม/ข้อความในอีเมลแรก ให้ระบบทำการส่งอีเมลซ้ำอีกรอบ ซึ่งหากวางระบบไว้ได้เป็นอย่างดี โอกาสที่ลูกค้าที่พลาดอีเมลในครั้งแรก จะกลับมาอ่านอีเมลที่ส่งมาในรอบที่สองนั้นจะสูงขึ้น ทำให้แบรนด์มีโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น

                    5. เลือกเครื่องมือที่ใช่ มีชัยไปกว่าครึ่ง

                    เทคนิคทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นนั้นอาจเป็นไปไม่ได้เลยหากท่านขาด Marketing Platform ที่มีฟีเจอร์ครอบคลุม สามารถทำให้ Email Marketing กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ได้ อย่างเช่น Connect X ที่เป็น CDP หรือ Customer Data Platform โปรแกรมที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน

                    Connect X นั้นสามารถเซ็ต Customer Journey แบบ Cross Channel ได้ เช่น ถ้าลูกค้าไม่อ่านอีเมล ก็สามารถเซ็ตให้ส่งโปรโมชั่นผ่านช่องทางอื่นได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น SMS, LINE หรือ Facebook เป็นต้น และนอกจากนี้ยังคงมีฟีเจอร์สุดล้ำที่เกิดมาเพื่อช่วยนักการตลาดยุคดิจิทัล

                    สร้างประสบการณ์ดีๆ ผ่าน Email ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

                    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                      Yearly Budget

                      How do you know us?

                      [/row]