Author Archives: Li Li

AI คือ อะไร? เข้าใจเทคโนโลยี AI และการใช้งานในธุรกิจยุคใหม่

AI-คือ

ในยุคที่ข้อมูลและความเร็วคือทุกสิ่ง เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI (Artificial Intelligence) ได้กลายเป็นหัวใจของการเปลี่ยนผ่านสู่ธุรกิจดิจิทัล หลายองค์กรไม่เพียงแค่ใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ แต่ยังใช้เพื่อตอบสนองลูกค้าแบบรายบุคคล วิเคราะห์พฤติกรรม และคาดการณ์ล่วงหน้าเพื่อวางกลยุทธ์ที่แม่นยำยิ่งขึ้น สำหรับ ConnectX ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดการข้อมูลลูกค้า (CDP) เรามองว่า AI คือ เครื่องมือที่จะทำให้การใช้ข้อมูลขององค์กร “ฉลาดขึ้น” ทุกแชท ทุกคลิก ทุกข้อมูล จะถูกรวบรวม วิเคราะห์ และแปลงเป็นโอกาสที่ใช้ได้จริง

ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI คือ อะไร?

AI คือ เทคโนโลยีที่ช่วยให้เครื่องจักรหรือระบบคอมพิวเตอร์สามารถเลียนแบบความสามารถของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเรียนรู้ การคิดวิเคราะห์ การจดจำ การรับรู้ภาพเสียง และการตัดสินใจ โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคำสั่งจากมนุษย์ในทุกขั้นตอน แตกต่างจากซอฟต์แวร์ทั่วไปที่ทำงานตามคำสั่งล่วงหน้าแบบตายตัว

AI ทำงานด้วยการใช้ข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) และอัลกอริทึมขั้นสูงในการเรียนรู้และปรับตัว ซึ่งยิ่งใช้ข้อมูลมากเท่าไร AI ก็จะฉลาดและแม่นยำมากขึ้นเท่านั้น

ในโลกธุรกิจ AI คือ “ผู้ช่วยอัจฉริยะ” ที่สามารถทำงานแทนคนในหลายด้าน ช่วยเพิ่มความเร็ว ความแม่นยำ และลดต้นทุนการดำเนินงาน เช่น การคัดกรองใบสมัครงานอัตโนมัติ การตรวจจับการฉ้อโกง หรือแม้กระทั่งการแนะนำสินค้าตรงใจลูกค้าแบบเรียลไทม์

ตัวอย่าง AI ที่เราเห็นในชีวิตประจำวัน

  • ChatGPT, Google Bard: ใช้ AI ด้านภาษา (NLP) เพื่อเข้าใจและตอบกลับข้อความของผู้ใช้อย่างมีบริบท ทำให้การสื่อสารกับเครื่องจักรเป็นธรรมชาติมากขึ้น

  • Netflix, Amazon: ใช้ AI วิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งาน เช่น ประวัติการชม การค้นหา และการซื้อ เพื่อนำเสนอเนื้อหาหรือสินค้าที่เหมาะสมกับความสนใจของแต่ละบุคคล

  • Siri, Alexa: ผู้ช่วยเสียงที่สามารถตอบคำถาม ตั้งนาฬิกา เปิดเพลง หรือควบคุมอุปกรณ์ในบ้านผ่านคำสั่งเสียง

  • Google Maps: วิเคราะห์สภาพจราจรและเสนอเส้นทางที่เร็วที่สุดด้วยการเรียนรู้จากพฤติกรรมผู้ใช้และข้อมูลเรียลไทม์

  • Facebook, TikTok: ใช้ AI ในการจัดลำดับฟีด วิเคราะห์คอนเทนต์ที่คุณสนใจ และแนะนำสิ่งที่คุณน่าจะชอบ

AI จึงไม่ใช่เรื่องของอนาคตอีกต่อไป แต่เป็นเทคโนโลยีที่แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันและในทุกกระบวนการของธุรกิจ ที่สำคัญคือมันสามารถ “เรียนรู้และพัฒนา” ได้ตลอดเวลา ทำให้ธุรกิจที่นำ AI ไปใช้มีศักยภาพในการเติบโตและแข่งขันได้อย่างยั่งยืนในยุคดิจิทัล

AI ทำงานอย่างไร?

เบื้องหลังความฉลาดของ AI คือการผสานเทคโนโลยีหลากหลายแขนงที่ช่วยให้คอมพิวเตอร์ “คิดเป็น” และ “เรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง” ซึ่งเทคโนโลยีหลัก ๆ มีดังนี้:

1. Machine Learning (ML) – การเรียนรู้จากข้อมูล

Machine Learning คือหัวใจของ AI โดยระบบจะเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมาก และสามารถจดจำรูปแบบต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องมีการตั้งโปรแกรมเฉพาะไว้ล่วงหน้า ยิ่งมีข้อมูลมาก ระบบก็ยิ่งแม่นยำขึ้น ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ระบบกรองอีเมลขยะที่สามารถแยกแยะได้ว่าอีเมลใดคือสแปมจากพฤติกรรมที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้า และจะปรับตัวได้หากรูปแบบสแปมเปลี่ยนไป

2. Deep Learning – สมองกลที่เลียนแบบมนุษย์

Deep Learning เป็นแขนงหนึ่งของ Machine Learning ที่ใช้ “โครงข่ายประสาทเทียม” (Neural Networks) เพื่อเลียนแบบการทำงานของสมองมนุษย์ เหมาะสำหรับงานที่ซับซ้อน เช่น การจดจำภาพ เสียง หรือภาษาพูด ตัวอย่างเช่น:

  • รถยนต์ไร้คนขับ ที่สามารถประมวลผลภาพจากกล้องรอบตัวรถ ตรวจจับสัญญาณจราจร คนเดินถนน และวัตถุอื่น ๆ ได้แบบเรียลไทม์

  • ระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ ที่สามารถตรวจจับความผิดปกติในภาพเอกซเรย์หรือ MRI ได้แม่นยำยิ่งขึ้น

3. Natural Language Processing (NLP) – เข้าใจภาษามนุษย์

NLP คือเทคโนโลยีที่ช่วยให้ AI เข้าใจและตีความ “ภาษาคน” ทั้งในการอ่าน การเขียน และการโต้ตอบ เช่น:

  • แชทบอทที่สามารถเข้าใจคำถามของลูกค้า และตอบกลับได้อย่างเหมาะสม

  • ระบบสรุปข่าวหรือบทความที่สามารถดึงใจความสำคัญได้โดยอัตโนมัติ

  • ผู้ช่วยดิจิทัล เช่น Siri หรือ Google Assistant ที่สามารถเข้าใจคำสั่งเสียงและตอบกลับด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติ

ตัวอย่างเพิ่มเติมของการทำงาน AI

  • ระบบกรองอีเมลขยะ (Spam Filter): ใช้ Machine Learning ในการแยกอีเมลขยะโดยอิงจากพฤติกรรมการใช้งานของผู้ใช้ และรูปแบบข้อความ

  • ระบบแนะนำเนื้อหา (Recommendation System): เช่น Netflix หรือ YouTube ที่แนะนำวิดีโอที่คุณน่าจะสนใจ โดยเรียนรู้จากพฤติกรรมการดูของคุณ

  • AI ตรวจจับเสียงหัวใจผิดปกติ: ใช้ Deep Learning ฟังและวิเคราะห์สัญญาณเสียงหัวใจเพื่อตรวจจับโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น

AI จึงไม่ใช่แค่ “คิดตามคำสั่ง” แต่คือระบบที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาตัวเองได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้การตัดสินใจและการทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นในทุกอุตสาหกรรม

วัตถุประสงค์ของ AI ในธุรกิจ

เทคโนโลยี AI ไม่ได้เกิดมาเพื่อแค่ “ทำแทนมนุษย์” แต่เพื่อต่อยอดการทำงานให้ชาญฉลาด มีประสิทธิภาพ และแม่นยำยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในยุคที่ธุรกิจต้องตัดสินใจอย่างรวดเร็วและแข่งขันกันด้วยข้อมูล AI จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่มีวัตถุประสงค์หลัก ดังนี้:

  • เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติ
    AI ช่วยลดภาระงานซ้ำ ๆ เช่น การตอบคำถามลูกค้าหรือการตรวจสอบข้อมูล ทำให้ทีมสามารถโฟกัสกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และการวางแผนได้มากขึ้น

  • ปรับประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ตรงความต้องการแต่ละคน
    ด้วยการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า AI สามารถแนะนำสินค้า เนื้อหา หรือบริการที่เหมาะกับแต่ละบุคคล เพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำและสร้างความภักดีต่อแบรนด์

  • วิเคราะห์ล่วงหน้า (Predictive Analytics) เพื่อรู้อนาคตก่อนคู่แข่ง
    AI สามารถตรวจจับแนวโน้มและรูปแบบของข้อมูล เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมผู้บริโภคหรือสภาวะตลาดล่วงหน้า ช่วยให้ธุรกิจวางแผนล่วงหน้าได้อย่างแม่นยำ

  • ตัดสินใจด้วยข้อมูล ไม่ใช่แค่ความรู้สึก
    ระบบ AI ช่วยประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกแบบ real-time ทำให้การตัดสินใจในแต่ละวันของทีมผู้บริหารอิงจากข้อเท็จจริง ไม่ใช่แค่สัญชาตญาณ

ประเภทของ AI ในปัจจุบัน

ตามระดับความสามารถ

  • Narrow AI (หรือ Weak AI): เป็น AI ที่ออกแบบมาเพื่อทำงานเฉพาะด้าน เช่น ระบบจดจำใบหน้าในสมาร์ตโฟน, ผู้ช่วยอย่าง Siri หรือ Google Translate ซึ่งเป็นรูปแบบที่ใช้งานจริงในปัจจุบันเกือบทั้งหมด

  • General AI: ปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถหลากหลายเทียบเท่ามนุษย์ ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา

  • Super AI: แนวคิดของ AI ที่ฉลาดและทรงพลังยิ่งกว่ามนุษย์ในทุกด้าน ทั้งการวิเคราะห์ การเรียนรู้ และอารมณ์ ปัจจุบันยังเป็นเพียงแนวคิดในอนาคต

ตามรูปแบบการทำงาน

  • Reactive AI: ไม่มีความสามารถในการเรียนรู้จากประสบการณ์ แค่ตอบโต้สิ่งกระตุ้นแบบทันที เช่น โปรแกรมหมากรุกที่วิเคราะห์แต่ละตาแบบเรียลไทม์

  • Limited Memory AI: สามารถจดจำข้อมูลในอดีตช่วงสั้น ๆ เพื่อนำมาประกอบการตัดสินใจ เช่น รถยนต์ไร้คนขับที่จดจำพฤติกรรมของรถรอบข้าง

  • Theory of Mind AI: อยู่ระหว่างการพัฒนา เป็น AI ที่จะสามารถเข้าใจอารมณ์ ความรู้สึก หรือความตั้งใจของมนุษย์

  • Self-aware AI: เป็นขั้นสูงสุดของ AI ที่มี “ความรู้ตัว” เช่นเดียวกับมนุษย์ ซึ่งปัจจุบันยังเป็นแนวคิดในเชิงทฤษฎีเท่านั้น

ประโยชน์ของ AI ต่อธุรกิจ

เพิ่มประสิทธิภาพและลดเวลา

หนึ่งในข้อได้เปรียบหลักของ AI คือความสามารถในการทำงานอัตโนมัติในกระบวนการที่ซ้ำซาก เช่น การตอบคำถามพื้นฐานผ่านแชทบอท การจัดการข้อมูลลูกค้า หรือการแจ้งเตือนอัตโนมัติ สิ่งเหล่านี้ช่วยลดภาระของทีมงาน ทำให้สามารถโฟกัสกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์หรือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มากขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจดำเนินงานได้รวดเร็วขึ้นและมีต้นทุนด้านเวลาน้อยลง

ตัดสินใจได้ดีขึ้น

AI สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลยอดขาย พฤติกรรมลูกค้า หรือแนวโน้มตลาด สิ่งนี้ช่วยให้ผู้บริหารมีข้อมูลเชิงลึก (Insight) ในการตัดสินใจที่สำคัญ เช่น การกำหนดราคาสินค้า การวางแผนสต็อก หรือการออกแคมเปญทางการตลาดที่เหมาะสมกับช่วงเวลาและกลุ่มเป้าหมาย

ประสบการณ์ลูกค้าเหนือกว่า

AI ทำให้เกิดความเป็น “Personalization” ในระดับสูง สามารถปรับข้อความ โฆษณา หรือข้อเสนอให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าแต่ละราย เช่น แนะนำสินค้าเฉพาะบุคคล ส่งข้อความตามวันเกิด หรือแจ้งเตือนโปรโมชันจากพฤติกรรมที่ลูกค้าเคยแสดงความสนใจ ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและความภักดีในระยะยาว

ลดต้นทุนในระยะยาว

แม้การลงทุนใน AI อาจมีค่าใช้จ่ายเบื้องต้น แต่ในระยะยาวจะช่วยลดต้นทุนด้านบุคลากรและระบบหลังบ้านอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การใช้ Voicebot เพื่อตอบคำถามลูกค้าในเวลาทำการและนอกเวลาทำการ ซึ่งช่วยลดภาระของ Call Center หรือการใช้ระบบวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อลดความผิดพลาดในการจัดการคลังสินค้า

สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน

ธุรกิจที่สามารถใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพจะปรับตัวได้เร็วกว่า ตัดสินใจได้เร็วกว่า และนำเสนอประสบการณ์ที่แตกต่างให้กับลูกค้าได้มากกว่า สิ่งนี้คือ “ความได้เปรียบ” ที่จับต้องได้ในยุคที่ตลาดแข่งขันสูงและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

AI กับอนาคตของ ConnectX

ในยุคที่ทุกการคลิกของลูกค้าสร้างข้อมูล ConnectX มองว่า “ข้อมูล” คือทรัพย์สินที่มีมูลค่าสูงที่สุดของธุรกิจ แต่การมีข้อมูลเพียงอย่างเดียวไม่พอ—สิ่งสำคัญคือการนำข้อมูลนั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และนั่นคือเหตุผลที่ ConnectX พัฒนา AI Recommendation Engine ขึ้นมา

ด้วยความสามารถของ AI ที่เรียนรู้จากพฤติกรรมลูกค้าโดยตรง ระบบสามารถ:

  • แนะนำสินค้าและบริการที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคนแบบอัตโนมัติ
  • วิเคราะห์แนวโน้มเพื่อคาดการณ์ว่าใครคือกลุ่มที่มีแนวโน้มจะซื้อ
  • วางแผนส่งข้อความหรือโปรโมชั่นให้ “ตรงจังหวะ” และ “ตรงกลุ่ม” มากขึ้น

ConnectX ไม่ได้เพียงแค่จัดเก็บข้อมูลจากทุกช่องทาง เช่น Website, POS, หรือแพลตฟอร์มโฆษณา แต่ยังเชื่อมโยงข้อมูลทั้งหมดเข้าด้วยกันในระบบ CDP (Customer Data Platform) เพื่อให้ AI สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
เป้าหมายของเราคือช่วยให้ธุรกิจ “เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง” และ “ส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุด” ในแบบที่ลูกค้าคาดหวัง และบางครั้งอาจเหนือกว่าที่พวกเขาคาดหวังไว้ด้วยซ้ำ

ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มเก็บข้อมูล หรือมีข้อมูลอยู่ในหลายระบบ ConnectX พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยให้คุณใช้ข้อมูลให้คุ้มค่าและเปลี่ยนทุกแชท ทุกคลิก และทุกพฤติกรรมให้กลายเป็นโอกาสในการเติบโตอย่างยั่งยืน

ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

*รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

    Yearly Budget

    How do you know us?

    Database คือ : ทำความรู้จักเครื่องมือที่มีบทบาทสำคัญใน CDP

    database-คือ

    ทำความเข้าใจ Database คือ และบทบาทสำคัญใน CDP

    Database คือ ฐานข้อมูล หรือระบบที่ใช้เก็บข้อมูลที่สามารถค้นหาและจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถเก็บข้อมูลในรูปแบบต่างๆ เช่น ข้อความ, ตัวเลข, หรือรูปภาพ เป็นต้น ฐานข้อมูลถูกใช้ในหลากหลายอุตสาหกรรม ตั้งแต่ธุรกิจการเงิน การศึกษา จนถึงการตลาดออนไลน์

    ตัวอย่างเช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซใช้ฐานข้อมูลในการจัดเก็บข้อมูลลูกค้า สินค้า การทำธุรกรรม และประวัติการซื้อขาย ฐานข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้สามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการตัดสินใจทางธุรกิจ

    พื้นฐานการออกแบบ Database ให้มีประสิทธิภาพ

    การออกแบบฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพต้องพิจารณาหลายปัจจัย ได้แก่:

    1. การจัดระเบียบข้อมูล: การแยกข้อมูลออกเป็นตารางต่างๆ อย่างเหมาะสม เช่น การแยกตารางลูกค้า, สินค้า, และคำสั่งซื้อ เพื่อให้ข้อมูลมีการจัดการที่ง่ายและไม่ซ้ำซ้อน 
    2. การใช้ดัชนี (Indexing): การสร้างดัชนีช่วยให้สามารถค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว เช่น การค้นหาข้อมูลจากคีย์หลักหรือคีย์ที่ไม่ซ้ำกัน 
    3. การรักษาความสมบูรณ์ของข้อมูล (Data Integrity): การตั้งค่าเงื่อนไขให้ข้อมูลที่บันทึกในฐานข้อมูลถูกต้องและสอดคล้อง เช่น การใช้การตรวจสอบข้อผิดพลาด (validation) และการตั้งค่าความสัมพันธ์ระหว่างตาราง 
    4. การบำรุงรักษาฐานข้อมูล: การสำรองข้อมูลและการตรวจสอบความสมบูรณ์ของข้อมูลอย่างสม่ำเสมอเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้ฐานข้อมูลทำงานได้อย่างราบรื่นและไม่มีปัญหาข้อผิดพลาด

    ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีร้านค้าออนไลน์ การออกแบบฐานข้อมูลที่ดีจะช่วยให้สามารถจัดการข้อมูลลูกค้า การสั่งซื้อ และสินค้าคงคลังได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

    ฐานข้อมูลยังมีบทบาทสำคัญในการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics) ซึ่งเป็นหัวใจของการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ในยุคดิจิทัล โดยเฉพาะเมื่อเชื่อมโยงกับระบบ CDP (Customer Data Platform) ที่ช่วยรวบรวมและจัดการข้อมูลลูกค้าจากหลายแหล่งเข้าด้วยกัน ฐานข้อมูลจึงไม่ได้เป็นเพียงที่เก็บข้อมูล แต่กลายเป็นเครื่องมือที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าในเชิงลึก เช่น วิเคราะห์ความถี่ในการซื้อสินค้า ความชอบ หรือช่องทางที่ลูกค้ามักใช้งาน

    นอกจากนี้ การเลือกประเภทฐานข้อมูลก็มีผลต่อประสิทธิภาพ เช่น ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database) ที่เหมาะกับข้อมูลที่มีโครงสร้างชัดเจน กับฐานข้อมูล NoSQL ที่ยืดหยุ่นกว่า เหมาะกับข้อมูลที่ไม่มีรูปแบบตายตัว เช่น ข้อมูลจากโซเชียลมีเดียหรือ IoT

    การออกแบบฐานข้อมูลที่ดีจึงเป็นมากกว่าการเก็บข้อมูลให้ครบ แต่คือการวางรากฐานให้ธุรกิจสามารถขยายตัวและใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุดในระยะยาว หากข้อมูลถูกออกแบบและจัดเก็บอย่างเป็นระบบ จะสามารถเชื่อมต่อกับระบบอื่นได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นระบบ CRM, Marketing Automation หรือระบบรายงานต่างๆ ซึ่งช่วยเพิ่มขีดความสามารถขององค์กรในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้แบบเรียลไทม์และแม่นยำยิ่งขึ้น

    วิวัฒนาการของ Database เป็นอย่างไร?

    วิวัฒนาการของฐานข้อมูล ได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากdatabase คือ ข้อมูลที่ใช้ไฟล์ปกติไปสู่ระบบที่ซับซ้อนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสามารถจัดการข้อมูลในระดับใหญ่และหลากหลายประเภทได้ ดังนี้:

    1. ระบบฐานข้อมูลแบบไฟล์ (File-Based Systems): ในช่วงแรกๆ database คือถูกเก็บในรูปแบบไฟล์ข้อมูลที่ไม่มีการจัดระเบียบเชิงโครงสร้าง ข้อมูลต่างๆ จึงมีความยากลำบากในการค้นหาและอัพเดต 
    2. ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Database): การพัฒนา SQL (Structured Query Language) ทำให้การจัดการข้อมูลสามารถทำได้ง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยข้อมูลจะถูกเก็บในตารางและสามารถเชื่อมโยงกันได้ 
    3. NoSQL Database: ฐานข้อมูลที่ไม่ใช้โครงสร้างเชิงสัมพันธ์ เช่น MongoDB หรือ Cassandra ที่เหมาะกับการจัดการข้อมูลที่มีลักษณะไม่เป็นระเบียบ หรือข้อมูลขนาดใหญ่ที่ต้องการความยืดหยุ่น 
    4. Cloud Database: ระบบฐานข้อมูลที่ถูกพัฒนาบนแพลตฟอร์มคลาวด์ เช่น Amazon RDS หรือ Google Cloud SQL ซึ่งสามารถปรับขนาดและบริหารจัดการได้ง่ายผ่านอินเตอร์เฟซออนไลน์

    วิวัฒนาการเหล่านี้ช่วยให้ฐานข้อมูลสามารถรองรับการเติบโตของข้อมูลขนาดใหญ่และสามารถเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันที่หลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    สรุป Database คือ อะไร จำเป็นต่อ CDP หรือไม่?

    Customer Data Platform (CDP) คือระบบที่รวบรวมและจัดการข้อมูลลูกค้าจากแหล่งต่างๆ เช่น เว็บไซต์, แอปพลิเคชัน, และโซเชียลมีเดีย เพื่อให้สามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์และสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นสำหรับลูกค้า

    ฐานข้อมูล หรือ Database คือสิ่งสำคัญสำหรับการทำงานของ CDP เนื่องจาก CDP ต้องการฐานข้อมูลที่สามารถรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ การมีฐานข้อมูลที่เหมาะสมจะช่วยให้การจัดการข้อมูลลูกค้าสามารถทำได้อย่างราบรื่น โดยข้อมูลที่ได้จาก CDP จะสามารถนำไปใช้ในการสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงเป้าหมาย และพัฒนาความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

    หากแบรนด์ต้องการจัดการข้อมูลจากช่องทางต่างๆ เช่น การทำธุรกรรมจากเว็บไซต์, ข้อมูลการคลิกจากแอป, หรือประวัติการซื้อจากอีเมล ฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพจะช่วยให้ ConnextX CDP รวบรวมข้อมูลเหล่านี้เข้ามาในที่เดียวกัน ทำให้สามารถวิเคราะห์และปรับกลยุทธ์การตลาดได้ดียิ่งขึ้น

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

      Yearly Budget

      How do you know us?