Category Archives: other

Email Marketing Examples เทคนิคการสร้างยอดขายด้วยเครื่องมือนี้อย่างไร?

Email Marketing Examples วันนี้เราจะมาดูตัวอย่างการทำ Emails Marketing ให้ประสบความสำเร็จ การมาถึงของโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มสื่อสารต่างๆ อาจทำให้หลายท่านสงสัยว่า Email Marketing ยังจำเป็นต่อการเข้าถึงลูกค้าหรือไม่? Connect X จะมาตอบคำถามนั้นให้ทุกท่านกันครับ การตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมีวิธีการใช้งานและเครื่องมือการเข้าถึงที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาผ่าน Google Ads, การทำ SEM (Search Engine Marketing) หรือแม้กระทั่ง Social Media Marketing ที่ได้รับความนิยมในหมู่ธุรกิจมากขึ้นทุกวัน แต่อย่างไรก็ตามยังมีอีกเครื่องมือหนึ่งที่มักถูกมองข้ามก็คือ Email Marketing 

Email Marketing ยังสำคัญอยู่ไหม?

Email นั้นได้กำเนิดมาตั้งแต่ปี 1971 ปัจจุบันก็มีอายุ 50 ปีแล้วครับ ซึ่งหลายๆ ท่านและเจ้าของธุรกิจบางคนก็อาจคิดว่าอีเมลนั้นได้ตายไปพร้อมกับการมาถึงของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อีเมลยังคงเป็นช่องทางที่ผู้คนนิยมใช้กันอยู่ โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารระหว่างธุรกิจและองค์กร

จากสถิติของ Mailchimp ได้แสดงค่าเฉลี่ย Open Rate (การเปิดอีเมล) อยู่ที่ 20-25% และค่าเฉลี่ย Click Rate อยู่ที่ประมาณ 2-3% ซึ่งสถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอีเมลนั้นยังเป็นช่องทางการสื่อสารที่ยังมีประสิทธิภาพอยู่พอสมควรเลยครับ

นอกจากนั้น ธุรกิจ B2B ต่างๆ ก็ยังสามารถสร้าง Lead จากการทำ Email Marketing ได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามการทำ Email Marketing ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็ต้องมีเทคนิคที่ดีด้วย

ประโยชน์ในการทำ Email Marketing

สิ่งแรกที่แน่นอนได้เลยก็ในการทำ Email Marketing คือ ท่านมั่นใจได้เลยว่าอีเมลที่ถูกส่งออกไปจะถึงผู้รับซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ 100% (แต่จะเปิดอีเมลหรือไม่นั้นอีกอีกเรื่องหนึ่ง) นอกจากนั้น Email Marketing สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่า โดยการอัปเดตข่าวสารดีๆ สร้างความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ หรือที่เรียกว่า Customer Relationship Management และสร้างลูกค้าใหม่ผ่านการนำเสนอโปรโมชันใหม่ๆ หรือสิทธิพิเศษแบบ Exclusive จนเกิดเป็น Brand Loyalty นั่นเองครับ

[/col]

เทคนิคการทำ Email Marketing ให้มีประสิทธิภาพ

แน่นอนว่าหาก Email Marketing ของท่านไม่น่าสนใจหรือทำออกมาไม่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย อีเมลของท่านก็จะตกไปอยู่ในโฟลเดอร์ Spam ได้ง่ายๆ ซึ่งวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของอีเมลจะมีอะไรบ้างนั้น? มาดูกันเลยครับ

1. กำหนดรูปแบบในการทำ Email Marketing ต้องการส่งอีเมลให้ลูกค้าเนื่องจากอะไร?

เป็นหนึ่งคำถามที่ท่านควรมีคำตอบก่อน โดยการกำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งอีเมลนั้น ซึ่ง Email Marketing นั้นมีอยู่ด้วยกัน 5 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่

  1. Behavioral Email – มีเป้าหมายในการเชิญชวน กระตุ้นและตอบสนองต่อพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น การตอบสนองต่อความเห็น การทำ Consumer Survey ซึ่งควรมีดีไซน์อีเมลแบบกระชับ เข้าใจได้ง่าย
  2. Inaugural Emails – เป้าหมายของอีเมลนี้คือการทำการแสดงความยินดีและต้อนรับที่ลูกค้าได้รับสิ่งใหม่ๆ ครับ อาทิ อีเมลที่ยินดีในการได้รางวัล ยินดีในการสมัครสมาชิก ที่จะตามมาด้วย Call To Action หลายๆ แบบอยู่ด้านใน เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่รับอีเมลตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไม่ว่าจะเป็นการให้เข้าไปดูหน้าเว็บไซต์ ดูแคตตาล็อกสินค้าและบริการ เป็นต้น
  3. Promotional Emails – เป็นการประกาศให้กับกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับโปรโมชันหรือกิจกรรมต่างๆ ของแบรนด์นั่นเอง ที่หลายท่านน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น เชิญชวนทำกิจกรรม การลดราคา การสมนาคุณ รวมถึงการประกาศสินค้าใหม่ ซึ่งมักจะมาควบคู่กับ Visual Stunning นั้นคือการที่ต้องมีภาพใหญ่ๆ ตัวอักษรเน้นๆ มีสีที่กระตุ้นความต้องการเพื่อดึงดูดความสนใจ
  4. Punctual Emails –  อีเมลประเภทมีเป้าหมายเฉพาะตัว เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญๆ ต่อธุรกิจ และเพื่อชี้แจงข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูง ยกตัวอย่างเช่น Newsletter ประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การชี้แจงข้อมูลความปลอดภัย ฯลฯ
  5. Notification Emails – อีเมลสำหรับแจ้งเตือนลูกค้าในเรื่องต่างๆ เช่น กิจกรรมที่ทำไปของผู้บริโภค ข้อผิดพลาดในการใช้งาน ข้อมูลยืนยันการซื้อสินค้า หรือการแจ้งการรีเซตรหัสผ่านต่างๆ ซึ่งควรเป็นอีเมลที่ชัดเจน และมีรายละเอียดครบถ้วน

2. ตั้งชื่อหัวข้อให้ดี

ขั้นตอนนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะหากชื่ออีเมลของคุณไม่ดี ไม่น่าดึงดูด คนก็จะไม่คลิกเข้าไป อีเมลที่ส่งไปให้นั้นก็จะไม่มีความหมายครับ เทคนิคเบื้องต้นที่ผมอยากจะแนะนำสำหรับการตั้งชื่อหัวข้ออีเมลก็คือเทคนิคเดียวกับการตั้งชื่อบทความครับ เช่น การใช้ประโยคคำถาม ใช้ตัวเลข คำพูดน่าสนใจ (เจ๋ง! หายาก! ฟรี!) เล่นกับความกลัวหรือ Scarcity

นอกจากนี้ก็ควรมีการใส่ชื่อของผู้รับอีเมลลงไปในหัวข้อด้วย เพื่อแสดงความเป็น Personalized Marketing Email ให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของท่านกำลังพูดกับเขาจริงๆ และเป็นอีกวิธีที่แสดงความใส่ใจต่อลูกค้า ซึ่งการตอบโจทย์ของลูกค้าแต่ละคนเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะลูกค้าอาจมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน จึงต้องมีการส่งโปรโมชันที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละคนนั่นเอง

3. โฟกัสกับเป้าหมายทีละจุด

ในการส่ง Email Marketing นั้นทางแบรนด์ควรที่จะมีเป้าหมายเพียงหนึ่งหรือสองอย่างเท่านั้น เนื่องจากการกำหนดเป้าหมายหลายๆ อย่างอาจทำให้ลูกค้านั้นเกิดความสับสนว่าอีเมลนั้นต้องการสื่อสารในด้านไหน หรือลังเลที่จะทำ Action อะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น หากในหนึ่งอีเมลมีปุ่ม Call To Action ให้ เข้าชมเว็บไซต์ เข้าไปซื้อของ บอกโปรโมชัน บอกการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย ทั้งหมดด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าหรือผู้รับอีเมลสับสน ตัดสินใจไม่ถูก จนในที่สุดอาจจะกด Unsubscribe ไปเลยก็เป็นได้

4. Auto Resend อันทรงพลัง

ระบบ CRM หรือระบบ CDP อย่าง Connect X จะสามารถกำหนด Flow ในการส่งอีเมลให้เป็นแบบ Auto Resend ได้ เช่น ตั้งค่าไว้ว่าหากลูกค้าไม่เปิดอีเมลอ่านหรือไม่คลิกปุ่ม/ข้อความในอีเมลแรก ให้ระบบทำการส่งอีเมลซ้ำอีกรอบ ซึ่งหากวางระบบไว้ได้เป็นอย่างดี โอกาสที่ลูกค้าที่พลาดอีเมลในครั้งแรก จะกลับมาอ่านอีเมลที่ส่งมาในรอบที่สองนั้นจะสูงขึ้น ทำให้แบรนด์มีโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น

5. เลือกเครื่องมือที่ใช่ มีชัยไปกว่าครึ่ง

เทคนิคทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นนั้นอาจเป็นไปไม่ได้เลยหากท่านขาด Marketing Platform ที่มีฟีเจอร์ครอบคลุม สามารถทำให้ Email Marketing กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ได้ อย่างเช่น Connect X ที่เป็น CDP หรือ Customer Data Platform โปรแกรมที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน

Connect X นั้นสามารถเซ็ต Customer Journey แบบ Cross Channel ได้ เช่น ถ้าลูกค้าไม่อ่านอีเมล ก็สามารถเซ็ตให้ส่งโปรโมชั่นผ่านช่องทางอื่นได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น SMS, LINE หรือ Facebook เป็นต้น และนอกจากนี้ยังคงมีฟีเจอร์สุดล้ำที่เกิดมาเพื่อช่วยนักการตลาดยุคดิจิทัล

สร้างประสบการณ์ดีๆ ผ่าน Email ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

*รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

    Yearly Budget

    How do you know us?

    [/row]

    Social Chats คืออะไร พร้อม 3 ข้อดีที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์เพิ่มยอดขาย

    Social-Chats

    ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การแข่งขันจึงทวีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการชาวไทยจำนวนมากต่างเข้าสู่ตลาดออนไลน์ ทั้งผ่านช่องทาง Facebook, Line, Instagram หรือเว็บไซต์ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การมีสินค้าและบริการที่ดีเท่านั้น แต่ยังต้องมีกลยุทธ์ในการทำตลาด และการตอบแชทที่รวดเร็วเพื่อรักษาโอกาสในการปิดการขายให้ได้มากที่สุด Connect X ขอแนะนำให้คุณรู้จักกับ ระบบรวมแชท (Social Chats) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถจัดการข้อความจากลูกค้าได้ในที่เดียว ไม่ต้องสลับหน้าจอไปมาระหว่างหลายแพลตฟอร์ม ลดโอกาสผิดพลาดในการสื่อสาร และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลลูกค้าอย่างรอบด้าน

    ความท้าทายของธุรกิจออนไลน์ในยุคปัจจุบัน

    ธุรกิจค้าขายออนไลน์เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะร้านค้าที่เริ่มมีฐานลูกค้าจำนวนมาก ย่อมต้องรับมือกับข้อความจำนวนมากจากหลายช่องทางพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นคำถามเกี่ยวกับสินค้า คำสั่งซื้อ หรือการติดตามสถานะจัดส่ง หากร้านค้าไม่สามารถจัดการแชทได้อย่างมีระบบ อาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจ และส่งผลต่อยอดขายในที่สุด

    การตอบแชทผิดช่อง หรือปล่อยให้ลูกค้ารอนานเกินไป อาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ในโลกของธุรกิจออนไลน์ที่การตัดสินใจซื้อเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที ความล่าช้าหรือความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้พลาดโอกาสทางธุรกิจที่มีคุณค่า

    Social Chats คืออะไร?

    Social Chats คือระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการจัดการการสื่อสารระหว่างร้านค้าหรือธุรกิจออนไลน์กับลูกค้า โดยสามารถรวบรวมข้อความจากทุกช่องทางยอดนิยม เช่น Facebook Messenger, Line Official Account (LINE OA), Instagram Direct Message และระบบ Live Chat บนเว็บไซต์ ให้อยู่ในหน้าจอเดียว ช่วยให้แอดมินสามารถตอบกลับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และลดความซับซ้อนในการทำงานที่เกิดจากการต้องสลับหลายแพลตฟอร์ม

    ก่อนหน้านี้ การบริหารแชทจากหลายช่องทางพร้อมกันถือเป็นเรื่องยุ่งยาก ร้านค้าอาจต้องเปิดหลายแอปพลิเคชัน เช่น Facebook Page Manager, LINE OA หรือ Instagram บนมือถือ ซึ่งไม่เพียงทำให้เสียเวลา แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงในการพลาดข้อความหรือพิมพ์ผิดช่องแชท ระบบ Social Chat เข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้โดยการรวมข้อความทั้งหมดไว้ในแดชบอร์ดเดียว พร้อมจัดระเบียบข้อมูลลูกค้าโดยอัตโนมัติ และแบ่งงานให้แอดมินแต่ละคนดูแลแชทได้ตามความเหมาะสม

    ที่สำคัญ ระบบ Social Chat ในปัจจุบันยังมาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมที่ช่วยยกระดับการสื่อสารกับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ดังนี้

    ฟีเจอร์เด่นของระบบ Social Chats

    1. Ticket Management ทุกข้อความที่เข้ามาจะถูกจัดระเบียบเป็น “Ticket” หรือเคสงานอย่างชัดเจน เพื่อให้ทีมสามารถติดตามสถานะการดำเนินการได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ลดความเสี่ยงในการหลงลืมหรือพลาดข้อความสำคัญ ร้านค้าสามารถกำหนดระดับความสำคัญของเคสแต่ละรายการ มอบหมายให้แอดมินที่เกี่ยวข้องได้ทันที และยังสามารถดูประวัติการดำเนินงานย้อนหลัง รวมถึงวิเคราะห์ระยะเวลาการตอบกลับเพื่อวัดประสิทธิภาพของทีมได้อย่างครบถ้วน

    2. Agent Routing ฟีเจอร์นี้ช่วยให้การส่งต่อแชทเป็นไปอย่างชาญฉลาด ระบบสามารถตั้งเงื่อนไขได้ว่า ลูกค้าคนเดิมควรได้รับการดูแลจากแอดมินคนเดิมทุกครั้ง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการสื่อสาร หรือหากข้อความนั้นเกี่ยวข้องกับการขาย การบริการหลังการขาย หรือปัญหาทางเทคนิค ระบบสามารถส่งต่อเคสไปยังทีมที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้โดยอัตโนมัติ ช่วยลดระยะเวลารอ และเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการ

    3. Order Management ร้านค้าสามารถเริ่มต้นและจบกระบวนการขายภายในห้องแชทเดียวได้ทันที โดยแอดมินสามารถสร้างออเดอร์ ส่งลิงก์ชำระเงิน และยืนยันคำสั่งซื้อแบบเรียลไทม์ได้ภายในระบบเดียว ไม่ต้องสลับไปใช้งานระบบอื่น ๆ และยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบชำระเงิน (Payment Gateway) ที่ร้านค้าใช้อยู่แล้วได้อย่างราบรื่น ทำให้ข้อมูลการสั่งซื้อถูกจัดเก็บครบถ้วน สะดวกต่อการวิเคราะห์ยอดขายหรือประสิทธิภาพของแคมเปญต่าง ๆ ภายหลัง

    4. AI Chatbot เป็นผู้ช่วยอัตโนมัติที่สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง เหมาะอย่างยิ่งในกรณีที่ลูกค้าทักเข้ามานอกเวลาทำการ หรือสอบถามข้อมูลที่ซ้ำกันเป็นประจำ เช่น วิธีสั่งซื้อ วิธีชำระเงิน หรือติดตามสถานะสินค้า ผู้ดูแลระบบสามารถตั้งค่าคำตอบได้ด้วยตนเอง และระบบยังสามารถเรียนรู้จากคำถามจริงที่ลูกค้าใช้งาน เพื่อพัฒนาให้ตอบได้แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หากระบบพบคำถามที่ซับซ้อนเกินความสามารถ Chatbot จะส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ดูแลได้ทันทีโดยไม่ให้ลูกค้ารู้สึกสะดุดหรือเสียเวลา

    ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ Social Chats จึงเป็นมากกว่าระบบตอบข้อความทั่วไป แต่เป็น เครื่องมือบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Engagement Tool) ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดี เพิ่มโอกาสในการปิดยอดขาย และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้ในระยะยาว

    3 ข้อดีของการใช้ระบบ Social Chats ที่ธุรกิจออนไลน์ไม่ควรมองข้าม

    1. รวมข้อความจากทุกช่องทางไว้ในระบบเดียว

    ธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันมักต้องสื่อสารกับลูกค้าผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Facebook, LINE OA, Instagram หรือ Live Chat บนเว็บไซต์ การต้องสลับไปมาระหว่างหลายแพลตฟอร์มส่งผลให้การทำงานยุ่งยาก และเสี่ยงต่อการลืมหรือพลาดข้อความสำคัญ ระบบ Social Chat เข้ามาช่วยจัดการปัญหานี้โดยรวมทุกข้อความไว้ในระบบกลางเพียงจุดเดียว ทำให้แอดมินสามารถตอบลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ลดความผิดพลาด และไม่จำเป็นต้องเปิดหลายระบบพร้อมกัน นอกจากนี้ ระบบยังสามารถจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ ทั้งชื่อ เบอร์โทร อีเมล และประวัติการสั่งซื้อ ซึ่งช่วยให้ทีมงานสามารถติดตามการขายหรือให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง และลดภาระในการจดจำข้อมูลรายบุคคลของลูกค้าแต่ละราย

    2. ยกระดับความสัมพันธ์กับลูกค้า

    ระบบรวมแชทที่มีประสิทธิภาพไม่ได้เพียงแค่ทำให้ร้านค้าตอบกลับได้รวดเร็วเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ร้านสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวมากขึ้น เมื่อมีข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับลูกค้า เช่น ประวัติการสั่งซื้อ หรือคำถามที่เคยสอบถามไว้ แอดมินสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตอบกลับอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น การเรียกชื่อ การแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง หรือการให้สิทธิพิเศษตามพฤติกรรมการซื้อที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียด และเป็นตัวช่วยสำคัญในการสร้างความประทับใจให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแลเป็นรายบุคคล ความสัมพันธ์ที่ดีนี้ยังช่วยให้ลูกค้ามีแนวโน้มจะกลับมาซื้อซ้ำ และเกิดการบอกต่อได้ง่ายยิ่งขึ้น

    3. ทำงานร่วมกับระบบ CRM และ CDP ได้อย่างลงตัว

    ในยุคที่ข้อมูลเป็นหัวใจของการตลาด ระบบ Social Chats ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบ CRM และ CDP ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อร้านค้าออนไลน์ ระบบ CRM จะช่วยให้ร้านค้าบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ ทั้งในแง่ของประวัติการซื้อ พฤติกรรมการใช้งาน และความสนใจ ในขณะที่ระบบ CDP จะรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแหล่งมาใช้วิเคราะห์และทำความเข้าใจลูกค้าในภาพรวม การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง Social Chat กับระบบเหล่านี้ทำให้ร้านค้าสามารถส่งข้อความที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแบบเรียลไทม์ เสนอโปรโมชั่นที่เหมาะสม หรือแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้สามารถปิดการขายได้รวดเร็วขึ้น และสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

    ระบบรวม Social Chat ตัวช่วยจาก Connect X

    หากใครที่กำลังถามหาระบบตอบแชทลูกค้าที่สามารถตอบกลับได้ทุกแพลตฟอร์มพ่วงด้วยฟีเจอร์ที่ครอบคลุมการขายของออนไลน์ Connect X คือคำตอบที่เหมาะสมในทุกประการ เพราะระบบรวม Social Chat ของ Connect X คือระบบที่เก็บข้อมูลและติดตามลูกค้าได้จากทุกช่องทาง สามารถระบุได้ว่าแชทแต่ละแชทมาจากแพลตฟอร์มไหน กำลังมีความสนใจสินค้าอะไร พูดง่ายๆ ว่า สามารถจัดการแชทได้อย่างมีประสิทธิภาพ การันตีได้เลยว่าร้านสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ง่ายมากขึ้น

    ฟีเจอร์เด่นบน Connect X

    • รองรับระบบ Live Chat ในทุกแพลตฟอร์มยอดนิยมของคนไทย ไม่ว่าจะเป็น Messenger, LINE OA, Instagram ไปจนถึงระบบ Live Chat บนเว็บไซต์
    • ระบบการจัดการแบบ Ticket Management สามารถจัดแบ่งหน้าที่ให้แอดมิน แต่ละคนสามารถรับผิดชอบได้ มั่นใจได้ว่าทุกข้อความที่ส่งเข้ามาจะไม่มีการตกหล่น
    • สามารถทำงานร่วมกับระบบ CRM และ CDM ของ Connect X ได้เป็นอย่างดี เพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และติดตามลูกค้า และนำข้อมูลต่างๆ ไปต่อยอดการทำการตลาดออนไลน์ในอนาคตได้

    ในยุคที่ผู้บริโภคมีความคาดหวังสูงต่อการให้บริการ ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่คุณภาพของสินค้าเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับ การบริหารจัดการประสบการณ์ลูกค้า ให้ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และต่อเนื่อง ระบบรวม Social Chat จาก Connect X จึงกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น สื่อสารได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้อย่างแท้จริง

    หากคุณกำลังมองหาระบบแชทที่พร้อมสนับสนุนธุรกิจทุกด้าน ทั้งในแง่ของการตอบแชท การขาย การวิเคราะห์ข้อมูล และการดูแลลูกค้า Connect X พร้อมให้คำปรึกษาและร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

      Yearly Budget

      How do you know us?

      มัดใจลูกค้าเก่า เข้าถึงลูกค้าใหม่ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย Marketing Automation Examples

      marketing-automation-examples

      ในยุคที่ผู้บริโภคมีความต้องการเฉพาะตัวและคาดหวังบริการแบบเรียลไทม์ เครื่องมืออย่าง Marketing Automation จึงกลายเป็นสิ่งที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการ รักษาฐานลูกค้าเดิมให้เหนียวแน่น พร้อมกับการ เข้าถึงลูกค้าหน้าใหม่อย่างแม่นยำ วันนี้เราจะพาทุกท่านมาดู marketing automation examples ที่แบรนด์สามารถนำไปใช้ได้จริง

      การตลาด + เทคโนโลยี = Marketing Automation

      หากจะให้คำจำกัดความสั้นๆ Marketing Automation คือการตลาดอัตโนมัติ โดยการนำเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ เข้ามาช่วยทำกิจกรรมการตลาด อาทิ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของลูกค้า, Big Data เก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้า ไปจนกระทั่งการนำซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มการตลาดอย่างระบบ CRM  มาทำการตลาดในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Remarketing, Personalized Marketing, Content Marketing, Email Marketing, SMS Marketing หรือกลยุทธ์การตลาดรูปแบบอื่นๆ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์บรรลุเป้าหมายทางการตลาดและการขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น

      ทำไมต้องใช้ Marketing Automation กับทั้งลูกค้าเก่าและใหม่?

      การดูแลลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำ และการเข้าถึงลูกค้าใหม่ด้วยข้อความหรือโปรโมชันที่ตรงจุด เป็นเรื่องที่แบรนด์ต้องบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด การใช้ระบบ Marketing Automation จะช่วยให้คุณสามารถสื่อสารแบบเฉพาะบุคคล (Personalized) และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวได้อย่างยั่งยืน

      Marketing Automation Examples ที่ช่วยมัดใจลูกค้าเก่า

      1. ระบบแจ้งเตือนการซื้อซ้ำ (Replenishment Reminder)

      สำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าซื้อซ้ำได้ เช่น เครื่องสำอาง วิตามิน หรืออาหารสัตว์ สามารถตั้งระบบเตือนอัตโนมัติให้ลูกค้าทราบว่าถึงเวลาซื้อใหม่แล้ว เช่น
      “สกินแคร์ตัวโปรดของคุณใกล้หมดหรือยัง? เรามีส่วนลดพิเศษให้คุณ!”

      2. โปรแกรมสะสมแต้มอัตโนมัติ (Loyalty Program Integration)

      ผสานระบบ CRM และ Marketing Automation เพื่อแจ้งเตือนลูกค้าเกี่ยวกับสถานะคะแนนสะสม เช่น
      “คุณมีแต้มสะสม 1,200 คะแนน ใช้แลกส่วนลด 15% ได้ทันทีวันนี้!”

      3. การส่งโปรโมชันวันเกิดหรือวันพิเศษ

      ระบบสามารถตั้งค่าอัตโนมัติให้ส่งข้อความพร้อมส่วนลดในวันเกิดหรือวันครบรอบ เช่น
      “สุขสันต์วันเกิดคุณสมชาย! รับโค้ดส่วนลด 20% ภายใน 3 วันนี้เท่านั้น”

      Marketing Automation Examples ที่ช่วยเข้าถึงลูกค้าใหม่

      1. ระบบ Follow-Up หลังจากลูกค้าเยี่ยมชมเว็บไซต์

      หากมีผู้เข้าชมเว็บไซต์แต่ยังไม่ซื้อ ระบบสามารถส่งอีเมลหรือข้อความแจ้งเตือนอัตโนมัติ เช่น
      “เห็นคุณกำลังดูรองเท้าคู่นั้นอยู่ สนใจรับส่วนลด 10% ไหม?”

      2. Personalized Content ผ่านหลายช่องทาง (Omnichannel Experience)

      ระบบสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า แล้วส่งคอนเทนต์หรือข้อเสนอเฉพาะบุคคลผ่านช่องทางที่ลูกค้าชอบ เช่น LINE, Facebook, Email หรือ SMS

      ตัวอย่าง: หากลูกค้าชอบดูสินค้าใน Instagram ระบบจะยิงโฆษณาหรือส่ง DM พร้อมข้อเสนอเฉพาะบุคคลไปทางนั้น

      3. Welcome Flow สำหรับลูกค้าใหม่

      เมื่อมีลูกค้าใหม่ลงทะเบียนหรือสมัครสมาชิก ระบบสามารถเริ่มต้นแคมเปญอัตโนมัติได้ทันที เช่น

      • Email แนะนำสินค้า

      • ข้อเสนอพิเศษสำหรับการสั่งซื้อครั้งแรก

      • คอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานสินค้า

      ผู้บริโภคนั้นยุคนี้ต้องการแบรนด์ที่รู้ใจและสามารถต้องสนองความต้องการได้อย่างตรงจุด (Personalize Marketing) รวมไปถึงการให้บริการแบบเรียลไทม์ (Real-Time) ที่สำคัญคือ ต้องทำได้ตลอดทุกช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์ สื่อโซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram, LINE) หรือช่องทางอื่นๆ

       

      ทำไมธุรกิจต้องมี Marketing Automation?

      1. ทำความเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

      ก่อนที่จะทำการตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าที่ใช่ ในเวลาที่ดี และในช่องทางเหมาะสม คุณจะต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าของคุณก่อน และการทำความเข้าใจลูกค้านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีข้อมูล

      อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ การเก็บข้อมูลลูกค้าคือรากฐานที่สำคัญของ Marketing Automation เพราะซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มที่ดี (อย่าง Connect X)  จะช่วยให้ท่านสามารถเก็บข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าของคุณแบบรายบุคคลได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดูสินค้าที่คนคนนั้นสนใจ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของท่านอย่างไร

      2. ตัวเชื่อมระหว่าง Marketing และ Sale

      หนึ่งในหน้าที่หลักของ Marketing Automation คือ “การฟูมฟัก” ให้ผู้คนที่เข้ามายังช่องทางการตลาดของท่านนั้นพร้อมสำหรับการถูกขาย ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่คนคนนั้นพร้อมซื้อ ข้อมูลต่างๆ ถึงค่อยถูกส่งไปให้ฝ่ายขายอีกที และเมื่อฝ่ายขายทำการติดต่อหรือทำการเสนอขายกับลูกค้าแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาจากปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าจะนำมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าต่อด้วย

      Marketing Automation ช่วยให้ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายสามารถทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาแบรนด์และธุรกิจได้อย่างทรงประสิทธิภาพมากขึ้น

      3. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

      การนำเครื่องมือ Marketing Automation เข้ามาปรับใช้ จะช่วยให้แบรนด์สามารถดำเนินธุรกิจได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ลดภาระงาน เช่น การใส่ข้อมูลซ้ำซ้อน หรือ การส่ง กิจกรรมทางการตลาดและการขายไปยังผู้ที่สนใจอีกครั้ง นอกจากนี้ยังช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากบุคคล (Human Error) ได้ด้วยนั่นเอง

      ทำ Marketing Automation อย่างไรให้ได้ผล?

      การใช้งาน Marketing Automation ไม่ใช่เพียงแค่ “ตั้งแล้วลืม” แต่ต้องมีการออกแบบ Customer Journey และปรับแต่งแคมเปญให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งเครื่องมืออย่าง Connect X ช่วยให้คุณ:

      • สร้าง Workflow อัตโนมัติ ได้หลากหลาย

      • ส่งข้อความแบบ Personalized ได้แม่นยำ

      • เก็บข้อมูลลูกค้าทั้ง Known & Unknown ได้ในฐานเดียว (CDP)

      • เชื่อมต่อกับทุกแพลตฟอร์มหลัก เช่น LINE, Facebook, Email, Website

      Marketing Automation ทำงานอย่างไร?

      การตลาดอัตโนมัตินั้นสามารถเริ่มใช้งานได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรก Marketing Funnel หรือก็คือเมื่อลูกค้ารับรู้ถึงสินค้าหรือบริการ (Awareness) ยกตัวอย่างเช่น

      คุณ A ได้เข้ามาดูสินค้าของแบรนด์ท่านมากถึง 3 ครั้ง ทั้งบนเว็บไซต์  Facebook และ Instagram แต่ยังไม่มีการติดต่อเข้ามา ท่านสามารถตั้งค่าให้ Marketing Automation ให้ทำการส่งคอนเทนต์ แคมเปญ หรือโปรโมชันต่างๆ ไปให้คุณ A ผ่านทางอีเมล และหากยังไม่สนใจเหมือนเดิม ก็อาจเปลี่ยนช่องทางเป็น ข้อความ SMS หรืออีกนัยหนึ่งก็คือสามารถทำ Personalized Marketing กับลูกค้าแต่ละคน พร้อมทำ Remarketing กับฐานลูกค้าเดิมด้วย

      สำหรับแพลตฟอร์ม Connect X ท่านสามารถ ส่ง Personalized Message  ผ่าน Line Message, Facebook Message, Email เป็นต้น สร้างประสบการณ์เฉพาะตัวให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจได้มากกว่า อีกทั้งยังเป็น CDP (Customer Data Platform)  เก็บข้อมูลลูกค้าได้ตั้งแต่ยังเป็น Unknown Data จนเป็น Known จะเป็นลูกค้าหน้าใหม่ก็สามารถส่งโปรโมชันที่ตรงใจได้ตลอด

      ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

      *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

        Yearly Budget

        How do you know us?

        ห้ามพลาด! รวม 8 คำถามน่ารู้เกี่ยวกับ พรบ PDPA ที่ทุกคนควรเข้าใจ

        พรบ-PDPA

        ห้ามพลาด! รวม 8 คำถามน่ารู้เกี่ยวกับ พรบ PDPA ที่ทุกคนควรเข้าใจ

        ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินของธุรกิจ และความเป็นส่วนตัวคือสิทธิ์ของผู้บริโภค การรู้จักและเข้าใจ พรบ PDPA (พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562) จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริโภค เจ้าของธุรกิจ หรือแม้แต่องค์กรขนาดใหญ่

        ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา กฎหมาย PDPA ได้บังคับใช้อย่างเป็นทางการ และเริ่มส่งผลจริงจังทั้งในแง่ของสิทธิ์ทางกฎหมาย และการดำเนินงานของภาคธุรกิจ

        วันนี้ Connect X ขอรวบรวม 8 คำถามยอดฮิต ที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับ พรบ PDPA พร้อมคำตอบแบบเข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะในฐานะเจ้าของข้อมูลหรือผู้ที่มีหน้าที่ดูแลข้อมูลเหล่านี้

        1. พรบ PDPA คืออะไร?

        พรบ PDPA หรือชื่อเต็มว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act) คือกฎหมายที่ถูกตราขึ้นเพื่อคุ้มครอง “ข้อมูลส่วนบุคคล” ของประชาชนจากการถูกเก็บ ใช้ หรือเปิดเผย โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจน

        กฎหมายนี้ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในประเทศไทยให้เทียบเท่าสากล เช่น GDPR ของสหภาพยุโรป โดยกำหนดให้ทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน ที่มีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลใดก็ตาม ต้องมีหน้าที่ในการ:

        • ขอ ความยินยอม จากเจ้าของข้อมูลอย่างโปร่งใส

        • แจ้งวัตถุประสงค์ในการใช้งานอย่างชัดเจน

        • ให้สิทธิ์เจ้าของข้อมูลในการควบคุม แก้ไข ถอนความยินยอม หรือลบข้อมูลของตน

        พรบ PDPA มีผลบังคับใช้กับการจัดการข้อมูลทั้งในรูปแบบ ออนไลน์ (Online) และ ออฟไลน์ (Offline) ครอบคลุมตั้งแต่เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ระบบ CRM ไปจนถึงการเก็บข้อมูลจากฟอร์มเอกสาร หรือบันทึกกล้องวงจรปิด

        ที่สำคัญคือ กฎหมายนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะองค์กรภายในประเทศเท่านั้น หากเป็นองค์กรต่างชาติที่มีการเก็บหรือใช้ข้อมูลของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทย เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือบริการออนไลน์ที่ให้บริการคนไทย ก็ต้องปฏิบัติตาม พรบ PDPA เช่นเดียวกัน

        2. กฎหมาย PDPA มีผลกับใครบ้าง?

        พรบ PDPA ไม่ใช่กฎหมายเฉพาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ หรือธุรกิจที่เก็บข้อมูลปริมาณมหาศาลเท่านั้น แต่เป็นกฎหมายที่ มีผลกระทบต่อ “ทุกคน” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม

        ผู้ที่อยู่ภายใต้กฎหมายนี้ประกอบด้วยทั้ง:

        • บุคคลทั่วไป ที่อาจถ่ายภาพหรือโพสต์ข้อมูลของผู้อื่นลงบนโซเชียลมีเดีย

        • ผู้ประกอบการรายย่อย (SME / เจ้าของกิจการส่วนตัว) ที่เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อการสั่งซื้อ สมัครสมาชิก หรือทำการตลาด

        • บริษัทและองค์กรขนาดใหญ่ ที่ใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือดำเนินธุรกิจในระดับระบบ

        • หน่วยงานภาครัฐ ที่จัดเก็บข้อมูลประชาชนเพื่อใช้ในบริการสาธารณะ

        ในระบบของ PDPA จะมีการระบุบทบาทหลักของผู้เกี่ยวข้องไว้ 3 กลุ่ม ได้แก่:

        • เจ้าของข้อมูล (Data Subject): บุคคลที่ข้อมูลนั้นเป็นของเขา เช่น ลูกค้า พนักงาน สมาชิก หรือผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งมีสิทธิ์ในการควบคุม แก้ไข ถอน หรือร้องเรียนเกี่ยวกับข้อมูลของตน

        • ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller): องค์กรหรือบุคคลที่มีอำนาจในการตัดสินใจว่าจะเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น บริษัทที่เก็บข้อมูลลูกค้าหรือจัดทำฐานข้อมูลสมาชิก

        • ผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Processor): บุคคลหรือหน่วยงานที่ดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลตามคำสั่งของผู้ควบคุมข้อมูล เช่น ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ บริษัทเอาท์ซอร์ส หรือเอเจนซี่การตลาด

        ไม่ว่าคุณจะอยู่ในบทบาทใด หากมีการเข้าถึงหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นในบริบทของธุรกิจหรือกิจกรรมสาธารณะ ก็ต้อง ปฏิบัติตามกฎหมาย พรบ PDPA อย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมายและรักษาความไว้วางใจจากผู้เกี่ยวข้อง

        3. PDPA คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้านไหน?

        ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) ที่กฎหมาย PDPA จะครอบคลุมนั้นมีอยู่มากมาย ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐานไปจนถึงข้อมูลที่มีความอ่อนไหว ซึ่งประกอบไปด้วย ชื่อ – นามสกุล, เลขประจำตัวประชาชน, เลขหนังสือเดินทาง, เลขใบอนุญาตขับขี่, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, วันเกิด, อีเมล, การศึกษา, เพศ, อาชีพ, รูปถ่าย, ข้อมูลทางการเงิน, ทะเบียนรถยนต์, โฉนดที่ดิน, ทะเบียนบ้าน

        ในส่วนของข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ครอบคลุมไปถึงข้อมูลที่สามารถใช้ระบุตัวตนได้ อาทิ Username/Password, Cookies IP Address, GPS Location เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน (Sensitive Personal Data) อย่างข้อมูลทางการแพทย์หรือสุขภาพ, ข้อมูลทางพันธุกรรมและไบโอเมทริกซ์, เชื้อชาติ, ความคิดเห็นทางการเมือง, ความเชื่อทางศาสนาหรือปรัชญา, พฤติกรรมทางเพศ, ประวัติอาชญากรรม, ข้อมูลสหภาพแรงงาน เป็นต้น

        เห็นได้ว่า PDPA นั้นเป็นกฎหมายที่สามารถคุ้มครองข้อมูลด้านต่างๆ ของแต่ละบุคคลได้อย่างครอบคลุมเลยทีเดียว

        4. ในเมื่อ PDPA มีผลอย่างเป็นทางการแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

        ข้อเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างแรกคือ ผู้ที่เป็นเจ้าของข้อมูลจะได้รับการคุ้มครองมากขึ้น และมีสิทธิ์ในการควบคุมการประมวลผลข้อมูล รวมถึงสามารถเรียกร้องหรือฟ้องร้องได้ หากได้รับความเสียหายในกรณีที่มีบุคคลหรือหน่วยงานนำข้อมูลของตนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

        ส่วนผู้ที่นำข้อมูลไปใช้ อย่างภาคธุรกิจ องค์กร หน่วยงาน และบุคคล จะต้องขออนุญาตและระมัดระวังในการใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด และไม่ทำให้เจ้าของข้อมูลเสียหายหรือเสื่อมเสียชื่อเสียง

        ผู้ที่นำข้อมูลไปใช้จะต้องทำตามข้อกำหนด ดังนี้

        • ต้องจำกัดการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพียงเท่าที่จำเป็น
        • การประมวลผลข้อมูลต้องมีวัตถุประสงค์ ซึ่งมีฐานกฎหมายตามที่ พรบ. กำหนดรองรับ เช่น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา สิทธิ์อันชอบธรรม และหากเป็นการประมวลผลด้วยฐานความยินยอมต้องได้รับความยินยอมก่อน
        • ต้องอธิบายและแจ้งรายละเอียดการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้เจ้าของข้อมูลทราบ
        • ต้องมีการรับประกันความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูล
        • หากมีข้อมูลรั่วไหลต้องทำการแจ้งเตือนให้เจ้าของข้อมูลทราบ รวมถึงแจ้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะมีการประเมินความเสียหาย และวิธีการเยียวยาเจ้าของข้อมูล

        5. ถ่ายภาพหรือวิดีโอแล้วติดบุคคลอื่นผิดหรือไม่?

        ถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการถ่ายภาพหรือวิดีโอที่มีหน้าของบุคคลอื่นติดมาด้วยนั้น สามารถแยกได้เป็น 3 กรณี ดังนี้

        1. กรณีที่ถ่ายภาพและวิดีโอติดบุคคลอื่นโดยไม่เจตนาหรือไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย – ถือว่าสามารถทำได้หากใช้เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว และหากมีการนำไปโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ต้องไม่ใช้เพื่อการแสวงหากำไรทางการค้าและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
        2. กรณีภาพของกล้องวงจรปิดถ่ายติดบุคคลอื่น – หากติดภายในบ้าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอาชญากรรมและรักษาความปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องมีป้ายแจ้งเตือน แต่หากเป็นกรณีที่ติดตั้งในที่สาธารณะ หน่วยงาน องค์กร ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า จะต้องติดป้ายประกาศหรือสติกเกอร์เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีกล้องวงจรปิดและมีการบันทึกข้อมูล เพื่อเป็นการแจ้งให้ผู้คนรับทราบ
        3. กรณีของกล้องหน้ารถยนต์ – ไม่จำเป็นต้องติดประกาศแจ้งให้ทราบ หากนำภาพหรือวิดีโอที่มีบุคคลอื่นไปใช้โดยไม่ส่งผลกระทบหรือความเสียหายต่อบุคคลในภาพ/วิดีโอนั้นสามารถทำได้ แต่ไม่สามารถนำไปใช้ทางการค้า สร้างรายได้ สร้างความอับอาย ความเสียหาย หรือใช้ในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์ส่วนตัว

        6. เจ้าของข้อมูลต้องให้ความยินยอมทุกครั้งก่อนนำข้อมูลไปใช้หรือไม่?

        โดยปกติหากนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้จะต้องขออนุญาตเจ้าของข้อมูลก่อนทุกครั้ง แต่ PDPA มีข้อยกเว้นที่สามารถนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ต้องขอความยินยอม ซึ่งเป็นกรณีดังนี้

        • เป็นการทำตามสัญญา เช่น เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน E-Commerce ที่ต้องใช้ชื่อและที่อยู่ในการส่งพัสดุให้ลูกค้า หรือเป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำงาน เช่น การเป็นสมาชิกหรือ Subscription Service ที่ต้องใช้ข้อมูลบัตรเครดิต เป็นต้น
        • เป็นการใช้ที่มีกฎหมายให้อำนาจ
        • เป็นการใช้เพื่อรักษาชีวิตและ/หรือ ร่างกายของบุคคล รวมถึงป้องกันอันตราย และการป้องกันโรคระบาด
        • เป็นการใช้เพื่อการค้นคว้าวิจัยทางสถิติ
        • เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ
        • เป็นการใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์หรือสิทธิ์ของตนเอง
        • เป็นการใช้เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารประวัติศาสตร์
        • เป็นการใช้เพื่อประมวลผลเชิงเนื้อหาสำหรับสื่อมวลชน ซึ่งต้องเป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพหรือเป็นประโยชน์สาธารณะเท่านั้น

        ทั้งนี้ หลักการข้างต้น อาจเปลี่ยนแปลงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นกรณีๆ ไป ถึงไม่ต้องขอความยินยอม แต่ผู้ควบคุมข้อมูลยังต้องรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและคำนึงถึงสัดส่วนความจำเป็นของการใช้ข้อมูล และผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล

        7. เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล มีสิทธิ์อะไรเกี่ยวกับข้อมูลของตนบ้าง?

        • สิทธิ์ในการถอดถอนความยินยอมในกรณีที่ได้ให้ความยินยอมไว้
        • สิทธิ์ได้รับการแจ้งให้ทราบรายละเอียด (Privacy Notice)
        • สิทธิ์การขอเข้าถึงและการขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล
        • สิทธิ์ขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคล
        • สิทธิ์คัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้งาน หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
        • สิทธิ์ขอให้ลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้
        • สิทธิ์ขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
        • สิทธิ์ขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล
        • สิทธิ์ในการร้องเรียนต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในกรณีที่มีการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือประกาศที่ออกตามกฎหมาย PDPA

        8. หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA จะเป็นอย่างไร?

        สำหรับผู้ที่นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) และผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Processor) จะมีโทษทางกฎหมาย โดยมีรายละเอียดดังนี้

        • ความรับผิดทางแพ่ง ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และอาจต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้นอีก โดยสูงสุดไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหายที่แท้จริง
        • โทษทางอาญา จำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
        • โทษทางปกครอง ปรับสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท

        จากที่ Connect X ได้พาเจอคำตอบของคำถามต่างๆ เกี่ยวกับกฎหมาย PDPA กันให้มากยิ่งขึ้นจากคำถามทั้ง 8 ข้อกันไปแล้ว น่าจะช่วยตอบข้อสงสัยของใครหลายๆ คน และช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับ PDPA มากขึ้น รวมถึงตระหนักถึงความสำคัญของการนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไปใช้กันมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมุมของประชาชนทั่วไปที่เป็นผู้บริโภคหรือภาคธุรกิจก็ตาม

        หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย มีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือผิดวัตถุประสงค์ ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล และส่งผลกระทบต่อองค์กรเป็นวงกว้าง

        นอกจากนี้ องค์กรหรือธุรกิจที่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด จะช่วยเสิรมสร้างน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรได้อีกด้วย สำหรับใครกำลังมองหาตัวช่วยที่ปลอดภัยและสะดวกสบายอยู่นั้น Connect X เป็นแพลตฟอร์ม Customer Data Platform (CDP) ที่รองรับกฎหมาย PDPA และได้รับมาตรฐานการเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย มีมาตรฐาน ISO27001 ซึ่งสามารถช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน และยังมี Marketing Automation ที่ช่วยทำการตลาดแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ธุรกิจนำข้อมูลมาใช้ได้อย่างสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมความปลอดภัยและมีขั้นตอนการขออนุญาตเก็บข้อมูลที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างแน่นอน

        ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

        *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

          Yearly Budget

          How do you know us?

          สรุป กฎหมาย PDPA : 3 เรื่องที่คนเข้าใจผิด!

          สรุป-กฎหมาย-PDPA

          ในยุคที่ข้อมูลคือหัวใจของการทำธุรกิจ ทั้งผู้บริโภคและเจ้าของกิจการต่างต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลแทบทุกวัน แต่แม้กฎหมาย PDPA จะมีผลบังคับใช้แล้ว หลายคนก็ยังคงมีความเข้าใจผิดหรือรู้สึกสับสนเกี่ยวกับรายละเอียดของกฎหมายฉบับนี้อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเก็บข้อมูล การใช้ข้อมูล หรือแม้แต่การขอความยินยอมที่ถูกต้อง ดังนั้นวันนี้ Connect X จะมาช่วย สรุป กฎหมาย PDPA ให้เข้าใจง่าย พร้อมอธิบายหลักการสำคัญ ไปจนถึงแนวทางการนำไปใช้จริงในธุรกิจ หากคุณเพิ่งเริ่มต้นศึกษา หรืออยากทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับ PDPA บทความนี้คือจุดเริ่มต้นที่ไม่ควรพลาด!

          3 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ PDPA ต้องเคลียร์ ไม่ให้สับสน

          ข้อมูลส่วนบุคคลถือเป็นทรัพยากรสำคัญในยุคดิจิทัลที่ทุกธุรกิจต่างพยายามเก็บรวบรวมเพื่อนำไปใช้ในการสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำสินค้า โปรโมชั่นเฉพาะบุคคล หรือการสื่อสารที่แม่นยำมากขึ้น แต่ด้วยความสำคัญของข้อมูลเหล่านี้เอง ทำให้เกิด กฎหมาย PDPA หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ขึ้นมาเพื่อควบคุมการจัดการข้อมูลให้อยู่ภายใต้กรอบที่ปลอดภัยและเป็นธรรม โดยเฉพาะเรื่องของการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลที่ต้องได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน

          อย่างไรก็ตาม ถึงแม้กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้แล้ว แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดจำนวนไม่น้อยในสังคม ทั้งจากฝั่งเจ้าของธุรกิจและผู้บริโภคเอง วันนี้ Connect X จะมาไขข้อข้องใจและชี้แจง และช่วย สรุป กฎหมาย PDPA ที่ควรเคลียร์ให้ชัด เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันหรือธุรกิจได้อย่างถูกต้อง

          1. PDPA มีผลเฉพาะกับธุรกิจหรือองค์กรเท่านั้น

          หลายคนเข้าใจว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้มีผลเฉพาะกับบริษัทหรือผู้ประกอบการที่มีการเก็บข้อมูลลูกค้า แต่จริงๆ แล้ว PDPA ครอบคลุม “ทุกฝ่าย” ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน หรือแม้แต่บุคคลทั่วไป หากมีการเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนได้ เช่น ชื่อ-สกุล เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ เลขบัญชีธนาคาร ฯลฯ ก็เข้าข่ายทั้งหมด

          ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คุณซื้อของออนไลน์แล้วต้องส่งข้อมูลสำหรับจัดส่งให้พ่อค้าแม่ค้า เช่น ชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่ แม้เป็นการติดต่อแบบส่วนตัว แต่ข้อมูลที่ส่งให้เหล่านั้นก็ถือเป็น “ข้อมูลส่วนบุคคล” ซึ่งผู้ขายก็ควรจัดเก็บอย่างระมัดระวัง และไม่นำไปใช้ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต

          2. ธุรกิจต้องได้รับความยินยอม (Consent) จากเจ้าของข้อมูลทุกครั้ง

          สำหรับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับหลักการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมาย PDPA ในมาตรา 24 ซึ่งมีหลักการเกี่ยวกับเรื่องความยินยอม (Consent) ก่อนที่แบรนด์หรือนักการตลาดจะนำข้อมูลไปเก็บในระบบ CRM หรือนำไปประกอบแคมเปญต่างๆ ก็ต้องขอความยินยอมก่อน เช่น การขอ Cookie Consent เพื่อจัดเก็บไฟล์คุกกี้และข้อมูลของผู้เข้าชมเว็บไซต์ แต่ไม่ได้แปลว่าธุรกิจจะต้องขออนุญาตทุกครั้งที่ต้องเก็บข้อมูล

          ในความจริงแล้ว เจ้าของข้อมูลต้องให้ความยินยอม (Consent) ต่อผู้ควบคุมข้อมูลตามที่แจ้งไว้ตั้งแต่แรกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อาทิ เมื่อสมัครสมาชิกผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน หลังจากกรอกรายละเอียดแล้ว จะมีข้อความหรือเอกสารให้อ่านพร้อมปุ่มกด “ยินยอม” หรือ “ยอมรับ” เพื่ออนุญาตให้ธุรกิจเก็บรวบรวมข้อมูลนั่นเอง ซึ่งจะเป็นการทำเพียงครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องกดยินยอมทุกครั้งเมื่อเข้าสู่ระบบ สำหรับมุมมองของธุรกิจนั้น การขอความยินยอมเพียงครั้งเดียวนี้ก็เป็นการอำนวยความสะดวกให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งานหรือลูกค้าได้ต่อเนื่องและมีฐานข้อมูลครบถ้วน สามารถใช้ในการทำการตลาดหรือเพื่อปรับปรุง Marketing Automation ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้นั่นเอง

          นอกจากนี้ ยังมีกรณีต่างๆ ที่ข้อมูลจะถูกเก็บรวบรวมได้ โดยได้รับข้อยกเว้น PDPA หรือไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมดังนี้

          • กรณีป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของเจ้าของข้อมูล รวมไปถึงการใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น ป้องกันโรคระบาด ซึ่งผู้ควบคุมสามารถเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอม
          • การปฏิบัติตามสัญญา ไม่ต้องขอความยินยอม
          • ปฏิบัติภารกิจของรัฐ ตามมาตรา 24(4) หากจำเป็นต่อการดำเนินภารกิจของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเป็นการใช้อำนาจรัฐ การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อการนั้น ไม่ต้องขอความยินยอม อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ต้องขอความยินยอม แต่ผู้ควบคุมยังคงมีหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และคำนึงถึงความได้สัดส่วนความจำเป็นในการใช้ข้อมูล และผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล
          • ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ต้องขอความยินยอม มาตรา 24(6)

          3. การโพสต์รูปโซเชียลโดยมีใบหน้าผู้อื่นติดมาด้วย ถือว่าผิดกฎหมาย PDPA

          ใจความสำคัญของ PDPA คือการปกป้องความเป็นส่วนตัว ซึ่งก็รวมไปถึงรูปถ่ายหรือวิดีโอที่มีใบหน้าของเจ้าของข้อมูลด้วย หลายคนเข้าใจว่าการที่ใครสักคนโพสต์รูปบนโซเชียลแล้วมีใบหน้าเราติดไปถือว่าเป็นการละเมิดพ.ร.บ. ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ “ผิด” จนกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียลกันไปแล้ว

          จริงๆ แล้ว การที่ผู้ถ่ายรูปหรือคลิปวิดีโอบังเอิญถ่ายติดใบหน้าของคนอื่นไปโดยไม่ได้เจตนา หรือไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถูกถ่ายก็สามารถทำได้โดยไม่ผิดหลัก PDPA ส่วนในกรณีที่ได้นำรูปถ่ายหรือคลิปไปโพสต์บนโซเชียลก็สามารถทำได้ ถ้าเป็นการทำเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว ไม่นำไปใช้เพื่อผลประโยชน์หรือทำกำไร และทำให้เจ้าของข้อมูลเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือทำให้เกิดอันตราย

          เรื่องการติดตั้งกล้องวงจรปิด ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนกังวลว่า หากถ่ายติดใบหน้าคนอื่นจะเป็นการทำผิดพ.ร.บ. หรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นการติดภายในบริเวณบ้านเพื่อรักษาความปลอดภัย ก็ไม่จำเป็นต้องทำป้ายแจ้งเตือน หมดห่วงได้เพราะไม่ผิดต่อข้อกฎหมายแน่นอน

          ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อสงสัยหลักๆ ที่หลายคนยังมีอยู่ หวังว่าบทความนี้จะสามารถไขข้อสงสัยได้ไม่มากก็น้อย สำหรับธุรกิจและเจ้าของแบรนด์ทุกท่านต้องไม่ลืมที่จะค้นหา “เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล” หรือ “Data Protection Officer (DPO)” เพื่อเข้ามาดูแลกฎหมาย PDPA ภายในองค์กรและตรวจสอบนโยบายการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า

          ที่สำคัญ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แบรนด์ควรมีระบบ CDP หรือระบบ CRM ที่เป็นไปตาม PDPA เพื่อรักษาและปกป้องข้อมูลของลูกค้า รวมถึงเป็นการหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องที่อาจเกิดขึ้นได้หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นนั่นเอง

          สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM หรือต้องการคำปรึกษา ทาง Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

          ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

          *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

            Yearly Budget

            How do you know us?

            Omni-channel Marketing กลยุทธ์ทางการตลาดที่คุณไม่ควรพลาดในปี 2025

            Omni-Channel-Marketing

            Omni-channel Marketing กลยุทธ์ทางการตลาดที่คุณไม่ควรพลาดในปี 2025

            เมื่อเข้าสู่ปี 2025 พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง AI, AR และ Chat Commerce เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ การทำการตลาดเพียงช่องทางเดียวไม่เพียงพออีกต่อไป แบรนด์ที่ยังพึ่งพาการขายผ่านหน้าร้าน หรือช่องทางออนไลน์เพียงอย่างเดียวจะพบว่า การเติบโตเริ่มชะลอตัว ข้อมูลที่กระจัดกระจาย และประสบการณ์ลูกค้าที่ไม่ต่อเนื่องกลายเป็นอุปสรรคสำคัญ

            นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Omnichannel Marketing กลับมาได้รับความสนใจมากขึ้นกว่าเดิม โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจต้องแข่งขันกันสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อ (Seamless Experience) ให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการสั่งซื้อผ่านมือถือ รับสินค้าที่หน้าร้าน หรือสอบถามข้อมูลผ่านโซเชียลมีเดียแล้วไปทดลองสินค้าที่สาขา ทุกขั้นตอนควรเชื่อมต่อกันอย่างลื่นไหลและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแบบเฉพาะบุคคล

            Omni-channel Marketing คืออะไร และทำไมถึงเหมาะกับยุคนี้?

            การตลาด Omni channel คือกลยุทธ์ที่เชื่อมโยงช่องทางการสื่อสารทั้งหมดของแบรนด์เข้าด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นออนไลน์หรือออฟไลน์ โดยมีข้อมูลของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ทั้งจากเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ร้านค้า โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่คอลเซนเตอร์ เมื่อรวมข้อมูลทั้งหมดไว้ในระบบกลาง เช่น CDP (Customer Data Platform) จะช่วยให้ธุรกิจสามารถมอบประสบการณ์แบบ Personalized ได้อย่างแม่นยำ และลูกค้าจะรู้สึกถึงความเข้าใจ ความใส่ใจ และการให้บริการที่เป็นหนึ่งเดียวไม่ว่าจะมาจากช่องทางไหน

            สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่งในปี 2025 ที่ผู้บริโภคต้องการความรวดเร็ว ความสะดวก และความเป็นส่วนตัวมากกว่าที่เคย และด้วยแนวโน้มของ Gen Z ที่ขึ้นมาเป็นกำลังซื้อหลัก การสื่อสารต้องรวดเร็วและตอบสนองแบบ Real-time บนทุกแพลตฟอร์ม การใช้กลยุทธ์ Omni-channel ที่แท้จริง จึงไม่ใช่แค่การมีหลายช่องทาง แต่เป็นการทำให้ทุกช่องทางทำงานประสานกันอย่างลงตัว

            เหตุผลที่ธุรกิจควรเลือกใช้แพลตฟอร์มการตลาดแบบ Omnichannel

            • User Quality Data มีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้บริโภคได้อย่างละเอียด และเชื่อมต่อข้อมูลกันอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไปต่อยอดให้เกิด Conversation Rate ที่สูงขึ้นและสร้าง Hyper-Personalization เพื่อประสบการณ์ของผู้บริโภค
            • Create Consistency Across Channel – สามารถสร้างมั่นคงและเชื่อมโยงการสื่อสารกับลูกค้าได้ทุกช่องทางแบบเรียลไทม์
            • Drive Revenue – ช่วยเพิ่มยอดขายให้สูงขึ้น เนื่องจากมีช่องทางให้เข้าถึงมากมาย จึงเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย และยังช่วยเปลี่ยนลูกค้าใหม่ให้กลายเป็นลูกค้าประจำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น
            • Improve Customer Experience – ปรับปรุงประสบการณ์ของผู้บริโภคให้ดีกว่าเดิม โดยที่ผู้บริโภคสามารถเลือกดูข้อมูลเพิ่มเติมจากช่องทางที่หลากหลายเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ง่ายขึ้น สามารถสั่งซื้อ และชำระเงินได้ง่ายหลากหลายช่องทางตามความสะดวกของแต่ละคน
            • Increase Brand Loyalty – สร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์และกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อได้มากยิ่งขึ้นได้มากขึ้น เนื่องจากมีการรีวิวสินค้าจากหลายช่องทาง

            เทคโนโลยีและแพลตฟอร์มที่จะพา Omni-channel Marketing ไปได้ไกลยิ่งขึ้นในปี 2025

            สิ่งที่ทำให้การตลาด Omnichannel ประสบความสำเร็จ ไม่ได้อยู่ที่ช่องทางที่ใช้เพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ “เครื่องมือเบื้องหลัง” ที่สามารถรวมข้อมูล วิเคราะห์ และสื่อสารอย่างแม่นยำแบบอัตโนมัติ ซึ่งในปี 2025 ธุรกิจจำนวนมากหันมาใช้ CDP อย่างแพลตฟอร์มของ Connect X ที่สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากทุกช่องทางได้ในที่เดียว พร้อมทั้งมีฟีเจอร์ Marketing Automation ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างแคมเปญที่ตอบสนองแบบทันทีทันใด

            การใช้ CDP ควบคู่กับกลยุทธ์ Omnichannel จะช่วยให้ทีมการตลาดเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างลึกซึ้งมากขึ้น ทั้งจากพฤติกรรมการซื้อ เส้นทางการใช้งาน และปฏิสัมพันธ์ในแต่ละจุดสัมผัส ไม่เพียงช่วยเพิ่มอัตรา Conversion แต่ยังสร้างความประทับใจให้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า นำไปสู่ Brand Loyalty อย่างยั่งยืน

            สุดยอด Platform ที่ตอบโจทย์ Omnichannel Marketing พร้อมฟีเจอร์สุดปัง

            การใช้การตลาด Omnichannel ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด จะต้องมี แพลตฟอร์ม อย่างเช่น CDP (Customer Data Platform) ที่ช่วยเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทาง และ Marketing Automation ที่เครื่องมือทำการตลาดแบบอัตโนมัติ ซึ่ง Connect X เป็นแพลตฟอร์มที่ครบครันและตอบโจทย์กลยุทธ์ธุรกิจแบบ Omnichannel ได้มากที่สุด

            ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

            *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

              Yearly Budget

              How do you know us?

              CDP คืออะไร ? แนะนำเครื่องมือทางการตลาดที่ทุกแบรนด์ควรมี

              CDP-คือ-อะไร

              ในยุคที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แบรนด์ต่างๆ จึงต้องปรับกลยุทธ์เพื่อให้สามารถเข้าถึงความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ การเพิ่มยอดขายหรือสร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ไม่ได้อาศัยแค่โฆษณาที่น่าดึงดูดเท่านั้น แต่ต้องใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อเข้าใจลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง และตอบสนองพฤติกรรมแต่ละคนอย่างตรงจุด นี่คือจุดที่เครื่องมืออย่าง CDP หรือ Customer Data Platform เข้ามามีบทบาทสำคัญ ไม่ใช่เรื่องแปลกที่การตลาดยุคใหม่จะเน้นประสบการณ์ของลูกค้าเป็นศูนย์กลาง เพราะลูกค้ายินดีกลับมาใช้บริการซ้ำกับแบรนด์ที่รู้ใจและให้บริการได้ตรงความต้องการ ดังนั้นการมีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และสามารถใช้งานได้จริงในทุกช่องทางการตลาดจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง และนี่คือเหตุผลว่าทำไมแบรนด์ยุคใหม่ต้องรู้จักว่า CDP คืออะไร และจะนำไปใช้ได้อย่างไรเพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจในระยะยาว

              วันนี้ Connect X ขอพาทุกคนไปรู้จักกับ CDP แบบเข้าใจง่าย พร้อมแนะนำว่าระบบนี้สามารถเก็บข้อมูลอะไรได้บ้าง มีประโยชน์ต่อธุรกิจอย่างไร และเพราะเหตุใด CDP ของ Connect X จึงเป็นแพลตฟอร์มที่เหมาะกับธุรกิจไทยในยุคดิจิทัลอย่างแท้จริง

              CDP คืออะไร ?

              CDP หรือ Customer Data Platform คือเครื่องมือทางการตลาดที่ถูกออกแบบมาเพื่อรวบรวมและจัดระเบียบข้อมูลลูกค้าจากหลากหลายช่องทางไว้ในที่เดียว ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลจากเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือระบบหลังบ้านอย่าง E-Commerce CDP จะทำหน้าที่เป็นฐานข้อมูลกลางที่รวมทุกปฏิสัมพันธ์ของลูกค้าเข้าด้วยกัน ทำให้นักการตลาดสามารถมองเห็นภาพรวมของลูกค้าแต่ละรายได้แบบ 360 องศา

              การเข้าใจว่า CDP คืออะไร ไม่เพียงพอแค่การรู้ว่ามันช่วยเก็บข้อมูลเท่านั้น แต่ยังหมายถึงการรู้ว่าเครื่องมือนี้ช่วยให้เราทำการตลาดแบบ Personalized ได้แม่นยำขึ้น เช่น การส่งข้อเสนอเฉพาะบุคคล การเลือกคอนเทนต์ที่ตรงกับความสนใจ หรือการกำหนดแคมเปญที่ตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าแต่ละกลุ่ม ส่งผลให้ประสบการณ์ของลูกค้าดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และสร้าง Brand Loyalty ได้มากยิ่งขึ้น

              CDP (Customer Data Platform) เก็บข้อมูลแบบไหนได้บ้าง

              CDP มีศักยภาพในการเก็บข้อมูลหลากหลายรูปแบบ โดยข้อมูลที่ถูกรวบรวมจะถูกจัดเก็บอย่างมีระบบ และพร้อมนำไปใช้ต่อยอดในด้านการวิเคราะห์และสร้างกลยุทธ์ทางการตลาด ซึ่งสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มหลัก:

              1. ข้อมูลธุรกรรมและคำสั่งซื้อ – เช่น ประวัติการซื้อสินค้า มูลค่าการใช้จ่าย ความถี่ในการซื้อ และประเภทสินค้าที่ลูกค้าให้ความสนใจ ซึ่งสามารถนำไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมและความภักดีของลูกค้า

              2. ข้อมูลพฤติกรรมบนเว็บไซต์และแอปพลิเคชัน – เช่น หน้าเพจที่เข้าชม การคลิกแต่ละจุด ระยะเวลาที่ใช้ในแต่ละหน้า หรือสินค้าที่ถูกเพิ่มในรถเข็นแต่ไม่ซื้อ ช่วยให้แบรนด์เข้าใจเส้นทางการตัดสินใจของผู้บริโภคได้ลึกขึ้น

              3. ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) – เช่น อายุ เพศ อาชีพ หรือไลฟ์สไตล์ ซึ่งแบรนด์สามารถนำมาสร้างกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำมากยิ่งขึ้น โดยอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของ PDPA และความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล

              4. ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าและบริการ – เช่น สินค้าที่เหลือในสต๊อก ราคา หรือโปรโมชั่นย้อนหลัง ซึ่งช่วยให้การตลาดสามารถจัดแคมเปญที่สอดคล้องกับสถานการณ์ของสินค้าจริง

              ด้วยศักยภาพเหล่านี้ CDP จึงไม่ใช่แค่คลังข้อมูล แต่เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่ “ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” ได้อย่างแท้จริง

              ข้อดีของ CDP มีอะไรบ้าง ช่วยแบรนด์ได้อย่างไร?

              1. รวบรวมข้อมูลจากทุกช่องทางให้อยู่ในที่เดียว

              ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะมีช่องทางในการขายหรือสื่อสารกับลูกค้ากี่ช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์หลัก ช่องทางอีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง LINE, Facebook หรือ Instagram ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้ล้วนมีความสำคัญ แต่หากแยกเก็บในแต่ละระบบก็อาจทำให้เกิดความสับสน ซ้ำซ้อน หรือยากต่อการนำมาใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ นี่คือจุดที่ CDP (Customer Data Platform) เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะระบบนี้จะช่วยรวบรวมข้อมูลจากทุกแพลตฟอร์มมาไว้ในที่เดียว โดยนำมาจัดระเบียบและจัดกลุ่มอย่างมีระบบ ทำให้ทีมการตลาดสามารถเห็นภาพรวมของลูกค้าแต่ละคนแบบ 360 องศา ลดเวลาในการค้นหาข้อมูล และทำให้สามารถนำข้อมูลมาใช้ได้ง่ายและเร็วขึ้น ส่งผลให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์มีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น

              2. เพิ่มยอดขายด้วยการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalization)

              เมื่อตลาดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ลูกค้าแต่ละคนก็มีความคาดหวังที่แตกต่างกันออกไป การสื่อสารแบบกว้างๆ หรือ Mass Marketing จึงไม่เพียงพออีกต่อไป แบรนด์ที่สามารถส่งมอบประสบการณ์เฉพาะบุคคลได้จะได้เปรียบในสนามการแข่งขัน ซึ่ง CDP คือเครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์เข้าใจลูกค้าแต่ละคนในเชิงลึก ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลพื้นฐานอย่างชื่อ อายุ เพศ ที่อยู่ หรือข้อมูลเชิงพฤติกรรม เช่น การคลิกดูสินค้า การซื้อซ้ำ ความสนใจเฉพาะด้าน เมื่อนำข้อมูลเหล่านี้มาวิเคราะห์ แบรนด์จะสามารถออกแบบแคมเปญการตลาดที่ตรงใจลูกค้าแต่ละราย ส่งผลให้เกิดการซื้อซ้ำ เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย และขยายฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งสามารถตอบสนองต่อเทรนด์หรือพฤติกรรมใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็วทันเหตุการณ์

              3. เสริมสร้างความภักดีและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า

              ลูกค้ายุคใหม่ไม่เพียงคาดหวังสินค้าคุณภาพดี แต่ยังต้องการประสบการณ์ที่ราบรื่นและเป็นส่วนตัวตลอดเส้นทางการซื้อ ตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการรู้จักแบรนด์ไปจนถึงบริการหลังการขาย CDP จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้แบรนด์สามารถออกแบบประสบการณ์ให้เหมาะกับแต่ละบุคคลได้อย่างแท้จริง เช่น การแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับความสนใจ หรือการส่งโปรโมชั่นในช่วงเวลาที่ลูกค้ามีแนวโน้มจะซื้อ เมื่อลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและดูแลเขาอย่างใกล้ชิด โอกาสที่เขาจะกลับมาซื้อซ้ำ หรือกลายเป็นลูกค้าที่ภักดีต่อแบรนด์ก็จะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้นยังส่งผลดีต่อการบอกต่อแบบปากต่อปาก ซึ่งเป็นพลังสำคัญในการขยายฐานลูกค้าโดยไม่ต้องใช้เม็ดเงินจำนวนมากในการโฆษณา

              4. วางกลยุทธ์ได้แม่นยำและแข่งขันได้เหนือกว่า

              การตลาดออนไลน์ในยุคปัจจุบันเป็นสนามที่แข่งขันกันอย่างดุเดือด และไม่ใช่ทุกแบรนด์ที่จะประสบความสำเร็จ สิ่งที่ทำให้บางแบรนด์โดดเด่นและเติบโตได้อย่างยั่งยืนก็คือการมีข้อมูลที่ชัดเจนและลึกซึ้งเพียงพอสำหรับการวางกลยุทธ์ CDP ช่วยให้แบรนด์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียด ทั้งในด้านพฤติกรรม ความต้องการ และแนวโน้มการเปลี่ยนแปลง ทำให้สามารถกำหนดทิศทางของแคมเปญการตลาดได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกช่วงเวลาในการโปรโมต การตั้งราคาที่เหมาะสม หรือแม้แต่การเลือกช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า นอกจากนี้ยังสามารถตรวจวัดผลลัพธ์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างคล่องตัว ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาดที่ไม่หยุดนิ่ง

              5. พัฒนาการบริการให้ครบวงจรและตรงจุด

              การให้บริการที่ดีไม่ได้จบเพียงแค่การปิดการขาย แต่ควรครอบคลุมตั้งแต่การโฆษณา การแนะนำสินค้า การทำธุรกรรม ไปจนถึงการติดตามและบริการหลังการขาย ซึ่งข้อมูลที่ได้จาก CDP จะทำให้ทุกขั้นตอนเหล่านี้เชื่อมโยงกันได้อย่างราบรื่นและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นทีมการตลาด ฝ่ายขาย หรือฝ่ายบริการลูกค้า ทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าชุดเดียวกัน ทำให้การตอบสนองหรือการแก้ไขปัญหาทำได้อย่างตรงจุดและรวดเร็ว ลูกค้าจึงรู้สึกถึงความใส่ใจและประทับใจในประสบการณ์โดยรวม ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ของแบรนด์ในระยะยาว

              สุดยอด Customer Data Platform จาก Connect X

              การรวบรวม วิเคราะห์ และปรับใช้ข้อมูลให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องมี CDP (Customer Data Platform) ที่ดี ใช้งานง่าย ตอบโจทย์และแก้ไขปัญหาของแบรนด์ได้ ซึ่ง Connect X เป็น CDP Platform ที่ครบครันและตอบโจทย์คุณได้มากที่สุด โดยมีตัวอย่างฟีเจอร์ที่เป็นประโยชน์ต่อแบรนด์มากมาย อาทิ

              • Real-time Marketing Automation ช่วยให้แบรนด์ของคุณสามารถสร้าง Customer Journey พร้อมบริการส่ง SMS, Email Marketing และการยิงโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆ แบบอัตโนมัติ เช่น Facebook, Line, Twitter, Instragram หรือ Pantip ได้แบบ Real-Time อีกด้วย
              • Customer Single View ช่วยให้มองเห็นภาพรวมทุกการเชื่อมต่อของลูกค้ากับแบรนด์ในมุมมองเดียว และสามารถสื่อสารทางการตลาดได้อย่างเฉพาะเจาะจงและแม่นยำ ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อมาจากช่องทางออนไลน์ ออฟไลน์ หรือ Omni-Channel
              • API-Connect ช่วยให้แบรนด์สามารถเชื่อมต่อ (Integrate) กับทุกฐานข้อมูลลูกค้าในระบบหลังบ้านเพื่อเข้าถึงทุกข้อมูลของลูกค้าแบบศูนย์กลางเดียว เช่น พฤติกรรมการซื้อสินค้า แคมเปญโปรโมชันที่ลูกค้าแต่ละคนชื่นชอบ สินค้าที่ซื้อเป็นประจำ เป็นต้น
              • ระบบ AI ที่ช่วยให้แบรนด์รู้ใจลูกค้าถึง Insight ช่วยจัดลำดับลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสินค้าสูงที่สุด ทำให้แบรนด์สามารถทำแคมเปญการตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น

              ทั้งหมดนี้คือข้อดีของ CDP ที่สามารถพลิกโฉมการทำการตลาดของแบรนด์ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการข้อมูลที่กระจัดกระจายให้เป็นระบบเดียว การสร้างประสบการณ์ที่ตรงใจลูกค้า หรือการวางกลยุทธ์ที่แม่นยำในทุกช่วงเวลา ซึ่งจะกลายเป็นรากฐานสำคัญของการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่ข้อมูลคือพลัง

              และหากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์ม CDP ที่ใช้งานง่าย เชื่อมต่อได้กับหลากหลายช่องทาง พร้อมทีมผู้เชี่ยวชาญที่เข้าใจตลาดไทยอย่างแท้จริง ConnectX คือคำตอบของคุณ เพราะเรามุ่งมั่นพัฒนาโซลูชันที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ลึกยิ่งขึ้น ทำการตลาดได้ชาญฉลาดขึ้น และขยับเข้าใกล้เป้าหมายทางธุรกิจได้เร็วยิ่งกว่าเดิม

              ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

              *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                Yearly Budget

                How do you know us?

                3 เทรนด์ Customer Relationship Management System ที่น่าจับตามองในปี 2022

                Customer-Relationship-Management-System

                3 เทรนด์สำคัญของระบบ Customer Relationship Management System ที่น่าจับตามองในปี 2022

                สำหรับโลกธุรกิจในยุคดิจิทัล “ข้อมูล” คือทรัพยากรที่มีมูลค่ามากที่สุด เพราะทุกการตัดสินใจทางการตลาดต้องอ้างอิงจากพฤติกรรม ความต้องการ และความพึงพอใจของลูกค้า การจัดการข้อมูลเหล่านี้ให้เป็นระบบจึงไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น ระบบที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดเก็บและบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างเป็นระบบนั้นคือ Customer Relationship Management System หรือ CRM ซึ่งกลายเป็นหัวใจของการทำตลาดในยุคนี้

                ในปี 2022 CRM ได้พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาเติมเต็มศักยภาพของระบบ ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวเพื่อรองรับไลฟ์สไตล์แบบใหม่ของผู้ใช้งาน การนำ AI เข้ามาช่วยวิเคราะห์ข้อมูล หรือแม้กระทั่งการใช้เสียงเป็นหนึ่งในช่องทางการเก็บข้อมูล เทรนด์เหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้การบริหารลูกค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังเปลี่ยนโฉมหน้าของ CRM ไปอย่างสิ้นเชิง

                1. การใช้งาน Customer Relationship Management System บนมือถือ: ตอบโจทย์การทำงานจากทุกที่

                เมื่อโลกเผชิญกับโควิด-19 การทำงานจากที่บ้านหรือจากระยะไกลกลายเป็นเรื่องปกติ หลายธุรกิจจึงหันมาใช้ระบบ Cloud และเครื่องมือที่ช่วยให้พนักงานเข้าถึงข้อมูลได้ทุกที่ทุกเวลา CRM ก็เป็นหนึ่งในนั้น การพัฒนาให้สามารถใช้งานผ่านสมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตจึงกลายเป็นสิ่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเช็กข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ หรือการบันทึกการขายภาคสนาม

                อย่างไรก็ตาม การนำ CRM มาอยู่บนมือถือก็ต้องเผชิญกับโจทย์เรื่องความปลอดภัย เพราะข้อมูลลูกค้าถือเป็นข้อมูลละเอียดอ่อน หากไม่มีระบบป้องกันที่ดีพอก็อาจนำไปสู่ปัญหาการรั่วไหลของข้อมูลได้ ดังนั้นผู้พัฒนาระบบ CRM ต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าการทำงานระยะไกลจะไม่กระทบกับความปลอดภัยของข้อมูลที่สำคัญ

                2. ระบบ AI กับบทบาทใหม่ใน CRM: วิเคราะห์และจัดการข้อมูลได้แม่นยำยิ่งขึ้น

                AI กลายเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาระบบ CRM ยุคใหม่ เพราะมันสามารถทำในสิ่งที่มนุษย์ใช้เวลานานได้ภายในไม่กี่วินาที ไม่ว่าจะเป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า การจำแนกกลุ่มเป้าหมาย หรือแม้แต่การคาดการณ์แนวโน้มการซื้อในอนาคต การนำ AI เข้ามาช่วยจะทำให้ทีมการตลาดไม่ต้องเสียเวลาไปกับงานจัดการข้อมูลจำนวนมากอีกต่อไป แต่สามารถใช้เวลากับการคิดกลยุทธ์เชิงลึกได้มากขึ้น

                ยิ่งไปกว่านั้น AI ยังสามารถเรียนรู้จากข้อมูลลูกค้าในระบบ และปรับเปลี่ยนการวิเคราะห์ให้แม่นยำขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ CRM ไม่ใช่แค่ฐานข้อมูลธรรมดา แต่กลายเป็นระบบที่ “แนะนำ” แนวทางการทำตลาดได้แบบอัตโนมัติ เป็นการยกระดับการดูแลลูกค้าให้เป็นแบบ Personalization ได้ง่ายขึ้นและแม่นยำกว่าที่เคย

                3. Voice Recognition: เทคโนโลยีเสียงกับมิติใหม่ของการเก็บข้อมูลลูกค้า

                เทคโนโลยีการจดจำเสียงกำลังกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจในระบบ CRM เมื่อการเก็บข้อมูลไม่ได้จำกัดอยู่แค่แบบฟอร์มหรือการคลิกบนหน้าเว็บอีกต่อไป แต่สามารถวิเคราะห์ได้จาก “น้ำเสียง” ในการสนทนา ซึ่งอาจเปิดเผยอารมณ์ ความพึงพอใจ หรือแม้แต่ปัญหาที่ลูกค้าไม่ได้พูดออกมาตรงๆ

                เทคโนโลยีอย่าง Siri หรือ Alexa ได้พิสูจน์แล้วว่าผู้คนเริ่มคุ้นชินกับการสื่อสารผ่านเสียง ธุรกิจที่นำระบบจดจำเสียงมาใช้ใน CRM จะสามารถเข้าใจลูกค้าในเชิงลึกมากยิ่งขึ้น แต่ก่อนลงทุนในเทคโนโลยีนี้ ธุรกิจควรประเมินความคุ้มค่า รวมถึงความเหมาะสมกับลักษณะการให้บริการของตนเอง เพราะการลงทุนด้านเสียงยังถือว่าใหม่ และต้องใช้ทรัพยากรพอสมควรในการพัฒนา

                ระบบ CRM กับพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ข้อจำกัดของการเก็บข้อมูลที่ทุกธุรกิจต้องเตรียมตัวรับมือ

                หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าระบบ CRM คือ การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ผ่านการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ รวมถึงจัดการปัญหาต่างๆ ที่ส่งผลต่อการขาย และช่วยปรับปรุงให้ธุรกิจของคุณมีวิธีการขายที่ดีขึ้น เพื่อสร้าง Brand Royalty ให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าของเราอีกครั้ง ทว่าในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 ประเทศไทยจะมีผลบังคับใช้พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ส่งผลให้ทุกธุรกิจไม่สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้อย่างอิสระเหมือนเมื่อก่อน นี่จึงเป็นเหตุผลที่คุณต้องเลือกแพลตฟอร์มผู้ให้บริการที่รองรับ PDPA ด้วย จะได้ไม่เกิดปัญหาในอนาคต และสามารถผ่านเกณฑ์ PDPA ได้อย่างราบรื่น สำหรับใครที่อยากทราบข้อมูลวิธีการผ่านเกณฑ์ PDPA ให้ละเอียดขึ้น สามารถอ่านต่อได้ที่นี่

                ส่วนใครที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มที่พร้อมก้าวทันตามเทรนด์ในปี 2022 Connect X คือแพลตฟอร์มที่พร้อมรองรับ PDPA และมีเครื่องมือเก็บข้อมูลลูกค้าเอาไว้ในที่เดียวกัน (CDP) ที่มาพร้อมกับระบบ CRM ในตัว นอกจากนี้ยังมี Marketing Automation กับ AI อัจฉริยะที่คอยช่วยเรื่องการตลาดแบบอัตโนมัติด้วย ทุกคนจึงสามารถมั่นใจได้ว่า Connect X มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และพร้อมที่จะช่วยให้คุณทำการตลาดได้ง่ายขึ้น

                บทความอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ระบบ CRM (Customer Relationship Management)

                 

                ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                  Yearly Budget

                  How do you know us?

                  ระบบ CRM ตัวช่วยปรับกลยุทธ์เพิ่มยอดขาย ขยายธุรกิจแบบยั่งยืน

                  แนะนำ 5 กลยุทธ์การเพิ่มยอดขายเพียงใช้ ระบบ CRM ที่มีประโยชน์ในการบริหารจัดการและการให้บริการในทุกกระบวนการ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

                   

                  การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากการระบาดของโควิด-19 นั้น ส่งผลให้ธุรกิจทุกรูปแบบต้องปรับตัวและเปลี่ยนกลยุทธ์การขายใหม่ ผ่านการเปลี่ยนหรือเพิ่มช่องทางการขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์กันมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนหันไปใช้เวลาอยู่กับ Social Media มากขึ้น และกิจกรรมบน E-Commerce ก็ขยายตัวอย่างชัดเจน ซึ่งการที่เหล่าธุรกิจปรับเปลี่ยนรูปแบบและช่องทางการขายก็ยิ่งทำให้มียอดขายที่เพิ่มขึ้น และเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากยิ่งขึ้น

                  สำหรับปี 2022 รูปแบบพฤติกรรมของผู้บริโภคยังคงดำเนินไปทิศทางเดียวกับในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มการใช้งานแพลตฟอร์มออนไลน์ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ กลยุทธ์ทางการตลาดแบบดิจิทัลจึงจำเป็นอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่การเพิ่มยอดขายมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยธุรกิจได้ในระยะยาวอีกด้วย ยกตัวอย่างเทรนด์การขายที่มาแรงในปี 2022 (Sales Trend 2022) คือ การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ควบคู่ไปกับกลยุทธ์ทางการตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำระบบ CRM หรือระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าเข้ามาช่วยนั้น จะสามารถช่วยเพิ่มยอดขายไปพร้อมกับการมัดใจลูกค้าให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์หรือ Brand Loyalty ซึ่งเป็นการเพิ่มยอดขายและการสร้างแบรนด์ได้อย่างยั่งยืน

                  เพราะในปัจจุบันนี้การเพิ่มช่องทางการขายเพียงอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ที่จะทำให้ธุรกิจเติบโตและก้าวให้ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก วันนี้ Connect X จะขอแนะนำการปรับกลยุทธ์การขายให้ธุรกิจแบบใหม่ด้วยระบบ CRM

                  Customer Relationship Management (ระบบ CRM) คืออะไร

                  CRM คือ ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ให้ธุรกิจหรือองค์กรสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์ของลูกค้าเอาไว้ให้ได้นานที่สุด พร้อมสร้างโอกาสจาก Potential Customer โดยมุ่งเน้นไปในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและการปฏิสัมพันธ์แบบเฉพาะตัวอย่างมีคุณค่า รวมถึงการนำเสนอสินค้าอย่างถูกที่ถูกเวลาอีกด้วย

                  กระบวนการดังกล่าวจะต้องอาศัยการเก็บข้อมูลของผู้บริโภคมาวิเคราะห์ เพื่อหากลยุทธ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ระบบ CRM ยังสามารถนำใช้กับธุรกิจ B2B (Business-to-Business) ได้อีกด้วย โดยที่จะเข้ามาช่วยให้ฝ่ายการขายจัดการ Sales Circle ได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

                  5 กลยุทธ์เพิ่มยอดขายด้วย ระบบ CRM

                  1.โฆษณาให้ถูกช่องทางและถูกที่ถูกเวลา

                  ด้วยระบบนี้จะเก็บข้อมูลด้านพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า เพื่อต่อยอดกิจกรรมทางการตลาดให้ถูกจุด เช่น ข้อมูลความสนใจของลูกค้า ลูกค้านิยมใช้ช่องทางใดบ้าง เป็นต้น เป็นการช่วยทำให้ธุรกิจทำความเข้าใจลูกค้าได้มากขึ้น และสื่อสารได้อย่างตรงจุด ทำให้สามารถปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว

                  2. ตอบแชทได้รวดเร็วทันใจ ลูกค้าตัดสินใจได้ทันที

                  ระบบนี้สามารถเก็บข้อมูลของลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาในทุกช่องทาง รวมไปถึงการรวบรวมช่องทางแชท เช่น Facebook, LINE, Twitter หรือ Instagram  ให้สามารถตอบได้บนแพลตฟอร์มเดียวและตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังสามารถติดตามว่าลูกค้ากำลังอยู่ในกระบวนการใดของการซื้อ เพื่อช่วยแนะนำผลิตภัณฑ์หรือบริการได้ตรงกับความต้องการ ช่วยให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจได้ในทันที

                  3. สร้างความประทับใจผ่านการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalize Marketing)

                  ระบบนี้จะจะช่วยติดตามและเก็บข้อมูลของลูกค้าแต่ละคนไว้ว่ามีความสนใจด้านใด มีการดูสินค้าประเภทไหนเอาไว้บ้าง ซึ่งสามารถนำข้อมูลมาต่อยอดให้เกิดการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) เพื่อสร้างคุณค่าและสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าคนนั้นๆ ได้ อาทิ การส่งโปรโมชันพิเศษเพื่อกระตุ้นการขาย หรือยิงโฆษณาความสินค้าที่ลูกค้าสนใจ ทำให้มัดใจลูกค้าขาจรเป็นขาประจำได้ไม่ยาก

                  4. ติดตามลูกค้าและให้บริการแบบไร้รอยต่อในทุกช่องทาง

                  ระบบนี้จะช่วยรวบรวมข้อมูลออกมาเป็นรายงานการขายที่สามารถเรียกดูได้ทุกเวลาแบบเรียลไทม์ ทำให้การติดตามลูกค้าทุกคนพร้อมกันได้อย่างง่ายดายมากขึ้น พร้อมช่วยให้สามารถตอบคำถามและให้บริการทุกช่องทางในรูปแบบ Omni Channel ไม่ว่าจะเป็นที่หน้าร้านหรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ก็สามารถเชื่อมกันได้อย่างไร้รอยต่อ จนทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และอยากกลับมาซื้อซ้ำ

                  5. เพิ่มบริการหลังการขาย เพื่อมัดใจลูกค้า

                  จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นระบบ CRM รวบรวมข้อมูลทุกความเคลื่อนไหวของลูกค้าทุกคนเอาไว้ จึงช่วยให้สามารถเพิ่มบริการหลังการขายได้อย่างตรงจุด และช่วยลูกค้าแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างทันท่วงที ซึ่งการให้บริการที่เอาใจใส่และแก้ปัญหาได้รวดเร็วนั้นสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าเป็นอันดับต้นๆ จึงช่วยมัดใจลูกค้าให้เป็น Loyal Customer ของแบรนด์ได้นั่นเอง

                  จากที่ Connect X ได้แนะนำกลยุทธ์เด็ดเพิ่มยอดขายกันไปแล้ว จะเห็นว่าระบบ CRM เป็นหัวใจหลักที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตและประสบความสำเร็จได้อย่างยั่งยืนในยุคนี้ โดยช่วยปรับปรุงการบริการตั้งแต่กระบวนการช่วงต้นน้ำ-ปลายน้ำ กล่าวคือตั้งแต่เริ่มขายไปจนถึงการบริการหลังการขายได้อย่างครบวงจร และยังช่วยให้ธุรกิจพร้อมก้าวทัน Marketing Trend ใหม่ๆ ได้อีกด้วย ซึ่งเป็นตัวช่วยทางธุรกิจที่มีความสำคัญในยุคปัจจุบันและอนาคตเป็นอย่างมาก

                  สำหรับใครที่กำลังมองหาระบบ CRM มาเริ่มต้นใช้ในธุรกิจนั้น Connect X คือ แพลตฟอร์ม CDP ที่คุณกำลังมองหา มีเครื่องมือเก็บข้อมูลลูกค้าที่มาพร้อมกับระบบ CRM ในตัวที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Marketing Automation กับ AI อัจฉริยะที่คอยช่วยเรื่องการตลาดแบบอัตโนมัติด้วย มั่นใจได้ว่า Connect X มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และพร้อมที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณเติบโตอย่างก้าวกระโดด

                  บทความอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับ Customer Relationship Management (CRM)

                   

                  ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                  *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                    Yearly Budget

                    How do you know us?

                    GDPR ต่างจาก PDPA อย่างไร? กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลที่แบรนด์ไทยต้องรู้

                    GDPR-PDPA

                    เจ้าของธุรกิจออนไลน์ทุกท่านอาจเคยได้ยินหรือทราบถึง PDPA ซึ่งคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่ถูกบังคับใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถือเป็นหนึ่งในกฎหมายที่เกิดขึ้นเพื่อตอบรับการเติบโตของเทคโนโลยีสารสนเทศและการจัดเก็บข้อมูลในยุคดิจิทัล อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังเกิดคำถามว่า “PDPA กับ GDPR ต่างกันอย่างไร?” และแบรนด์ไทยจำเป็นต้องรู้เรื่อง GDPR หรือไม่?

                    ในบทความนี้ Connect X จะพาเจ้าของธุรกิจทุกท่านไปรู้จักกับ PDPA อย่างละเอียด พร้อมอธิบายความสัมพันธ์กับ GDPR เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นใจและถูกต้องตามกฎหมาย

                    กฎหมาย PDPA คืออะไร?

                    PDPA (Personal Data Protection Act) คือกฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครอง “ข้อมูลส่วนบุคคล” ที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีชื่อภาษาไทยว่า “พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562” ซึ่งได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 และเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565

                    PDPA เป็นกฎหมายที่แบรนด์ไทยทุกแห่งต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่มีผลบังคับใช้กับข้อมูลออนไลน์ แต่ยังครอบคลุมถึงข้อมูลออฟไลน์ เช่น การเก็บข้อมูลลูกค้าผ่านใบสมัคร การจดบันทึก หรือแม้แต่การใช้กล้องวงจรปิดในพื้นที่ขององค์กร

                    PDPA ครอบคลุมข้อมูลด้านใดบ้าง?

                    กฎหมาย PDPA เป็นกฎหมายที่มาพร้อมกับการก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสาร ซึ่งแน่นอนว่าครอบคลุมข้อมูลบนสื่อออนไลน์ เช่น การเก็บข้อมูลผ่านระบบ CRM ไปจนถึงข้อมูลออฟไลน์อย่างการจดบันทึกอีกด้วย ทั้งยังเป็นกฎหมายที่ป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Violation) แบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมล รูปภาพใบหน้า ข้อมูลเสียง ลายนิ้วมือ ฯลฯ

                    ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ PDPA นั้นครอบคลุมไปถึง Sensitive Data หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวด้วย อาทิ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความเห็นทางการเมือง ความเชื่อ ลัทธิ ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลทางด้านสุขภาพ ข้อมูลทางพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ Cookies ID หรือ Device ID

                    จะเห็นได้ว่า PDPA นั้นครอบคลุมข้อมูลของผู้บริโภคแบบรอบด้านเลยทีเดียว ซึ่งการที่นิติบุคคล กิจการ หรือแบรนด์ต่างๆ จะเก็บรวบรวมข้อมูลได้นั้น ต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเสียก่อน

                    GDPR มีข้อแตกต่างอย่างไร?

                    กฎหมาย GDPR นั้นย่อมาจาก General Data Protection Regulation ที่จริงๆ แล้วอาจไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมากนัก เนื่องจากเป็นข้อบังคับในกฎหมายของสหภาพยุโรป (European Union หรือ EU) จะคุ้มครองข้อมูลของส่วนบุคคลของประชากรในสหภาพยุโรปและบุคคลสัญชาติยุโรปที่อยู่ในต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลจะไม่ถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ และได้เริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เป็นที่เรียบร้อย หากท่านมีกิจการระหว่างประเทศ (International Business) อยู่ในสหภาพยุโรป ก็ควรพึงปฏิบัติตามข้อกฎหมายนี้ด้วย

                    GDPR ในยุโรปนั้นได้ถูกร่างและบังคับใช้มาก่อน PDPR ของไทย หรือพูดในอีกนัยหนึ่งว่า GDPR เป็นต้นแบบของ PDPR ก็ว่าได้ และมีข้อกำหนดที่มากกว่าด้วย แต่ในไม่ช้า พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้จะมีการร่างข้อบังคับเพิ่มเติมและประกาศใช้ภายหลัง เจ้าของธุรกิจทุกท่านควรศึกษาและปรับธุรกิจให้อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้

                    ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไรเมื่อมีกฎหมาย PDPA และ GDPR?

                    สิ่งแรกๆ ที่ผู้ประกอบการและแบรนด์ควรให้ความสำคัญคือ การสร้าง Privacy Policy หรือนโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อ “แจ้ง” รายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เก็บข้อมูลอะไร ใช้ทำอะไร ลบข้อมูลเมื่อใด เป็นต้น

                    นอกเหนือจากนั้น ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 พ.ร.บ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ จะมีการบังคับใช้ให้ผู้ที่เก็บรวบรวมข้อมูลต้องทำ Privacy Policy ด้วยนั่นเอง เพื่อเป็นการป้องกันการถูกฟ้องร้อง แบรนด์ควรขอความยินยอมในการเก็บข้อมูล การใช้หรือการเปิดเผยข้อมูลเสียก่อน หรือที่เรียกว่า Consent Management นั่นเอง

                    การใช้ระบบเก็บข้อมูลอย่างระบบ CRM หรือ ระบบ CDP ที่ได้มาตรฐานและสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างชาญฉลาด เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการทุกท่าน

                    ดังนั้นการบริหารข้อมูลส่วนบุคคลจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์โดยตรง และจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะหากไม่มี “ข้อมูล” แล้ว การทำการตลาด เช่น Personalized Marketing หรือ Remarketing จะเป็นไปไม่ได้เลย

                    บทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม PDPA

                    การละเมิดกฎหมาย PDPA ไม่ใช่เพียงแค่การกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง ซึ่งอาจสร้างผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจทั้งในด้านการดำเนินงานและความเชื่อมั่นของลูกค้า โดยบทลงโทษของ PDPA แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ โทษทางแพ่ง โทษทางอาญา และโทษทางปกครอง

                    1. โทษทางแพ่ง
                    หากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้รับความเสียหายจากการกระทำที่ละเมิด PDPA พวกเขาสามารถยื่นฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลได้โดยตรง และศาลมีอำนาจในการพิจารณาชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติม โดยอาจสั่งให้ชดใช้สูงสุดถึงสองเท่าของมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง ขึ้นอยู่กับระดับของความเสียหายและพฤติการณ์แห่งคดี

                    2. โทษทางอาญา
                    ในกรณีที่มีการละเมิด PDPA โดยเจตนา เช่น การเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยมิชอบ ผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษทางอาญา ซึ่งรวมถึงโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขึ้นอยู่กับระดับของความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเจ้าของข้อมูล

                    3. โทษทางปกครอง
                    คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีอำนาจในการกำหนดโทษทางปกครองกับหน่วยงานหรือองค์กรที่ไม่ปฏิบัติตาม PDPA ได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งรวมถึงการสั่งปรับทางปกครองเป็นจำนวนเงินสูงสุดไม่เกินห้าล้านบาท นอกจากนี้ คณะกรรมการยังสามารถสั่งระงับการเก็บ รวบรวม หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลได้ทันที และในบางกรณีอาจกำหนดให้ดำเนินมาตรการแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดด้วย

                    แน่นอนว่าไม่มีผู้ประกอบการท่านไหนต้องการที่จะเสียค่าปรับหรือจำคุก การนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในทางที่เหมาะสมและการเข้าใจขอบเขตในการเข้าถึงข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบทุกครั้ง ไม่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในระยะยาว

                    หากคุณกำลังมองหาโซลูชันที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดของ PDPA Connect X พร้อมช่วยคุณวางระบบที่สอดคล้องกับกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการจัดการความยินยอม การจัดเก็บ และการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ธุรกิจของคุณเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นใจและยั่งยืนในยุคดิจิทัล

                    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                      Yearly Budget

                      How do you know us?