Category Archives: other

เอาชนะตลาด E-Commerce ด้วยกลยุทธ์การตลาดผ่านระบบ Marketing Automation

ใครที่กำลังเริ่มต้นประกอบธุรกิจ E-Commerce ต้องไม่พลาดที่จะรู้จักระบบ Marketing Automation เพื่อให้แน่ใจว่าแบรนด์จะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ตรงจุด

ตอนนี้เรากำลังเดินทางเข้าสู่ในช่วงท้ายปี 2022 แล้ว ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่เทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ไม่เว้นแม้แต่ในโลกการตลาดออนไลน์ ที่แบรนด์ต่างๆ ต้องหาเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาเป็นตัวช่วยท่ามกลางการแข่งขันที่สูงเพิ่มขึ้นอย่างไม่มีท่าทีว่าจะลดลงในเร็ววัน โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) ที่มีความจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลเชิงลึกต่างๆ เพื่อสร้างสรรค์แคมเปญการตลาดให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุดมากขึ้น

สำหรับแบรนด์และนักการตลาดมือใหม่ที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจ E-Commerce และกำลังมองหาเทคโนโลยีหรือเครื่องมือที่จะเข้ามาช่วยให้การทำการตลาดสะดวกรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพการทำงานที่เพิ่มขึ้น การใช้เครื่องมืออย่างระบบการขายอัตโนมัติหรือ Marketing Automation ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่เหมาะสม เพราะว่าสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันส่งผลให้หลายธุรกิจต้องรู้จักปรับตัวให้ไวมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ลองนึกภาพดูว่าหากคู่แข่งของคุณมีการปรับตัวได้ไวกว่าอย่างการเริ่มใช้ระบบ CRM, Sales Automation หรือใช้ AI Automation ต่างๆ กันไปแล้ว แต่หากว่าหลังบ้านธุรกิจของคุณยังคงยึดติดกับระบบการขายแบบดั้งเดิมอยู่ บอกได้เลยว่าอีกไม่นานคงอาจจะต้องเตรียมตัวบอกลาธุรกิจของคุณในเร็ววันเลย

ดังนั้นในบทความนี้ Connect X จะพาทุกคนไปรู้จักกับการใช้เครื่องมือ Marketing Automation ในธุรกิจ E-Commerce ให้มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างยอดขายอย่างก้าวกระโดด ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

Marketing Automation คืออะไร?

สำหรับใครที่มีประสบการณ์การทำงานในสาย Digital Marketing คงคุ้นเคยกับคำว่า Marketing Automation กันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทในแวดวงการตลาดออนไลน์มากขึ้น ใครที่ไม่รู้จักเชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอ Marketing Automation กันโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นการช้อปปิ้งออนไลน์ตามแพลตฟอร์ม E-Commerce ต่างๆ ไม่ว่าจะบนแอปฯ หรือบนเว็บไซต์ก็ตาม ในบางครั้งคุณอาจมีความรู้สึกสงสัยว่า “ทำไมแพลตฟอร์มเหล่านี้ถึงรู้ว่าเรากำลังมองหาสินค้าอะไรอยู่?” หรือบางทีก็มีอีเมลเสนอโปรโมชันพิเศษเข้ามาในจังหวะเวลาที่กำลังนึกถึงสินค้านั้นๆ อยู่แบบพอดิบพอดี ทำให้ในที่สุดก็ต้องเสียเงินให้กับร้านค้านั้นไปแบบไม่รู้ตัว ใครที่เคยผ่านประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้มาแล้ว บอกได้เลยว่าคุณกำลังตกอยู่ในวังวนของกลยุทธ์การตลาดผ่านระบบ Marketing Automation ไปเรียบร้อยแล้ว

ในทางเทคนิค ระบบ Marketing Automation ที่นักการตลาดนิยมใช้กันจะมีหลักการปฏิบัติที่เข้าใจไม่ยาก คือการใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ให้มีหน้าที่เข้ามาช่วยจัดกิจกรรมทางการตลาดโดยอัตโนมัติ โดยจะเริ่มจากการเก็บข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า ผ่านวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกอ่านบทความ การสมัครสมาชิก ดาวน์โหลด ข้อมูลคุ้กกี้ (Cookies) และอื่นๆ จากนั้นระบบ  AI จะเข้ามาช่วยประมวลผลข้อมูลและเลือกนำเสนอคอนเทนต์หรือสร้างแคมเปญ ต่างๆ ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายในจังหวะและเวลาที่เหมาะสมที่มีโอกาสในการขายสินค้าได้มากที่สุดนั่นเอง

เอาชนะตลาด E-Commerce ด้วย Marketing Automation

อย่างที่บอกว่าระบบการขายอัตโนมัตินี้โดดเด่นอย่างมากในการเก็บข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายและนำเสนอคอนเทนต์หรือสร้างแคมเปญการตลาดที่ตรงใจลูกค้าได้แบบ Real-Time จึงเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่เหมาะสมในการนำมาใช้กับธุรกิจแบบ E-Commerce ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

ลองมาดูประโยชน์ 3 ข้อ ในการทำ Marketing Automation กัน

  • รวมทุกช่องทางการสื่อสารไว้ที่เดียว – ในปัจจุบันผู้บริโภคในตลาด E-Commerce ทั่วไป มีการใช้ช่องทางการติดต่อสื่อสารในแพลตฟอร์มที่หลากหลาย ดังนั้นระบบ Automation ส่วนมาก จึงมีการออกแบบให้รองรับการรวบรวมข้อมูลของกลุ่มเป้าหมายจากช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Messenger, LINE, Instagram ฯลฯ เพื่อให้เก็บรวมในที่เดียวกัน เพื่อให้แบรนด์หรือนักการตลาดเห็นภาพรวม และเข้าใจความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้การวิเคราะห์หาข้อมูลเชิงลึกต่างๆ สามารถทำได้ง่าย แม่นยำ และมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • ลดภาระการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพ 2 เท่า – ธุรกิจ E-Commerce เป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีแนวโน้มการแข่งขันที่สูงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องมีการควบคุมต้นทุนให้อยู่ในกรอบเสมอ โดยการใช้ระบบ Marketing Automation เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่สามารถช่วยลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี ตัวอย่างเช่น หน้าที่การเก็บข้อมูลหรือสถิติในเว็บไซต์ต่างๆ ที่อาจจะเคยใช้พนักงานในการดูแลส่วนนี้ แต่เมื่อใช้ระบบนี้เข้ามาช่วยก็สามารถจัดการหน้าที่ดังกล่าวได้แบบเบ็ดเสร็จ ลดการทำงานที่ซ้ำซ้อน อาจมีการใช้เพียงแค่ไม่กี่คนในการมอนิเตอร์ระบบเท่านั้น พูดได้เลยว่าสามารถควบคุม Sale Process ได้ตั้งแต่ต้นจนจบ
  • วางแผนงานในระยะยาวได้ง่ายขึ้น – การทำความเข้าใจกลุ่มเป้าหมายให้มากที่สุดเป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญในการทำการตลาดออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเก็บรวบรวมข้อมูลนำมาต่อยอดและพัฒนากลยุทธ์การตลาดในแนวทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาเว็บไซต์ ทำ Content Marketing หรือเป็นการสื่อสารในวิธีการอื่นๆ  ดังนั้นระบบการขายอัตโนมัติจึงเป็นเครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดเพื่อให้แบรนด์ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ

ทิ้งท้าย

จบไปแล้วสำหรับข้อมูลดีๆ ของการใช้งานระบบ Marketing Automation ในธุรกิจ E-Commerce ที่ Connect X ได้นำมาฝากกันในวันนี้ เชื่อว่าผู้ประกอบการมือใหม่หลายคนคงพอเห็นภาพรวมของระบบการขายอัตโนมัตินี้กันไปไม่มากก็น้อย สำหรับใครที่กำลังมองหา Marketing Platform ที่จะเข้ามาเป็นตัวช่วยทำการตลาดออนไลน์ให้กับธุรกิจอยู่ ก็อย่าลืมพิจารณาเครื่องมือที่สามารถรองรับความซับซ้อนของ Customer Journey ในปัจจุบัน เพราะการ Go Online ให้กับธุรกิจในยุคนี้เป็นเรื่องสำคัญที่จะมองข้ามไปไม่ได้

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

Omni Channel กลยุทธ์การตลาดที่ทุกธุรกิจต้องใช้ในปัจจุบัน

พื้นฐานและกลยุทธ์ของ Omnichannel ทำไมมันถึงสำคัญอย่างมากในยุคปัจจุบัน (Digital)

ในบทความนี้จะมาแชร์ให้เพื่อนๆเกี่ยวกับพื้นฐานของกลยุทธ์ Omnichannel ว่าทำไมมันถึงสำคัญมีความสำคัญอย่างมากในปี 2022 และเพื่อให้เห็นภาพของแบรนด์ที่เป็นผู้นำ ในบทความนี้จะแสดงให้เห็นถึงสถิติแบบ Omni-channel เพื่อใช้สำหรับการตลาดและประสบการณ์ของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นบริษัทใหม่หรือบริษัทที่มั่นคงและมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับลูกค้าของบริษัท 

การเริ่มต้นแนวทางแบบ Omnichannel ด้วยข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญ ในการสร้างกลยุทธ์ Omnichannel จะต้องทำแผนที่เส้นทาง(Customer Journey) ที่ลูกค้าใช้ระบุแพลตฟอร์มและ Touchpoint ที่ผู้ใช้งานหรือลูกค้ากำลังเข้าชม Omnichannel ทำให้การเชื่อมต่อกับแบรนด์ง่ายขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางของลูกค้า(Customer Journey) จากในอดีตที่เคยมีประสบการณ์ที่แยกจากกันสำหรับทุกช่องทางที่ลูกค้าใช้ ประสบการณ์แบบ Omnichannel จะสร้างประสบการณ์ที่สอดคล้องกันตลอดทั้งเส้นทางของลูกค้า(Customer Journey) จากประสบการณ์ที่ราบรื่น ลูกค้าเกือบ 80 เปอร์เซ็นต์จึงชอบกลยุทธ์แบบ Omnichannel มากไปกว่านั้นกุลยุทธ์ Omnichannel ยังมีอัตราการรักษาลูกค้าไว้สูงกว่าแคมเปญแบบช่องทางเดียวถึง 90% เมื่อเทียบกับแคมเปญที่เน้นการตลาดช่องทางเดียว

https://www.dmit.co.th/en/zendesk-updates-en/what-omnichannel-customer-service-really-means/

Omnichannel marketing คืออะไร?

Ominichannel เป็นการผสมผสานระหว่างช่องทางต่างๆ เข้าด้วยกันดังเช่นในภาพข้างล่าง ซึ่งใช้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและเส้นทางของลูกค้า (Customer Journey) เพื่อช่วยให้ลูกค้านั้นได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดตั้งแต่การกดมาเจอหน้าสินค้า กระบวนการระหว่างซื้อ จนกระทั่งซื้อสินค้า การตลาดแบบช่องทาง Omni ใช้มุมมองที่เน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์ทางการตลาด ผู้บริโภคสามารถโต้ตอบกับแบรนด์ต่างๆ ผ่านช่องทางต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โซเชียลมีเดียไปจนถึงสายด่วนบริการลูกค้า(call center) แนวทางแบบ Omnichannel ช่วยให้มั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้รับประสบการณ์เชิงบวกและสม่ำเสมอในแต่ละช่องทาง 

ขอยกตัวอย่างในเคสของ KFC โดยก่อนที่เราจะถึงร้านเราสามารถสั่งอาหารผ่านตัวแอพลิเคชั่นของ KFC โดยใช้ส่วนลดคูปองออนไลน์แต่เราเลือกที่จะไปจ่ายเงินที่ร้านและรับอาหารที่ร้านได้

ข้อดีและประโยชน์ของการทำ Omnichannel

ในปัจจุบันแบรนด์ส่วนใหญ่ยอมรับว่าวิธีการแบบ Omnichannel นั้นสามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแม้ว่าการนำรูปแบบกลยุทธ์ Omnichannel ไปใช้นั้นไม่ได้ง่ายแต่เมื่อทำอย่างถูกต้องแล้วกุลยุทธ์นี้จะมีประโยชน์มาก ผู้บริโภคทุกวันนี้คุ้นเคยกับการถูกส่งข้อความจากแบรนด์ต่างๆ ไม่ว่าจะผ่านช่องทางแอพลิเคชั่น sms หรือ E-mail และด้วยเหตุนี้การสร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้าจากทุกช่องทางนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญทำให้ลูกค้าไม่พลาดข่าวสารโปรโมชั่นใหม่ๆจากทางแบรนด์ เราจึงขอแบ่งเป็นข้อดีย่อยๆมาดังนี้

ประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น : หมายความว่า omnichannel จะมุ่งเน้นไปที่ประสบการณ์ส่วนบุคคลทำให้เวลาที่แบรนด์ยิงแคมเปญออกไปผ่านสื่อช่องทางต่างๆเช่น แอพลิเคชั่น sms หรือ E-mail จะทำให้ผู้บริโภครู้สึกราวกับว่าแบรนด์ได้รู้จักตัวตนของเขาและรู้สึกมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับทางแบรนด์เพราะไม่ว่าลูกค้าจะสะดวกตอบกลับทางแบรนด์จากช่องทางไหนทางแบรนด์ก็สามารถรับรู้ได้ว่าคุณคือใคร

รายได้ที่เพิ่มขึ้น – อย่างที่ได้บอกไปในข้อข้างบนว่าแนวทางแบบ Omnichannel นั้นส่งเสริมให้ลูกค้ามีส่วนร่วมกับแบรนด์ผ่านช่องทางติดต่อหลากหลายช่องทาง การมีส่วนร่วมที่เพิ่มขึ้นและหลากหลายเหล่านี้ในแต่ละขั้นตอนของเส้นทางผู้ซื้อ(Customer Journey) สามารถช่วยเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทจริง มีงานวิจัยแสดงให้เห็นแล้วว่าลูกค้าที่มีส่วนร่วมกับ Touchpoints หลายจุดมักจะมี Value มากกว่า 30 เปอร์เซ็นต์ การส่งข้อความที่ตรงเป้าหมายจะทำให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์ ทำให้มีโอกาสมากขึ้นที่ลูกค้าจะซื้อของจากแบรนด์ของเราอีกครั้ง(เกิด Loytalty ซื้อซ้ำ)

ข้อมูลและการระบุแหล่งที่มาที่ดีขึ้น – การเป็น Omnichannel อย่างแท้จริงไม่ควรทำแค่สู่ประสบการณ์ของผู้ใช้กับแบรนด์ของเราท่านั้น แต่ควรรวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลของเราด้วย ด้วยการติดตามการมีส่วนร่วมผ่านช่องทางต่างๆ แบรนด์ต่างๆ จะเข้าใจมากขึ้นว่าเส้นทางของลูกค้าเป็นอย่างไร เมื่อใดและที่ใดที่ผู้บริโภคต้องการมีส่วนร่วม และแคมเปญใดที่สร้างมูลค่าได้มากที่สุด ข้อมูลทั้งหมดนี้สามารถนำกลับไปสู่กลยุทธ์ของคุณเพื่อสร้างแคมเปญที่ตรงเป้าหมายมากขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายด้านสื่อ

What Is Omnichannel? {Examples, Pros & Cons, Strategy}

ก่อนจบ

หลังจากอ่านบทความจบแล้วทางทีมงาน ConnectX หวังว่าทุกท่านจะเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่าการตลาดแบบ Omnichannel คืออะไร และเหตุใดจึงมีความสำคัญต่อแบรนด์และองค์กรทั่วโลก ปัจจุบันทุกบริษัทมีเป้าหมายและวัตถุประสงค์ของตนเอง มีวิธีการที่ชัดเจนในการดึงดูดความสนใจของลูกค้าและสร้างรายได้ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการรักษาลูกค้าในช่องทางเดียวในปัจจุบันค่อนข้างจำกัด การใช้วิธีการแบบ omnichannel จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในปัจจุบันนั่นเอง

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

Customer Journey มีความสำคัญอย่างไรกับการทำการตลาด

Connect-X จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ Customer Journey ในยุคปัจจุบันว่ามีความสำคัญอย่างไร

เพื่อนๆที่อ่านบทความนี้คงเคยได้ยินเกี่ยวกับกระบวนการทางการตลาดที่เรียกว่า Customer journey แต่ทราบหรือไม่ว่าคำเหล่านี้หมายถึงอะไรกันแน่ ? วันนี้ทาง ConnectX เลยเขียนบทความที่เกี่ยวกับ Customer Journey มาให้ได้อ่านกันค่ะ

อย่างแรกเราจะต้องเข้าใจเส้นทางของลูกค้ากันก่อน

การเดินทางของลูกค้า(Customer Journey) คือแผนที่เส้นทางที่ลูกค้าใช้ตั้งแต่การเข้ามาเลือกซื้อจนกระทั่งปิดการขาย เส้นทางของลูกค้า(Customer Journey) สามารถคดเคี้ยวและวนเวียนไม่เหมือนกับช่องทางการตลาดแบบเดิมในอดีตที่ยังไม่มีการขายแบบออนไลน์ ยิ่งลูกค้าเลือกซื้อขายของนานเท่าไหร่ เส้นทางของลูกค้า(Customer Journey) โดยเฉลี่ยก็จะยิ่งยาวขึ้นและซับซ้อนมากยิ่งขึ้นแต่นั้นก็เป็นข้อดีทำให้เรามีข้อมูลที่สามารถเก็บเพิ่มและนำไปวิเคราะห์ได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

การติดตามการเดินทางของลูกค้า(Customer Journey) อาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ต้องใช้ข้อมูลมากมายในการค้นหาว่าลูกค้ากำลังทำอะไรอยู่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อบางอย่างและอยู่ในขั้นตอนกระบวนการไหนแล้วในระหว่างซื้อ จึงเป็นการยากที่จะสร้างภาพที่แม่นยำ 100 เปอร์เซ็นต์(Customer Journey Map) แต่ถ้าเรามีข้อมูลที่เพียงพอ การศึกษาเส้นทางในการซื้อของลูกค้าจะมีเป็นประโยชน์มาก อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้าเพราะเราสามารถนำ Customer journey ที่ได้ไปวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงเส้นทางการเข้ามาของลูกค้าการซื้อของลูกค้ารวมทั้งกระทั่งช่องทางการปิดการขายว่าทำไมลูกค้าถึงได้เลือกซื้อผ่านช่องทางนี้ ช่องทางที่ลูกค้าได้เลือกซื้อดีกว่าช่องทางอื่นอย่างไรจึงนำไปสู่การทำ Personalize marketing ซึ่งการที่ดู Customer journey แน่นอนว่าคุณจะต้องดูทีละคนเก็บรวบรวมข้อมูล Data ของลูกค้าที่มีความเหมือนกันคล้ายคลึงกันแล้วจัดทำ segmentation เพื่อนำไปสู่การทำ Personalize marketing ต่อไป

Modern Consumer Journey: Everything You Need to Know

การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey)

1. Awareness (การรับรู้)

การรับรู้หมายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการไปยังกลุ่มเป้าหมาย ในระหว่างขั้นตอนAwareness การเดินทางของผู้บริโภค(Customer journey)มีความสำคัญอย่างมากลูกค้าจะค้นหาโซลูชันและพบกับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่มากมายแต่เราจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเกิดความสนใจและหยุดที่เรา

ดังนั้นสิ่งที่เราต้องรู้ในขั้นตอนของ Awareness คือ

สิ่งที่ผู้บริโภคกำลังทำ: ในขั้นตอนนี้ ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะทำการค้นหาข้อมูลและเปรียบเทียบจากหลายแหล่ง ซึ่งอาจรวมถึงการค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาจากKeyword ที่สำคัญ การอ่านโพสต์ในบล็อกและบทความข่าวหรือการเรียกดูฟอรัมออนไลน์

แบรนด์สามารถทำอะไรได้บ้าง: ลูกค้าหรือผู้บริโภคจะต้องตั้งคำถามเสมอว่าแบรนด์หรือสินค้าที่จะเลือกซื้อมานั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาและตอบโจทย์เราอย่างไรเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการแล้ว

อย่างไรก็ตามเราคงไม่อยากที่จะให้ลูกค้าเข้าถึงการรับรู้ถึงแบรนด์เพียงอย่างเดียวนั่นจึงนำไปสู่ข้อถัดไปก็คือให้ลูกค้าเกิดการพิจราณา(Consideration) แบรนด์หรือสินค้าของเรา

2. Consideration (การพิจารณา)

ในขั้นตอนนี้แบรนด์จะให้ความสำคัญอย่างมากกับโปรโมชั่นในระหว่างขั้นตอนการพิจารณา(Consideration) นี่คือจุดที่ลูกค้าเริ่มมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการซื้อในอดีตหรือร้านเดิมที่เคยซื้อหรือใช้บริการ ในระหว่างขั้นตอนนี้สินค้าหรือบริการของเราจะต้องพยายามโน้มน้าวให้ผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าหรือมีโอกาสจะซื้อรวมเราไว้ในรายการตัวเลือกร้านที่จะซื้อเพื่อพิจราณาต่อไป

แบรนด์ของเรามักจะได้รับการพิจารณา(Consideration) ควบคู่ไปกับแบรนด์อื่นๆอย่างแน่นอนดังนั้นเราจึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกๆ Journey ของลูกค้าจะต้องสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า

ณ จุดนี้ ผู้บริโภคจะมีการพูดคุยโต้ตอบโดยตรงกับแบรนด์ และเราจะต้องพยายามให้ลูกค้าอยู่บน Customer journey ของเราให้ได้

ถึงตรงนี้ลูกค้าสามารถทำการค้นหาแบรนด์และผลิตภัณฑ์เฉพาะ เปรียบเทียบคู่แข่ง ซึ่งอาจรวมถึงการดูข้อกำหนดและคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์และบริการอย่างใกล้ชิด การตรวจสอบนโยบายการสนับสนุนลูกค้า และการดูรีวิวจาก KOL หรือ Influencer

สิ่งที่แบรนด์สามารถทำได้คือ ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) เพิ่มประสิทธิภาพ UX อย่างต่อเนื่องในทุกๆ Touchpoint รวมถึงธุรกรรมอีคอมเมิร์ซและหน้าคำอธิบายโดยต้องง่ายรวดเร็วและกระชับ

ตัวอย่างเช่น คนๆ หนึ่งรู้ตัวว่ากำลังหิวและสามารถมองหาร้านอาหารในแอปอย่าง Google Maps ได้

สมมติว่าธุรกิจของเรามีองค์ประกอบที่ครบตามที่ Google maps ให้ใส่ เช่น มีข้อมูลเกี่ยวกับประเภทอาหารที่ขาย เมนู รูปภาพของสถานที่และอาหาร หมายเลขโทรศัพท์ และคำวิจารณ์เชิงบวกจากลูกค้าที่จริงใจ ในกรณีนี้ เราอาจทำให้ลูกค้าคิดว่าเราเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับสิ่งที่พวกเขากำลังมองหาร้านอาหารดีดีสักที่

3. Purchase (การซื้อ)

เมื่อลูกค้าได้รับข้อมูลได้มากระดับหนึ่งและพิจราณาแล้วว่ารู้สึกมั่นใจว่าสินค้านี้ดีเเละจะตอบโจทย์ความพึงพอใจของลูกค้าได้ จึงตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นๆ

ในขั้นตอนการซื้อนั้น ผู้ให้บริการหรือผู้ที่ขายสินค้าจะต้องทำอย่างไรก็ได้ที่จะให้ลูกค้าสะดวกสบายในการจ่ายเงินมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ลูกค้ามีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย Ex. บัตรเครดิต บัตรเดบิต โอนผ่านบัญชีธนาคาร ชำระผ่านตัวกลางอย่างเช่น Shopeepay หรือ ผู้ให้บริการบางรายในปัจจุบันสามารถให้ลูกค้าเลือกผ่อนชำระได้ และมากไปกว่านั้นสามารถจ่ายเป็นคริปโตได้อีกด้วย

ดังนั้นขั้นตอนการซื้อหลังจากที่ลูกค้าพิจราณาแล้วจึงมีความสำคัญอย่างมากถ้าเกิดในระหว่างการซื้อสินค้าของลูกค้าเกิดเว็บล่ม ระบบไม่ทำงานอาจทำให้ลูกค้าบางรายเกิดการเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าจากแบรนด์คู่แข่งไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมแทน

4. Retention (การใช้บริการซ้ำหรือการซื้อซ้ำ)

ในขั้นตอน Retention หมายถึง เมื่อลูกค้าเกิดความพึงพอใจใน Customer journey ตั้งแต่ Awareness Consideration และ Purchase แต่ไม่ใช่แค่นั้นเมื่อลูกค้าได้ลองใช้บริการหรือสินค้าแล้วและเกิดความพึงพอใจต่อ Product หรือ Service ก็สามารถทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้เช่นกัน ดังนั้นแบรนด์ควรมีช่องทางการสื่อสารกับลูกค้า เพื่อแจ้งโปรโมชั่น ข่าวสารส่วนลด รวมถึงสินค้าและบริการใหม่ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ และควรที่จะขอข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไว้ด้วยเช่น E-mail เพื่อทำ E-mail marketing ส่งโปรโมชั่นส่วนลดต่างๆให้กับลูกค้า

และมากไปกว่านั้นประสบการณ์หลังการขายก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำหรือซื้อซ้ำ การให้บริการหลังการขายที่ดีจะทำให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากลูกค้าจะไปแนะนำเพื่อนหรือครอบครัวให้ใช้บริการหรือซื้อสินค้าของเราต่อไปเราเรียกว่า Advocacy

5. Advocacy (การบอกต่อหรือการสนับสนุน)

การที่จะเกิด Advocacy ได้ต้องมาจาก Customer experience ที่ดี อย่างที่บอกไปในข้อ 4 ว่า เมื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์หลังการขายที่ดีจะทำให้เกิดการตลาดแบบบอกต่อแบบปากต่อปากการตลาดแบบปากต่อปากหรือบอกต่อ คือหนึ่งในวิธีทำการตลาดที่ทรงพลังมากที่สุด ลูกค้าจะไปแนะนำเพื่อนหรือครอบครัวให้ใช้บริการหรือซื้อสินค้าของเราต่อไป ซึ่งสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ๆมายังแบรนด์ได้ หลายๆคนตัดสินใจซื้อตามรีวิวจากเพื่อนร่วมงานหรือ KOL & Influencer เมื่อคนหนึ่งบอกเพื่อนคนหรือสองคนและคนอื่นๆ

เราสามารถที่จะจัดเป็นแคมเปญด้านการตลาดได้อีกด้วยอย่างเช่น Referrals แคมเปญ หมายถึงถ้าลูกค้าใช้สินค้าเราและคิดว่าดีขอให้ลูกค้าบอกต่อเพื่อนหรือคนในครอบครัวของลูกค้าและเมื่อลูกค้าบอกต่อแล้วเกิดการซื้อถึง 5 คนขึ้นไปโดยอ้างอิงจากชื่อของลูกค้าทางเราจะมี Vouncher เงินสดให้กับลูกค้ามูลค่า 1,000 บาทเพื่อใช้ซื้อของของทางแบรนด์เรา

โดยการที่จะทำ advocacy ได้นั้น เราต้องคำนึงถึงสิ่งสำคัญคือเส้นทางของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมถึงบริการต่างๆ ว่าสอดคล้องกับเส้นทางของลูกค้าหรือไม่ ดังนั้นเราก็ต้องย้อนกลับไปดูข้างบนเรื่อง Customer Journey การที่เราสามารถเข้าใจเส้นทางข้างลูกค้าจะทำให้เราเข้าไปอยู่ในเส้นทางของลูกค้าซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและการบอกต่อเพื่อให้ผู้อื่นมาซื้อเช่นเดียวกันกับตัวลูกค้า

https://www.superoffice.com/blog/customer-journey/

สรุปสั้นๆจากบทความ

การที่เราสามารถรู้ Customer Journey ของลูกค้าได้นั้นมีความสำคัญอย่างมากในการทำการตลาดปัจจุบัน เพื่อปรับปรุงและแก้ไขข้อบกพร่องของเราเองเพื่อทำให้เกิดความประทับกับลูกค้าได้มากที่สุดตั้งแต่การเห็นสินค้าหรือแบรนด์ การพิจราณาเปรียบกับคู่แข่ง การซื้อสินค้าและการบริการหลังการขาย ไปจนถึงการซื้อซ้ำหรือบอกต่อของลูกค้า ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้เราสามารถที่จะนำไปทำ Personalize marketing ได้จากข้อมูล journey โดยการแบ่ง segmentation และยิง ads แคมเปญหรือโปรโมชั่น

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

รู้จักกับ “Social Chat” ระบบรวมแชทที่รวมทุกช่องทางไว้ในที่เดียว

แนะนำว่าระบบรวมแชทคืออะไร พร้อมบอกต่อฟีเจอร์ Social Chat ของ Connect X มีคุณสมบัติและประโยชน์ต่อแบรนด์อย่างเหนือขั้น

ปัจจุบันช่องทางการซื้อขายในรูปแบบ Social Commerce เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แบรนด์ต่างๆ จึงเริ่มปรับตัวและวางกลยุทธ์ทางการตลาดในด้านนี้มากขึ้น โดยเฉพาะการตลาดบน Social Media ที่หากแบรนด์ใดการตลาดบนโซเชียลมีเดียได้ดี ก็จะเป็นที่รู้จักและสามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นช่องทางที่ผู้คนนิยมใช้งานมมากที่สุดในปัจจุบันนั่นเอง

ในยุคโซเชียลแบบนี้ สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือระบบการจัดการ ที่สามารถสนับสนุนธุรกิจให้บริการได้อย่างทันท่วงที รวดเร็วทันใจเหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคสมัยปัจจุบัน ดังนั้น Connect X ขอชวนมาทำความรู้จัก “ระบบรวมแชท” ที่ช่วยอำนวยความสะดวกทั้งด้านการบริการและการจัดการภายในธุรกิจ ช่วยสร้างความประทับใจให้และสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้า อีกทั้งยังปิดการขาย เพิ่มกำไรได้ไวด้วย

ทำความรู้จักกับระบบรวมแชท

“ระบบรวมแชท” คือ โปรแกรมที่สามารถรวมแชทจากช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Messenger, LINE, Instagram ให้มาอยู่ในหน้าจอเดียวกัน เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับธุรกิจผู้ให้บริการ ในการตอบคำถามลูกค้า บอกโปรโมชัน และปิดการขายได้ง่ายดาย

ทั้งนี้ยังมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพิ่มเติม ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามผู้ให้บริการหรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) แต่ละเจ้า ระบบรวมแชทไม่เพียงช่วยให้เหล่าแอดมินตอบลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยเหลือในด้านการบริหารจัดการภายในธุรกิจได้อีกด้วย

Social Chat ระบบรวมแชทจาก Connect X พร้อมฟีเจอร์สุดปัง

ตอบกลับลูกค้าจากทุก Platform ยอดฮิต ได้ในหน้าจอเดียว สามารถเก็บข้อมูลของลูกค้าและสามารถติดตามได้ว่าลูกค้าทักมาจากช่องทางใด เคยติดต่อจากแพลตฟอร์มไหนมาก่อน เคยสนใจสินค้าอะไร ทำให้แอดมินตอบคำถามและให้คำแนะนำได้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ปิดการขายและสร้างความประทับใจได้รวดเร็วกว่า

โดย Social Chat ของ Connect X รองรับช่องทางการแชทยอดนิยมมากมายอย่าง Facebook Messenger, LINE OA, Instagram, Website (Live Chat) ไปจนถึง Pantip (Social Listening) พร้อมฟีเจอร์แน่นๆ เพื่อช่วยเหลือแบรนด์อย่างรอบด้าน ได้แก่

  • Ticket Management – สามารถแชทลูกค้าจัดได้อย่างเป็นระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้สูงสุด ทุกข้อความที่ลูกค้าทักเข้ามาใหม่ จะถูกส่งไปหาแอดมินที่ถูกแบ่งหน้าที่เอาไว้ หรือสามารถปรับแต่งได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพิ่มประสิทธิภาพในทุกการตอบกลับ แก้ปัญหาลูกค้าได้ทันที ปิดการขายได้เร็วกว่า
  • Agent Routing – แก้ไขปัญหาแอดมินตอบแชทช้า ด้วยการจัดการเส้นทางให้มีการตอบกลับ 2 รูปแบบ
  • Channel: ตั้งค่าให้แอดมินแยกตอบตามช่องทาง Social Media
  • Most Available: ตั้งค่าให้แอดมินที่ว่างที่สุดเป็นคนตอบแชทล่าสุดก่อน

นอกจากนี้ยังสามารถวัด Performance การทำงานของแอดมินแต่ละคนได้ ว่ามีการตอบกลับรวดเร็วแค่ไหน มีจำนวนในการตอบกลับเท่าไหร่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและวัดผลได้เป็นอย่างดี

  • Customer Activity – สามารถเห็นทุกความเคลื่อนไหวของลูกค้า ตั้งแต่ก่อนที่ลูกค้าจะติดต่อมาในหน้าจอเดียว เช่น ลูกค้า Add LINE มาจาก โฆษณา (Ads) ตัวไหน และรู้ได้ว่าลูกค้าสนใจสินค้าอะไรก่อนที่จะทักเข้ามา ทำให้ทุกข้อความที่ตอบกลับไปสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้มากกว่า จนลูกค้าติดใจอยากกลับมาซื้ออีกครั้ง เพราะอยากได้รับประสบการณ์ดีๆ แบบนี้อีก
  • Marketing Automation – ช่วยสร้างการเข้าถึงลูกค้าด้วยแคมเปญการตลาดที่สร้าง Customer Journey ให้กับกลุ่มลูกค้าเก่าและกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีกิจกรรมหรือความสนใจคล้ายกัน โดยสามารถสร้าง Journey ในช่องทางที่หลากหลาย เช่น Email, SMS, Facebook, LINE, Web Push notification หรือ Mobile Push notification ซึ่งออกแบบได้ทั้งการส่งแบบ Recurring ตามเงื่อนไขของ Data เช่น Happy Birthday Campaign หรือ Campaign ตามเทศกาลสำคัญอื่นๆ
  • Collect Data to Re-Marketing – สามารถเก็บรายละเอียดบันทึกการขาย (Order) ในหน้าเดียวกันได้ ทำให้ข้อมูลลูกค้าและการขายจากช่องทางต่างๆ ถูกบันทึกเก็บไว้ที่เดียวกันแบบ Unify Customer Data เพื่อนำไปสร้าง แคมเปญหรือทำการ Retargeting ใน Channel อื่นๆต่อไป
  • Pantip Social Listening – ระบบที่เข้ามาช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ในสังคมออนไลน์ โดยสามารถสร้าง Engagement และรับมือกับทุกดราม่าในกระทู้ได้ทันท่วงที ด้วยการจับ Keyword ในกระทู้ Pantip ให้แอดมินตอบกลับได้ทันที ทุกครั้งที่มีลูกค้าพูดถึงแบรนด์

จากที่กล่าวมาทั้งหมด เห็นได้ว่า Social Chat ระบบรวมแชทจาก Connect X เป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารจัดการแบรนด์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และช่วยสร้างประสบการณ์ในการใช้บริการสุดประทับใจให้กับลูกค้าได้ไม่เหมือนใคร เพราะมีฟีเจอร์สุดเจ๋ง พร้อมยกระดับให้แบรนด์ของคุณสร้างยอดขายจนขึ้นเป็นแนวหน้าในอุตสาหกรรมเลยทีเดียว

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM (Customer Relationship Management) เพื่อธุรกิจยุคใหม่

ใครที่อยู่ในแวดวง Tech หรือ Online Marketing คงคุ้นเคยกับระบบ Customer Relationship Management (CRM) ที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวกลางระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี เนื่องจากในปัจจุบัน โลกมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่การตลาดออนไลน์จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นไปด้วย ผู้ประกอบการมือใหม่จำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือหรือตัวช่วยที่สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้จริง และสามารถสื่อสารความต้องการได้อย่างตรงจุด

โดยระบบ Customer Relationship Management (CRM) เป็นเทคโนโลยีที่มีคอนเซปต์คือ  “การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ผ่านการเก็บข้อมูลเชิงลึก” จึงทำให้ธุรกิจรู้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสมต่อความต้องการของลูกค้า เพื่อที่จะนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ได้จริง เพราะว่าเทรนด์การบริโภคของผู้คนในยุคนี้เปลี่ยนไปอยู่เสมอ การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงหนึ่งครั้งอาจส่งผลเสียที่ยากเกินแก้ไขได้ในระยะยาว ฉะนั้นแบรนด์ไหนที่ปรับตัวได้ไวรู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยได้ก่อน ก็จะได้เปรียบกว่าคู่แข่งในตลาดออนไลน์

ดังนั้นในวันนี้ Connect X จะพาผู้ประกอบการมือใหม่ทุกคนมาดู 5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM เพื่อธุรกิจยุคใหม่กัน ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

มารู้จักระบบ CRM ให้มากขึ้น

Customer Relationship Management หรือที่หลายคนเรียกกันว่า ระบบ CRM แท้ที่จริงแล้วเป็นเครื่องมือสำหรับการทำการตลาดออนไลน์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็รักษาฐานลูกค้าเดิมให้อยู่กับแบรนด์ไปนานๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบแคมเปญในช่องทางต่างๆ ทั้งการทำ Email Marketing ไปจนถึงการทำ Personalized Marketing ซึ่งเป็นการคิดแคมเปญหรือคอนเทนต์ที่ถูกจริตกับกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการ โดยทั้งหมดจะอิงจากการเก็บข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าผ่านพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์หรือประวัติการเข้าชมและซื้อสินค้า และตามแนวทางอื่นๆ ที่สำคัญคือการเก็บข้อมูลเหล่านี้ต้องเป็นไปตาม PDPA เพื่อให้ถูกต้องตามหลักข้อกฎหมายที่ต้องให้ความเป็นส่วนตัวต่อข้อมูลของลูกค้าให้มากที่สุด

 

โดยระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าหรือ CRM นี้ หากใช้อย่างถูกต้องจะส่งผลให้กลุ่มลูกค้าเกิดความประทับใจและเป็นการสร้าง Brand Loyalty ให้กับองค์กรในระยะยาว พูดง่ายๆ คือเครื่องมือนี้ไม่ได้เน้นเพียงแค่การขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเก็บรวบรวมและจัดการกับข้อมูลของลูกค้าเพื่อให้สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อแบรนด์ในแง่ของการพัฒนาและปรับปรุงแผนการตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในอนาคตนั่นเอง

5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM

สำหรับแบรนด์หรือนักการตลาดมือใหม่ที่กำลังสนใจในการใช้เครื่องมือ CRM แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ConnectX จะมาแนะนำเทคนิคพื้นฐานที่ต้องรู้ เริ่มจาก

1.เก็บข้อมูลให้รอบด้าน

เหนือสิ่งอื่นใดหากต้องการให้เครื่องมือ CRM สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แบรนด์หรือองค์กรจำเป็นที่จะต้องมีการสร้างฐานข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้มองเห็นภาพรวมทุกการ “ติดต่อ (Connect)” ของลูกค้าครบทุกมิติ โดยไม่ว่าจะในแผนกใดของแบรนด์ก็ตามจำเป็นที่จะต้องมีฐานข้อมูลลูกค้าชุดเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย ฝ่ายบริการ ฝ่ายการตลาด เป็นต้น พูดง่ายๆ ว่าหากแบรนด์หรือองค์กรสามารถจับคู่ทุกข้อมูลของลูกค้าให้รวมเป็นหนึ่งเดียวได้ ก็จะทำให้การทำงานในขั้นต่อไปมีความสะดวกและลดปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวได้ด้วยนั่นเอง

2.ใช้ AI และ Big Data ให้สอดคล้องกับธุรกิจยุคใหม่

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีสมัยใหม่มีความสามารถที่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับเทรนด์การทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันที่ไม่ใช่แค่รู้ใจลูกค้าเพียงเท่านั้น แต่แบรนด์ยังต้องตอบสนองความต้องการต่างๆ ของลูกค้าในทันที ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องมือ CRM ที่มีระบบ AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกหรือคาดการณ์ข้อมูลต่างๆ นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะขาดไปไม่ได้ เพราะระบบ AI จะช่วยให้งานของแบรนด์ลดน้อยลงแต่สามารถสื่อสารได้ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวนั่นเอง

3.กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัด

หากแบรนด์เลือกใช้เครื่องมือที่มีเทคโนโลยี AI หรือ Big Data แล้ว นั่นหมายถึงการคาดการณ์กลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นลูกค้าของแบรนด์ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยอาจจะเริ่มต้นการทำ Audience Segmentation หรือการแบ่งกลุ่มลูกค้าเพื่อให้สามารถทำการตลาดแบบ Hyper-Personalization ซึ่งจะเป็นการเจาะลึกพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ลึกมากขึ้น

4.สื่อสารให้ตรงจุด

ในขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เนื่องจากจะเป็นการสื่อสารและโต้ตอบกับลูกค้าผ่านข้อมูลเชิงลึกที่ได้เก็บรวบรวมมาในตอนแรก อย่างที่บอกว่าในปัจจุบันกลุ่มลูกค้าสมัยใหม่ต้องการบริการแบบเฉพาะบุคคลเพิ่มมากขึ้น และมีความคาดหวังให้แบรนด์ช่วยนำเสนอสินค้าและบริการที่จะตอบโจทย์ความต้องการให้ได้มากที่สุด ถือได้ว่าเป็นความท้าทายที่แบรนด์ยุคใหม่ต้องเผชิญ พูดง่ายๆ ว่านอกเหนือจากการแข่งขันกับแบรนด์ต่างๆ ด้วยกันเองแล้ว แบรนด์ยังต้องพยายามพิชิตใจลูกค้าให้ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามข้อควรระวังคืออย่าให้การสื่อสารกลายเป็นการสร้างความรำคาญให้แก่ลูกค้าแทน ไม่เช่นนั้นแทนที่จะได้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นอาจจะกลายเป็นยอดคอมเมนต์ในด้านลบมากขึ้นแทน

5.ประเมินผลและพัฒนากลยุทธ์อยู่เสมอ

เพื่อเป็นการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น การตรวจสอบและคอยประเมินผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมว่าโลกในตอนนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ทำให้ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับกระแสใหม่ๆ ที่อาจส่งผลต่อความคิดความต้องการของกลุ่มลูกค้า หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ได้มากกว่า ดังนั้นแบรนด์หรือองค์กรควรที่จะต้องหมั่นตรวจสอบถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้เพื่อคอยประเมินผลและปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของแบรนด์พร้อมที่จะแข่งขันกับคู่แข่งและสามารถพิชิตความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด

ทิ้งท้าย

ต้องบอกว่าแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน โดยส่วนมากแล้วมี Business Model ที่สอดคล้องกับเทรนด์ของ Digital Transformation ในโลกธุรกิจยุคปัจจุบันที่มีการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปในทุกอณูของแบรนด์หรือองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในการทำงานด้านการตลาดที่ต้องอาศัยเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาช่วยให้การทำงานมีความลื่นไหลและมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น อย่างการใช้เครื่องมือที่ช่วยในการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ก็ถือได้ว่าเป็นหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งการมีเครื่องมือที่ดีก็เปรียบเสมือนกับการที่แบรนด์มีแขนและขาเพิ่มขึ้น นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นและผลกำไรที่มากขึ้นในระยะยาว

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

ระวัง 3 สิ่งนี้! ก่อน Marketing Automation จะทำร้ายลูกค้า

การตลาดออนไลน์ในยุคนี้สามารถทำได้ง่ายมากกว่าแต่ก่อน เนื่องจากมีแพลตฟอร์มและเครื่องมือมากมายที่พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกกับธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือการใช้ Marketing Automation ที่สามารถทำการตลาดได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำ Lead Scoring จัดกลุ่มลูกค้า (Segmentation) ส่งโปรโมชันและประชาสัมพันธ์ ไปจนถึงการบริการความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า ฯลฯ ทั้งหมดล้วนทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด

แม้จะมีข้อดีและประโยชน์มากขนาดนี้ แต่หากใช้งาน Marketing Automation อย่างไม่ระมัดระวังก็อาจจะเป็นการทำร้ายลูกค้าแทน ทั้งด้านความรู้สึกและประสบการณ์ที่ได้จากแบรนด์ สงสัยแล้วใช่ไหมว่า ข้อควรระวังของ Marketing Automation มีอะไรบ้าง? ตาม Connect X มาดูคำตอบกัน! ซึ่งอย่างแรก มาดูข้อดีของ Marketing Automation กันเลย

ข้อดีที่ทำให้ใครๆ ต่างใช้ Marketing Automation

Marketing Automation หรือ “ระบบการตลาดแบบอัตโนมัติ” ก็คือแพลตฟอร์มหรือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งฟังก์ชันและฟีเจอร์นับไม่ถ้วน แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการตลาดด้านต่างๆ อาทิ

  • การเข้าถึง Potential Customer
  • การเก็บข้อมูลของลูกค้าและสร้างฐานข้อมูลให้กับธุรกิจ
  • ช่วยบริหารความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้า ซึ่งมักมาพร้อมกับระบบ CRM
  • สร้างและส่งแคมเปญการตลาด เช่น Email Marketing, SMS, Web Push Notification รวมไปถึงการโฆษณาบนสื่อ Social Media ยอดฮิตต่างๆ
  • ช่วย Save Cost ทั้งด้านเงินลงทุนและเวลาในการสร้างแคมเปญการตลาดให้ประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ระบบ AI ที่ทำงานแบบอัตโนมัติยังช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อนอย่างการสร้าง Report การ Tracking ไปจนถึงการตอบกลับแชทข้อความของลูกค้า จึงสามารถลดความผิดพลาดที่เกิดจากคน (Human Error) ได้เป็นอย่างดี เห็นแล้วใช่ไหมว่าระบบ Marketing Automation นั้นเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจมากแค่ไหน โดยเฉพาะธุรกิจใหม่หรือ SME ที่มีงบประมาณไม่มาก ก็สามารถใช้ระบบการตลาดแบบอัตโนมัตินี้อัปเกรดตัวเองได้ให้แข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ๆ ในตลาดได้

คราวนี้มาศึกษาข้อควรระวังต่างๆ กันเลย

3 ข้อควรระวังของ Marketing Automation

ก่อนที่ระบบ Marketing Automation จะช่วยแบรนด์ได้ดีอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่ในหลายๆ กรณีก็อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นจากการใช้งาน ทำให้แบรนด์ต้องปวดหัวกับการหาโซลูชัน

ยกตัวอย่างเช่น ระบบตอบกลับอัตโนมัติไม่สามารถตอบคำถามของลูกค้าได้จริงๆ ทำให้แอดมินต้องมาตอบเอง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการทำงานซ้ำซ้อน หรือการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย แต่กลับไม่มี Lead กลับเข้ามา เพราะแคมเปญนั้นๆ ไม่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า และปัญหาร้อยแปดที่อาจเกิดขึ้นได้ไม่เว้นแต่ละวัน สุดท้ายแล้วหลายๆ แบรนด์ไล่ตามการทำ Marketing Automation เพื่อหวังทำกำไร แต่กลับกลายเป็นว่าได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม ซึ่งมี 3 ข้อควรระวังในการใช้งานระบบการตลาดแบบอัตโนมัติดังนี้

1. ไม่ทำความเข้าใจผู้บริโภคก่อนเริ่มทำแคมเปญ

ความสะดวกสบายในการทำงาน คือ สิ่งที่ธุรกิจส่วนมากต้องการจาก Marketing Automation เพื่อลดภาระของตัวผู้ประกอบการที่ต้องดูแลในส่วนอื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม ตัว Marketing Automation นั้นเป็นเพียงแค่ “ระบบ” เท่านั้น จึงไม่ได้เข้าใจว่าผู้บริโภคตอนนั้นอยากได้อะไร เช่น เวลามีปัญหาร้ายแรงหรือเร่งด่วน ลูกค้าก็อยากคุยกับคนที่เข้าใจถึงปัญหามากกว่า ดังนั้นการจะทำ Marketing Automation ให้มีประสิทธิภาพ คือการทำความเข้าใจ Customer Journey ของลูกค้าเสียก่อน เพื่อที่จะออกแบบการใช้งาน Marketing Automation ให้ถูกต้องและแม่นยำ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ที่เข้ามาใช้บริการได้นั่นเอง

2. แบรนด์พึ่งพาระบบ Marketing Automation มากเกินไป

การปล่อยให้ระบบ Marketing Automation ดูแลลูกค้าของเราหรือทำการตลาดแทนคนมากเกินไป มักเป็นข้อผิดพลาดที่ทำให้หลายๆ แบรนด์เคยสะดุดมาแล้ว เพราะแทนที่จะช่วยให้ลูกค้าสะดวกสบายขึ้นกลับทำให้ลำบากแทน เช่น มีการส่งโปรโมชันที่ลูกค้าคนนั้นๆ ไม่ได้สนใจ ระบบ AI ตอบแชทที่เป็นคำถามซับซ้อนไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งต้องขอบอกว่า Marketing Automation ในปัจจุบันยังไม่มีความฉลาดหรือมีสัญชาตญาณที่เข้าใจมนุษย์ขึ้นมา ไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เหมือนกับมนุษย์เรา ดังนั้นก่อนที่จะนำระบบนี้เข้ามาช่วยในการทำการตลาด แบรนด์ต้องมีการวางแผนในจุดต่างๆ ให้รอบคอบก่อน พร้อมทดสอบการใช้งานก่อนนำไปใช้จริง

3.  ข้อมูล (Data) ที่มียังน้อยไป

เข้าใจว่าเจ้าของแบรนด์ต่างต้องการให้ Marketing Automation ทำงานที่ซ้ำซ้อนแทน เช่น การยิงโฆษณาหรือแคมเปญการตลาด แต่บ่อยครั้งที่ธุรกิจมี “ข้อมูล” น้อยเกินไป ส่งผลให้กิจกรรมทางตลาดไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะดึงดูดลูกค้า ระบบเรียนรู้ได้อย่างจำกัดและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าไม่ได้ ทำให้เจ้าของแบรนด์มักเข้าใจผิดว่าระบบหรือแพลตฟอร์มที่ใช้นั้นไม่มีคุณภาพ ซึ่งแบรนด์และนักการตลาดต้องกลับมาย้อนดูว่า Data ของตัวเองนั้นมีใช้อย่างเพียงพอหรือไม่ Data ดังกล่าวนั้นถูกหรือไม่ เตรียมป้อน Data ทุกอย่างให้ระบบหรือยัง เพื่อทำให้ระบบสามารถต่อยอดและแสดงประสิทธิภาพให้ได้อย่างเต็มที่

ทั้ง 3 ข้อควรระวังของ Marketing Automation นี้เป็นสิ่งที่เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดต้องทบทวนเสมอ ก่อนที่จะจำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้งานกับธุรกิจ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าแบรนด์จะสามารถสร้างแคมเปญการตลาดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กระตุ้นการขาย และเพิ่มกำไรให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงอย่างปัจจุบันได้

แล้วผู้ให้บริการระบบ Marketing Automation เก่งๆ มีใครบ้าง? ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล เพราะ Connect X นั้นเป็น Marketing Platform ที่มาพร้อมกับ CDP (Customer Data Platform) ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าแบบ 360 องศาและระบบ Marketing Automation ที่มี AI แสนฉลาด สามารถเรียนรู้และรู้ใจลูกค้าได้ง่ายๆ ประกอบกับเครื่องมือสื่อสารการตลาดแบบ Real-Time ช่วยเพิ่มยอดขายกับธุรกิจอย่างรวดเร็วทันใจ หาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว!

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

ข้อดีของโปรแกรม CDP และ CRM และบริษัทควรเลือกใช้อันนี้ดี

เรามาดูข้อดีของโปรแกรม CDP และ CRM กันดีกว่าว่าบริษัทของเรานั้นเหมาะกับโปรแกรมไหนมากกว่ากัน

Customer data platform (CDP) และ Customer relationship management (CRM)

ทั้งสองอย่างนี้มักจะทำให้คนนั้นสับสนอยู่เสมอ เนื่องจากทั้งสองแพลตฟอร์มจัดเก็บบันทึกข้อมูลของลูกค้าเหมือนกัน และทำให้ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าได้ แต่อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงแล้ว แพลตฟอร์มทั้งสองตัวนี้ มีวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกันอยู่มาก ในบทความนี้จะนำเพื่อนๆไปดูความแตกต่างระหว่าง CDP และ CRM ว่าแพลตฟอร์มไหนกันแน่ที่เหมาะกับองค์กรหรือบริษัทของเรา

CRM ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อเป็นเครื่องมือ B2B เพื่อช่วยให้ทีมได้ลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าที่มีอยู่โดยทำให้ง่ายต่อการจัดการการและโต้ตอบส่วนตัวกับลูกค้าโดยตรง เนื่องจากหน้าที่หลักของเซลล์และทีมบริการหลังการขายมีบทบาทในการติดต่อกับลูกค้าโดยตรงโปรแกรม CRM จะมาช่วยตอบโจทย์ตรงนี้ แต่สุดท้ายแล้วข้อมูลส่วนใหญ่ที่อยู่ใน CRM จะต้องถูก Import แบบ Manual

ในทางกลับกัน แรกเริ่มเดิมทีนั้น CDP ได้รับการพัฒนาเพื่อเติมเต็มความต้องการของบริษัท B2C ที่ต้องการระบบที่คล้ายคลึงกับ CRM และมีระบบ Automation ที่สามารถช่วยในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการค้าปลีกได้รับประโยชน์จาก CDP เป็นอย่างมากเนื่องจากระบบ CDP สามารถรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติและสร้างโปรไฟล์ลูกค้า มากไปกว่านั้นยังสามารถจัดการแบ่งแยก Segment ของลูกค้าเพื่อให้ง่ายต่อการทำ Automation

https://www.mparticle.com/blog/cdp-vs-crm/

แล้ว CDP กับ CRM อันไหนเหมาะกับองค์กรของเรามากกว่ากันนะ ?

CRM จะบอกได้ถึงประวัติการซื้อขายและการติดต่อกับทีม Sale ส่วน CDP นั้นจะเก็บข้อมูลตั้งแต่เมื่อลูกค้าคลิกเข้ามาดูสินค้า ว่ามาจากช่องทางไหน เห็นสินค้าจากโฆษณาอะไร ลูกค้าคลิกเข้ามาดูสินค้ารึเปล่า ทำให้เกิดข้อมูลเชิงลึกมากกว่าครับ

หลายบริษัทมักจะเริ่มต้นด้วย CRM ก่อนที่จะคิดได้ว่าในบางครั้ง CRM ไม่สามารถที่จะเก็บข้อมูลแบบ realtime ได้ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าได้มีการคลิ๊กเข้ามาดูที่หน้าเว็บและมีการกด Subscribe กรอกข้อมูลลงทะเบียนไว้บนหน้าเว็บแต่ท้ายที่สุดลูกค้ากดซื้อสินค้าบนโซเชียลมีเดียแทนที่บนหน้าเว็บไซต์ระบบ CDP จะเก็บข้อมูลทุกอย่างแบบอัตโนมัติเห็น Customer journey พฤติกรรมของลูกค้า นอกจากนี้ CRM ยังไม่สนับสนุนการตลาดแบบเรียลไทม์ แต่อันที่จริงแล้วบริษัทสามารถที่จะมี ทั้งระบบ CRM และ CDP ได้ไม่แปลก

https://www.insiderintelligence.com/chart/255511/which-marketing-solutions-do-marketing-professionals-worldwide-plan-invest-most-2022-of-respondents

สรุป

ไม่ว่าองค์กรของท่านจะใช้ซอฟแวร์ CDP หรือ CRM ทั้งสองโปรแกรมนี้ล้วนแล้วดีทั้งสิ้นอยู่ที่ว่าองค์กรของเรา งานของเรา หรือทีมของเราเหมาะกับโปรแกรมไหนมากกว่ากัน ถ้าท่านใดสนใจต้องการอ่านเรื่อง CRM และ CDP เพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลย

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

มาทำ Personalized Marketing เอาใจลูกค้าอย่างตรงจุดในยุค Digital Transformation กันดีกว่า!

Personalized Marketing เป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีมานาน แต่ในยุคแห่งดิจิทัลนี้ แบรนด์จะเอาใจลูกค้าได้อย่างไร? มาทราบคำตอบกับ Connect X

เคยไหม? เวลาท่านกำลังจะไปสั่งข้าวที่ร้านประจำ แต่ยังไม่ทันจะบอกเมนู แม่ครัวก็รู้ได้ทันทีว่าท่านชอบสั่งอะไรกินเพียงแค่ได้เห็นหน้า ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษและอยากมากินข้าวร้านนี้บ่อยๆ เหตุการณ์แบบนี้ก็คล้ายกับการตลาดแบบเฉพาะบุคคล หรือ Personalized Marketing ซึ่งกลยุทธ์การตลาดที่มีมานานแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในยุคแห่ง Digital Transformation นี้ ก็ต้องอาศัยวิธีการ ช่องทางและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น แต่ต้องทำอย่างไรบ้าง?

Personalized Marketing คืออะไร?

กลยุทธ์การตลาดแบบ “Personalized Marketing” หรือบางท่านอาจเรียกว่า “Personalization” คือการตลาดโดยสร้างข้อความ แคมเปญ หรือโปรโมชันที่เฉพาะเจาะจงไปยังบุคคลหรือผู้บริโภคที่มีความสนใจคล้ายๆ กัน เพื่อที่ลูกค้าจะได้ความรู้สึกเป็นคนพิเศษ ได้ประสบการณ์ที่ดี และกลับมาซื้อสินค้า/บริการของแบรนด์ซ้ำอีกนั่นเอง

ปัจจุบันนี้ นักการตลาดต่างก็นำเทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ เพื่อเก็บและวิเคราะห์ Data เกี่ยวกับความชอบ พฤติกรรม และความสนใจของผู้บริโภค ส่งผลให้สามารถนำเสนอคอนเทนต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและทำโฆษณาให้ตรงใจ  ซึ่ง Marketing Technology (MarTech) ก็ได้มีการพัฒนาเพื่อช่วยนักการตลาดในด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบ CRM, AI (Machine Learning), Marketing Automation หรือแม้แต่การเก็บ Cookies ตามเว็บไซต์และแอปฯ ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการทำ Hyper-Personalized Marketing โดยการนำ Big Data มาวิเคราะห์ พฤติกรรมการบริโภค เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้าในอนาคตอีกด้วย

ทำไมแบรนด์ควรทำ Personalized Marketing?

เพราะลูกค้าในยุคใหม่ต้องการ “ความไว” พร้อมกับ “ความใส่ใจ” ในทุกที่ทุกเวลา หรือจะเรียกว่าเป็นแบบ Real Time ก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นการนำเทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มยุคใหม่เข้ามาทำ Personalized Marketing จะสามารถตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้ายุค Digital Transformation ได้ อีกทั้งทาง PR Newswire ยังเผยว่า 80% ของผู้บริโภค ชื่นชอบแบรนด์ที่สามารถมอบประสบการณ์ได้แบบตรงใจ และสนองความต้องการได้

นอกจากนี้แบรนด์ยังได้รับประโยชน์ในด้านต่างๆ ด้วย เช่น

  • เสริมประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง SMS, Email, เว็บไซต์ หรือสื่อโซเชียลต่างๆ
  • สร้างยอดขาย มีโอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า/บริการมากขึ้น เพิ่ม Conversion Rate ได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้เครื่องมือ Marketing Automation อย่างถูกต้อง และจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้จาก Omni-Channel 
  • เสริมความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty)ในยุคนี้ “ข้อมูล” ถือเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อแบรนด์มอบประสบการณ์ที่ดี ลูกค้าก็ย่อมยินดีที่จะแบ่งปันข้อมูล เพื่อใช้พัฒนาการตลาดต่อไปให้ดีขึ้นได้ และเมื่อบริการลูกค้าได้ถูกใจมากขึ้น ความภักดีต่อแบรนด์ก็จะยิ่งสูงขึ้น อีกทั้งสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ได้ในระยะยาวอีกด้วย
  • ตอบโจทย์ได้ในหลายแพลตฟอร์ม สามารถเชื่อมโยงแพลตฟอร์มในการทำการตลาดออนไลน์ได้หลากหลายช่องทาง เช่น Email Marketing, SMS Marketing, LINE, Facebook หรือ เว็บไซต์ E-Commerce ก็ทำได้

สุดยอดเครื่องมือในการทำ Personalized Marketing

ช่องทางยอดนิยมในการทำ Personalized Marketing คงหนีไม่พ้น SMS และ Email ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแน่นอน เช่น การส่ง Newsletter โปรโมชันพิเศษ หรือข่าวประชาสัมพันธ์จากแบรนด์ ซึ่ง Connect X คือ CDP (Customer Data Platform) เจ้าแรกในไทยที่มี Marketing Automation ครบวงจร และสามารถสร้างแคมเปญ Personalized Marketing ได้อย่างลื่นไหล

Connect X สามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้แบบ Customer Single view 360° ผ่านการเชื่อมต่อ API ต่างๆ ควบคู่ไปกับระบบ AI สุดล้ำ ไม่ว่าจะส่งแคมเปญผ่าน SMS หรือ Email ก็ทำได้ และหากลูกค้ายังไม่สนใจ Marketing Automation ก็จะเปลี่ยนช่องทางส่งแบบ Cross Channel ไปยัง LINE, Facebook Messenger หรือช่องทางที่แบรนด์กำหนดได้

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

ข้อดีของระบบ Customer Data Platform (CDP) ที่จะช่วยเพิ่มการทำไรมากยิ่งขึ้น

สวัสดีทุกๆคนที่กำลังอ่านบทความนี้ค่ะ เริ่มแรกเลยเรามาย้อนกันสักนิดแบบสั้นๆว่า CDP คืออะไรกันก่อนเลย

Customer Data Platform หรือ CDP เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าให้มาอยู่ในที่ที่เดียว เป็นโซลูชันที่ใช้ซอฟต์แวร์ซึ่งมีหน้าที่หลักๆก็คือช่วยในการรวมข้อมูลประเภทต่างๆ เกี่ยวกับข้อมูลประชากร พฤติกรรม และการโต้ตอบกับธุรกิจของเราไม่ว่าลูกค้าจะสื่อสารมาจากช่องทางไหนตัว CDP ก็จะเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าไว้ได้ทั้งหมดถึงแม้ว่าจะเป็น Unknown customer ก็ตาม มากไปกว่านั้นตัว CDP ยังช่วยให้เราสามารถสร้างโปรไฟล์ลูกค้าของแต่ละคนเพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์เจาะลึกเพื่อนำไปทำ Personalized marketing ได้อีกด้วย

ต่อไปทางทีมงาน ConnectX จะพาไปดู 3 ข้อดีของระบบ CDP ที่จะช่วยให้เราสามารถทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น

The benefits of using a Customer Data Platform CDP

1.สามารถรวบรวมจัดเก็บข้อมูลจากทุกแหล่งมาไว้ในที่ที่เดียว

อย่างที่ได้เกริ่นไปข้างต้นว่า CDP เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าให้มาอยู่ในที่ที่เดียว เนื่องจาก Painpoint ในหลายๆครั้งที่ทาง ConnectX ของเราเจอก็คือ บริษัทต่างๆ มักประสบปัญหาในการรวมและใช้ข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่อยู่บนโลกออนไลน์และลูกค้าได้มีการนำเข้าข้อมูลมาจากแหล่งต่างกัน นั่นจึงทำให้ข้อมูลที่จะนำเอามาใช้เกิดข้อผิดพลาดบ้าง มีการตกหล่นของข้อมูลบ้างเลยทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลไม่ได้ประสิทธิภาพ 100% ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ทำแคมเปญหรือทำการตลาดก็อาจที่จะผิดเพี้ยนไปได้ ไม่ตรงจุดที่ลูกค้าต้องการ และมากไปกว่านั้นไม่ใช่แค่ช่องทางออนไลน์ที่ CDP สามารถเก็บข้อมูลได้ ตัว CDP สามารถที่จะต่อ API เข้ามาเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจาก Offline มาอยู่บน CDP ได้อีกด้วย

2.รายได้เพิ่มขึ้น

หลายคนอาจจะถามว่าใช้ CDP แล้วรายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร

ทางทีมงานขออธิบายว่า รายได้เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากความพึงพอใจของลูกค้าที่สูงขึ้นและการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น การนำข้อมูลจากทุกแหล่งมาใช้และแม่นยำจึงทำให้องค์กรสามารถดูลูกค้าได้ถูกต้องและทั่วถึง ดังนั้นโอกาสในการทำการตลาดที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายก็จะทำให้การตลาดหรือแคปเปญที่เราส่งออกไปนั้นมีประสิทธิภาพทำให้เกิดการอยากซื้อ หรือ ใช้บริการ ส่งผลให้เกิดการจดจำแบรนด์ว่ารู้ใจเราและการมีส่วนร่วมของลูกค้าเพิ่มขึ้น

3.ช่วยประหยัดเวลามากขึ้นจากระบบ Marketing Automation

การใช้ระบบ Marketing automation ในตัว CDP นั้นสามารถช่วยให้นักการตลาดประหยัดเวลาได้มากยิ่งขึ้นและมีเวลาที่จะไปคิดหรือทำอย่างอื่นต่อ

เนื่องจากระบบ Marketing automation จะใช้เวลาในการตั้งค่ากระบวนการภายในไม่กี่นาทีเราก็สามารถที่จะส่งข้อความหรือแคมเปญด้านการตลาดไปหาลูกค้าหรือผู้บริโภคได้หลักหมื่นคน จากในภาพเราจะเห็นได้ว่ามีให้เลือกทั้ง Sms, E-mail, Facebook messenger และ Line OA ซึ่งนั่นหมายความว่าเราต้องการที่จะส่งข้อมูลหรือข้อความไปหาลูกค้าผ่านช่องทางไหน ในส่วนของ Flow Control หมายความว่า เราจะต้องกำหนดเงื่อนไขให้กับตัว Marketing automation ของเรายกตัวอย่างเช่น เราต้องการส่ง SMS ไปหาลูกค้า 200 คน และเราต้องการรอจนถึงเดือนหน้าค่อยส่ง Line OA ตามไปอีกครั้ง เราก็สามารถที่จะลากตัว Wait until เพื่อให้ระบบรอจนถึงเดือนหน้าและส่ง Line OA ไปในเดือนถัดไปได้นั่นเอง ทั้งหมดเราจะขอเรียกกระบวนการนี้ว่า Marketing automation journey 

ซึ่งถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากอ่านบทความ Marketing Automation แบบเต็มสามารถตามไปได้ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ https://connect-x.tech/marketing-automation-2/

สรุป

ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วหมายความว่าองค์กรต่างๆต้องเผชิญกับการจัดระเบียบข้อมูลตามอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นที่กำลังเข้ามาในขณะเดียวกันลูกค้าก็รู้ว่ามีการแข่งขันกันมากขึ้นกับสิ่งที่ลูกค้าสนใจอยู่ ดังนั้นลูกค้าจึงคาดหวังว่าบริษัทต่างๆจะรู้ใจตัวเองมากยิ่งขึ้นในการที่จะส่งแต่ละแคมเปญมาหาลูกค้า

ข้อมูลลูกค้าที่ถูกนำมาใช้อย่างถูกต้องจะกลายเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างมากและข้อมูลทั้งหมดที่เราต้องการก็เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้บริโภคนั่นเอง

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

4 ข้อดีของการใช้ Marketing Automation

ทีมงาน ConnectX จะพาทุกๆท่านมาดูข้อดีของระบบ Marketing Automation ว่าจะสามารถช่วยให้เราสะดวกขึ้นได้อย่างไร

ทางทีมงาน ConnectX จะพาเพื่อนๆไปดู 4 ข้อดีของการใช้ Marketing automation เมื่อนำมาช่วยในการทำงานว่ามีประโยชน์อย่างไร

1. Email Automation

การตลาดทางอีเมล (Email Marketing) เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการหาลูกค้าหรือส่ง automation กลับไปหาลูกค้าเก่าเพื่อทำ Loyalty program แม้ตัวของ Email marketing จะค่อนข้างเก่าแต่ก็ยังได้ผลดีเสมอจนถึงยุคปัจจุบัน

หลายบริษัทได้นำระบบอีเมลอัตโนมัติ (Email Automation) เพื่อใช้ในการส่งแบบ Personalized, การส่งจำนวนทีละมากๆ และการตั้งเวลาส่งอีเมลล่วงหน้า โดยเราสามารถตั้งค่าตัว Email automation ได้ภายในไม่กี่คลิ๊ก ก็สามารถส่งไปหาลูกค้าหลักหมื่นหลักแสนคนได้

นี่คือข้อดีของซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติด้านการตลาดผ่านอีเมล (Email Automation) เครื่องมือที่ดีจะช่วยให้เราสามารถแบ่งกลุ่มรายชื่ออีเมลลูกค้าเพื่อทำให้แคมเปญอีเมลเป็นแบบส่วนตัว (Personalized)

2. ช่วยให้ ROI สูงขึ้น

Marketing automation จะช่วยให้ ROI สูงขึ้นได้ เนื่องจากหลายๆอย่างจะถูกทำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การแบ่ง segmentation ลูกค้าเพื่อทำ automation, การช่วยให้ประหยัดเวลาในการส่งอีเมลในจำนวนครั้งที่มากๆ หรือแม้กระทั่ง การสร้าง Loyalty ผ่านระบบ Automation

https://keap.com/business-success-blog/marketing/automation/9-marketing-automation-benefits-that-could-help-your-business

3. ข้อมูลและการช่วยวิเคราะห์ที่ตรงและแม่นยำ

รู้หรือไม่ว่า Marketing automation นั้นไม่ใช่การส่งแคมเปญทางการตลาดออกไปเพียงเท่านั้นแต่ยังสามารถ ติดตามข้อมูลที่เราส่งออกไปได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น เราใช้ระบบ Automation เพื่อที่จะต้องการทำ Email marketing ส่งไปหาหยั่งลูกค้าเราสามารถติดตามดูได้ว่า Email ที่เราส่งไปนั้นลูกค้ามีการตอบโต้กลับแบบไหนบ้าง เช่น ไม่เปิดอ่าน, เปิดอ่านแต่ไม่มีการคลิ๊กหรือใช้ส่วนลด , เปิดอ่านใช้และใช้โค้ดส่วนลดที่แนบไป เป็นต้น

4. การตลาดแบบรู้ใจส่วนบุคคล หรือที่เราเรียกกันอีกอย่างว่า Personalized marketing

ธุรกิจส่วนใหญ่เผชิญกับความท้าทายที่ไม่สามารถเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมหรือผู้ที่สนใจซื้อให้เป็นลูกค้าได้ ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการทำการตลาดอัตโนมัติ (Marketing automation) นั่นก็คือการใช้ประโยชน์จากการตลาดเฉพาะบุคคล (Personalized marketing) เนื่องจากบริษัทหรือทีมของคุณจะใช้เวลากับงานซ้ำๆ น้อยลง จึงสามารถที่จะสร้างการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) ที่กำหนดเองผ่านเนื้อหาส่วนบุคคลได้

Marketing automation ยังสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากเนื้อหาส่วนบุคคลได้ (Personalized marketing) เช่น อีเมลไหนที่ได้รับการคลิกมากที่สุด โพสต์บนโซเชียลมีเดียไหนที่มีส่วนร่วมมากที่สุด และหากเปลี่ยนเป็นการเข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลเชิงลึกที่เก็บรวบรวมเข้ามาจะสามารถช่วยปรับปรุงให้ตรงกับลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้นอย่างไร

https://learn.g2.com/benefits-of-marketing-automation
30% of sales-related activities can be easily automated with today’s technology.
Source: McKinsey & Company

ทิ้งท้าย

หลังจากที่เพื่อนๆได้อ่านบทความเกี่ยวกับข้อดีของ Marketing automation แล้วทางทีมงาน ConnectX หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่กำลังตัดสินใจและพิจราณาอยู่ว่าบริษัทหรือองกรณ์ของเราจำเป็นต้องมีและใช้ Marketing automation หรือไม่

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย