Category Archives: other

PDPA ในประเทศไทยเหมือนกับ GDPR หรือไม่ และแบรนด์ต้องปรับตัวมากแค่ไหน?

PDPA ได้ถูกประกาศแล้ว หลายท่านอาจสงสัยว่ากฎหมายฉบับนี้เกี่ยวข้องกับ GDPR หรือไม่? และแบรนด์ในประเทศไทยควรปรับตัวอย่างไร?

เจ้าของธุรกิจออนไลน์ทุกท่านอาจเคยได้ยินหรือทราบถึง PDPA ซึ่งคือ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ถูกบังคับใช้ในประเทศไทยนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 แล้ว ถือได้ว่าเป็นข้อกฎหมายใหม่ที่มาพร้อมกับการพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศ

อย่างไรก็ตามบางท่านอาจจะกำลังสับสนระหว่าง “กฎหมาย PDPA” กับ “กฎหมาย GRPR” ว่าเหมือนหรือต่างกันอย่างไร?

ในบทความนี้ Connect X จะมาบอกข้อแตกต่างระหว่างกฎหมายทั้ง 2 แบบนี้ให้เจ้าของธุรกิจทุกท่านได้ทราบ และนำไปใช้ดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน

กฎหมาย PDPA ในประเทศไทย

PDPA คือ Personal Data Protection Act หรือก็คือกฎหมายที่มีจุดประสงค์เพื่อป้องกันข้อมูลส่วนตัวที่สามารถทำให้ระบุตัวบุคคลนั้นได้ ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม นอกจากนี้ PDPA ยังมีชื่อทางการเป็นภาษาไทยว่า “พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล” และเป็นกฎหมายที่มีไว้เพื่อป้องกันข้อมูลของประชาชนคนไทยทั้งในและต่างประเทศ

พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฉบับนี้ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปเมื่อ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 เริ่มแรก PDPA จะถูกบังคับใช้ในเต็มฉบับในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2564 ได้เลื่อนไปเป็นวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 แทน

PDPA ครอบคลุมข้อมูลด้านใดบ้าง?

กฎหมาย PDPA เป็นกฎหมายที่มาพร้อมกับการก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสาร ซึ่งแน่นอนว่าครอบคลุมข้อมูลบนสื่อออนไลน์ เช่น การเก็บข้อมูลผ่านระบบ CRM ไปจนถึงข้อมูลออฟไลน์อย่างการจดบันทึกอีกด้วย ทั้งยังเป็นกฎหมายที่ป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Violation) แบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมล รูปภาพใบหน้า ข้อมูลเสียง ลายนิ้วมือ ฯลฯ

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ PDPA นั้นครอบคลุมไปถึง Sensitive Data หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวด้วย อาทิ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความเห็นทางการเมือง ความเชื่อ ลัทธิ ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลทางด้านสุขภาพ ข้อมูลทางพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ Cookies ID หรือ Device ID

จะเห็นได้ว่า PDPA นั้นครอบคลุมข้อมูลของผู้บริโภคแบบรอบด้านเลยทีเดียว ซึ่งการที่นิติบุคคล กิจการ หรือแบรนด์ต่างๆ จะเก็บรวบรวมข้อมูลได้นั้น ต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเสียก่อน

GDPR มีข้อแตกต่างอย่างไร?

กฎหมาย GDPR นั้นย่อมาจาก General Data Protection Regulation ที่จริงๆ แล้วอาจไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมากนัก เนื่องจากเป็นข้อบังคับในกฎหมายของสหภาพยุโรป (European Union หรือ EU) จะคุ้มครองข้อมูลของส่วนบุคคลของประชากรในสหภาพยุโรปและบุคคลสัญชาติยุโรปที่อยู่ในต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลจะไม่ถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ และได้เริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เป็นที่เรียบร้อย หากท่านมีกิจการระหว่างประเทศ (International Business) อยู่ในสหภาพยุโรป ก็ควรพึงปฏิบัติตามข้อกฎหมายนี้ด้วย

GDPR ในยุโรปนั้นได้ถูกร่างและบังคับใช้มาก่อน PDPR ของไทย หรือพูดในอีกนัยหนึ่งว่า GDPR เป็นต้นแบบของ PDPR ก็ว่าได้ และมีข้อกำหนดที่มากกว่าด้วย แต่ในไม่ช้า พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้จะมีการร่างข้อบังคับเพิ่มเติมและประกาศใช้ภายหลัง เจ้าของธุรกิจทุกท่านควรศึกษาและปรับธุรกิจให้อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้

ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไร?

สิ่งแรกๆ ที่ผู้ประกอบการและแบรนด์ควรให้ความสำคัญคือ การสร้าง Privacy Policy หรือนโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อ “แจ้ง” รายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เก็บข้อมูลอะไร ใช้ทำอะไร ลบข้อมูลเมื่อใด เป็นต้น

นอกเหนือจากนั้น ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 พ.ร.บ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ จะมีการบังคับใช้ให้ผู้ที่เก็บรวบรวมข้อมูลต้องทำ Privacy Policy ด้วยนั่นเอง เพื่อเป็นการป้องกันการถูกฟ้องร้อง แบรนด์ควรขอความยินยอมในการเก็บข้อมูล การใช้หรือการเปิดเผยข้อมูลเสียก่อน หรือที่เรียกว่า Consent Management นั่นเอง

การใช้ระบบเก็บข้อมูลอย่างระบบ CRM หรือ ระบบ CDP ที่ได้มาตรฐานและสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างชาญฉลาด เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการทุกท่าน

ดังนั้นการบริหารข้อมูลส่วนบุคคลจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์โดยตรง และจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะหากไม่มี “ข้อมูล” แล้ว การทำการตลาด เช่น Personalized Marketing หรือ Remarketing จะเป็นไปไม่ได้เลย

บทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม PDPA

บทลงโทษของพ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลสามารถแบ่งได้เป็นโทษ 3 แบบ ดังนี้

1. โทษทางแพ่ง – ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงและอาจต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้นอีก โดยสูงสุดไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหายที่แท้จริง

2. โทษทางอาญา – จำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

3. โทษทางปกครอง – ปรับสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท

แน่นอนว่าไม่มีผู้ประกอบการท่านไหนต้องการที่จะเสียค่าปรับหรือจำคุก การนำข้อมูลส่วนบุคคลถูกนำไปใช้ในทางที่เหมาะสมและการรู้ถึงขอบเขต การเข้าถึงข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบทุกครั้ง

สำหรับผู้ประกอบการหรือเจ้าของแบรนด์ท่านใดที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มคุณภาพ ในการจัดการข้อมูลของลูกค้าแบบรอบด้าน จะรวมข้อมูลจาก API ไหนก็ทำได้ เปลี่ยน Unknown เป็น Known Customer ได้ง่ายๆ พร้อมระบบ Ad Tracking, Web Tracking และ Marketing Automation ต้องที่ Connect X เท่านั้น

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

รู้จักกับ “Social Chat” ระบบรวมแชทที่รวมทุกช่องทางไว้ในที่เดียว

แนะนำว่าระบบรวมแชทคืออะไร พร้อมบอกต่อฟีเจอร์ Social Chat ของ Connect X มีคุณสมบัติและประโยชน์ต่อแบรนด์อย่างเหนือขั้น

ปัจจุบันช่องทางการซื้อขายในรูปแบบ Social Commerce เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แบรนด์ต่างๆ จึงเริ่มปรับตัวและวางกลยุทธ์ทางการตลาดในด้านนี้มากขึ้น โดยเฉพาะการตลาดบน Social Media ที่หากแบรนด์ใดการตลาดบนโซเชียลมีเดียได้ดี ก็จะเป็นที่รู้จักและสามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นช่องทางที่ผู้คนนิยมใช้งานมมากที่สุดในปัจจุบันนั่นเอง

ในยุคโซเชียลแบบนี้ สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือระบบการจัดการ ที่สามารถสนับสนุนธุรกิจให้บริการได้อย่างทันท่วงที รวดเร็วทันใจเหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคสมัยปัจจุบัน ดังนั้น Connect X ขอชวนมาทำความรู้จัก “ระบบรวมแชท” ที่ช่วยอำนวยความสะดวกทั้งด้านการบริการและการจัดการภายในธุรกิจ ช่วยสร้างความประทับใจให้และสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้า อีกทั้งยังปิดการขาย เพิ่มกำไรได้ไวด้วย

ทำความรู้จักกับระบบรวมแชท

“ระบบรวมแชท” คือ โปรแกรมที่สามารถรวมแชทจากช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook Messenger, LINE, Instagram ให้มาอยู่ในหน้าจอเดียวกัน เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับธุรกิจผู้ให้บริการ ในการตอบคำถามลูกค้า บอกโปรโมชัน และปิดการขายได้ง่ายดาย

ทั้งนี้ยังมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพิ่มเติม ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามผู้ให้บริการหรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) แต่ละเจ้า ระบบรวมแชทไม่เพียงช่วยให้เหล่าแอดมินตอบลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยเหลือในด้านการบริหารจัดการภายในธุรกิจได้อีกด้วย

Social Chat ระบบรวมแชทจาก Connect X พร้อมฟีเจอร์สุดปัง

ตอบกลับลูกค้าจากทุก Platform ยอดฮิต ได้ในหน้าจอเดียว สามารถเก็บข้อมูลของลูกค้าและสามารถติดตามได้ว่าลูกค้าทักมาจากช่องทางใด เคยติดต่อจากแพลตฟอร์มไหนมาก่อน เคยสนใจสินค้าอะไร ทำให้แอดมินตอบคำถามและให้คำแนะนำได้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ปิดการขายและสร้างความประทับใจได้รวดเร็วกว่า

โดย Social Chat ของ Connect X รองรับช่องทางการแชทยอดนิยมมากมายอย่าง Facebook Messenger, LINE OA, Instagram, Website (Live Chat) ไปจนถึง Pantip (Social Listening) พร้อมฟีเจอร์แน่นๆ เพื่อช่วยเหลือแบรนด์อย่างรอบด้าน ได้แก่

  • Ticket Management – สามารถแชทลูกค้าจัดได้อย่างเป็นระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้สูงสุด ทุกข้อความที่ลูกค้าทักเข้ามาใหม่ จะถูกส่งไปหาแอดมินที่ถูกแบ่งหน้าที่เอาไว้ หรือสามารถปรับแต่งได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพิ่มประสิทธิภาพในทุกการตอบกลับ แก้ปัญหาลูกค้าได้ทันที ปิดการขายได้เร็วกว่า
  • Agent Routing – แก้ไขปัญหาแอดมินตอบแชทช้า ด้วยการจัดการเส้นทางให้มีการตอบกลับ 2 รูปแบบ
  • Channel: ตั้งค่าให้แอดมินแยกตอบตามช่องทาง Social Media
  • Most Available: ตั้งค่าให้แอดมินที่ว่างที่สุดเป็นคนตอบแชทล่าสุดก่อน

นอกจากนี้ยังสามารถวัด Performance การทำงานของแอดมินแต่ละคนได้ ว่ามีการตอบกลับรวดเร็วแค่ไหน มีจำนวนในการตอบกลับเท่าไหร่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและวัดผลได้เป็นอย่างดี

  • Customer Activity – สามารถเห็นทุกความเคลื่อนไหวของลูกค้า ตั้งแต่ก่อนที่ลูกค้าจะติดต่อมาในหน้าจอเดียว เช่น ลูกค้า Add LINE มาจาก โฆษณา (Ads) ตัวไหน และรู้ได้ว่าลูกค้าสนใจสินค้าอะไรก่อนที่จะทักเข้ามา ทำให้ทุกข้อความที่ตอบกลับไปสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้มากกว่า จนลูกค้าติดใจอยากกลับมาซื้ออีกครั้ง เพราะอยากได้รับประสบการณ์ดีๆ แบบนี้อีก
  • Marketing Automation – ช่วยสร้างการเข้าถึงลูกค้าด้วยแคมเปญการตลาดที่สร้าง Customer Journey ให้กับกลุ่มลูกค้าเก่าและกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีกิจกรรมหรือความสนใจคล้ายกัน โดยสามารถสร้าง Journey ในช่องทางที่หลากหลาย เช่น Email, SMS, Facebook, LINE, Web Push notification หรือ Mobile Push notification ซึ่งออกแบบได้ทั้งการส่งแบบ Recurring ตามเงื่อนไขของ Data เช่น Happy Birthday Campaign หรือ Campaign ตามเทศกาลสำคัญอื่นๆ
  • Collect Data to Re-Marketing – สามารถเก็บรายละเอียดบันทึกการขาย (Order) ในหน้าเดียวกันได้ ทำให้ข้อมูลลูกค้าและการขายจากช่องทางต่างๆ ถูกบันทึกเก็บไว้ที่เดียวกันแบบ Unify Customer Data เพื่อนำไปสร้าง แคมเปญหรือทำการ Retargeting ใน Channel อื่นๆต่อไป
  • Pantip Social Listening – ระบบที่เข้ามาช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ในสังคมออนไลน์ โดยสามารถสร้าง Engagement และรับมือกับทุกดราม่าในกระทู้ได้ทันท่วงที ด้วยการจับ Keyword ในกระทู้ Pantip ให้แอดมินตอบกลับได้ทันที ทุกครั้งที่มีลูกค้าพูดถึงแบรนด์

จากที่กล่าวมาทั้งหมด เห็นได้ว่า Social Chat ระบบรวมแชทจาก Connect X เป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารจัดการแบรนด์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และช่วยสร้างประสบการณ์ในการใช้บริการสุดประทับใจให้กับลูกค้าได้ไม่เหมือนใคร เพราะมีฟีเจอร์สุดเจ๋ง พร้อมยกระดับให้แบรนด์ของคุณสร้างยอดขายจนขึ้นเป็นแนวหน้าในอุตสาหกรรมเลยทีเดียว

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM (Customer Relationship Management) เพื่อธุรกิจยุคใหม่

ใครที่อยู่ในแวดวง Tech หรือ Online Marketing คงคุ้นเคยกับระบบ Customer Relationship Management (CRM) ที่เป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวกลางระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี เนื่องจากในปัจจุบัน โลกมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่การตลาดออนไลน์จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นไปด้วย ผู้ประกอบการมือใหม่จำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือหรือตัวช่วยที่สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้จริง และสามารถสื่อสารความต้องการได้อย่างตรงจุด

โดยระบบ Customer Relationship Management (CRM) เป็นเทคโนโลยีที่มีคอนเซปต์คือ  “การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ผ่านการเก็บข้อมูลเชิงลึก” จึงทำให้ธุรกิจรู้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสมต่อความต้องการของลูกค้า เพื่อที่จะนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ได้จริง เพราะว่าเทรนด์การบริโภคของผู้คนในยุคนี้เปลี่ยนไปอยู่เสมอ การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงหนึ่งครั้งอาจส่งผลเสียที่ยากเกินแก้ไขได้ในระยะยาว ฉะนั้นแบรนด์ไหนที่ปรับตัวได้ไวรู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยได้ก่อน ก็จะได้เปรียบกว่าคู่แข่งในตลาดออนไลน์

ดังนั้นในวันนี้ Connect X จะพาผู้ประกอบการมือใหม่ทุกคนมาดู 5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM เพื่อธุรกิจยุคใหม่กัน ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

มารู้จักระบบ CRM ให้มากขึ้น

Customer Relationship Management หรือที่หลายคนเรียกกันว่า ระบบ CRM แท้ที่จริงแล้วเป็นเครื่องมือสำหรับการทำการตลาดออนไลน์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็รักษาฐานลูกค้าเดิมให้อยู่กับแบรนด์ไปนานๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบแคมเปญในช่องทางต่างๆ ทั้งการทำ Email Marketing ไปจนถึงการทำ Personalized Marketing ซึ่งเป็นการคิดแคมเปญหรือคอนเทนต์ที่ถูกจริตกับกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการ โดยทั้งหมดจะอิงจากการเก็บข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าผ่านพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์หรือประวัติการเข้าชมและซื้อสินค้า และตามแนวทางอื่นๆ ที่สำคัญคือการเก็บข้อมูลเหล่านี้ต้องเป็นไปตาม PDPA เพื่อให้ถูกต้องตามหลักข้อกฎหมายที่ต้องให้ความเป็นส่วนตัวต่อข้อมูลของลูกค้าให้มากที่สุด

 

โดยระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าหรือ CRM นี้ หากใช้อย่างถูกต้องจะส่งผลให้กลุ่มลูกค้าเกิดความประทับใจและเป็นการสร้าง Brand Loyalty ให้กับองค์กรในระยะยาว พูดง่ายๆ คือเครื่องมือนี้ไม่ได้เน้นเพียงแค่การขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเก็บรวบรวมและจัดการกับข้อมูลของลูกค้าเพื่อให้สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อแบรนด์ในแง่ของการพัฒนาและปรับปรุงแผนการตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในอนาคตนั่นเอง

5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM

สำหรับแบรนด์หรือนักการตลาดมือใหม่ที่กำลังสนใจในการใช้เครื่องมือ CRM แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ConnectX จะมาแนะนำเทคนิคพื้นฐานที่ต้องรู้ เริ่มจาก

1.เก็บข้อมูลให้รอบด้าน

เหนือสิ่งอื่นใดหากต้องการให้เครื่องมือ CRM สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แบรนด์หรือองค์กรจำเป็นที่จะต้องมีการสร้างฐานข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้มองเห็นภาพรวมทุกการ “ติดต่อ (Connect)” ของลูกค้าครบทุกมิติ โดยไม่ว่าจะในแผนกใดของแบรนด์ก็ตามจำเป็นที่จะต้องมีฐานข้อมูลลูกค้าชุดเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย ฝ่ายบริการ ฝ่ายการตลาด เป็นต้น พูดง่ายๆ ว่าหากแบรนด์หรือองค์กรสามารถจับคู่ทุกข้อมูลของลูกค้าให้รวมเป็นหนึ่งเดียวได้ ก็จะทำให้การทำงานในขั้นต่อไปมีความสะดวกและลดปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวได้ด้วยนั่นเอง

2.ใช้ AI และ Big Data ให้สอดคล้องกับธุรกิจยุคใหม่

ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีสมัยใหม่มีความสามารถที่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับเทรนด์การทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันที่ไม่ใช่แค่รู้ใจลูกค้าเพียงเท่านั้น แต่แบรนด์ยังต้องตอบสนองความต้องการต่างๆ ของลูกค้าในทันที ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องมือ CRM ที่มีระบบ AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกหรือคาดการณ์ข้อมูลต่างๆ นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะขาดไปไม่ได้ เพราะระบบ AI จะช่วยให้งานของแบรนด์ลดน้อยลงแต่สามารถสื่อสารได้ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวนั่นเอง

3.กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัด

หากแบรนด์เลือกใช้เครื่องมือที่มีเทคโนโลยี AI หรือ Big Data แล้ว นั่นหมายถึงการคาดการณ์กลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นลูกค้าของแบรนด์ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยอาจจะเริ่มต้นการทำ Audience Segmentation หรือการแบ่งกลุ่มลูกค้าเพื่อให้สามารถทำการตลาดแบบ Hyper-Personalization ซึ่งจะเป็นการเจาะลึกพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ลึกมากขึ้น

4.สื่อสารให้ตรงจุด

ในขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เนื่องจากจะเป็นการสื่อสารและโต้ตอบกับลูกค้าผ่านข้อมูลเชิงลึกที่ได้เก็บรวบรวมมาในตอนแรก อย่างที่บอกว่าในปัจจุบันกลุ่มลูกค้าสมัยใหม่ต้องการบริการแบบเฉพาะบุคคลเพิ่มมากขึ้น และมีความคาดหวังให้แบรนด์ช่วยนำเสนอสินค้าและบริการที่จะตอบโจทย์ความต้องการให้ได้มากที่สุด ถือได้ว่าเป็นความท้าทายที่แบรนด์ยุคใหม่ต้องเผชิญ พูดง่ายๆ ว่านอกเหนือจากการแข่งขันกับแบรนด์ต่างๆ ด้วยกันเองแล้ว แบรนด์ยังต้องพยายามพิชิตใจลูกค้าให้ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามข้อควรระวังคืออย่าให้การสื่อสารกลายเป็นการสร้างความรำคาญให้แก่ลูกค้าแทน ไม่เช่นนั้นแทนที่จะได้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นอาจจะกลายเป็นยอดคอมเมนต์ในด้านลบมากขึ้นแทน

5.ประเมินผลและพัฒนากลยุทธ์อยู่เสมอ

เพื่อเป็นการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น การตรวจสอบและคอยประเมินผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมว่าโลกในตอนนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ทำให้ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับกระแสใหม่ๆ ที่อาจส่งผลต่อความคิดความต้องการของกลุ่มลูกค้า หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ได้มากกว่า ดังนั้นแบรนด์หรือองค์กรควรที่จะต้องหมั่นตรวจสอบถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้เพื่อคอยประเมินผลและปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของแบรนด์พร้อมที่จะแข่งขันกับคู่แข่งและสามารถพิชิตความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด

ทิ้งท้าย

ต้องบอกว่าแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน โดยส่วนมากแล้วมี Business Model ที่สอดคล้องกับเทรนด์ของ Digital Transformation ในโลกธุรกิจยุคปัจจุบันที่มีการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปในทุกอณูของแบรนด์หรือองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในการทำงานด้านการตลาดที่ต้องอาศัยเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาช่วยให้การทำงานมีความลื่นไหลและมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น อย่างการใช้เครื่องมือที่ช่วยในการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ก็ถือได้ว่าเป็นหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งการมีเครื่องมือที่ดีก็เปรียบเสมือนกับการที่แบรนด์มีแขนและขาเพิ่มขึ้น นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นและผลกำไรที่มากขึ้นในระยะยาว

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

ระวัง 3 สิ่งนี้! ก่อน Marketing Automation จะทำร้ายลูกค้า

การตลาดออนไลน์ในยุคนี้สามารถทำได้ง่ายมากกว่าแต่ก่อน เนื่องจากมีแพลตฟอร์มและเครื่องมือมากมายที่พัฒนาขึ้นมาเพื่ออำนวยความสะดวกกับธุรกิจ หนึ่งในนั้นคือการใช้ Marketing Automation ที่สามารถทำการตลาดได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำ Lead Scoring จัดกลุ่มลูกค้า (Segmentation) ส่งโปรโมชันและประชาสัมพันธ์ ไปจนถึงการบริการความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า ฯลฯ ทั้งหมดล้วนทำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเก่าอย่างเห็นได้ชัด

แม้จะมีข้อดีและประโยชน์มากขนาดนี้ แต่หากใช้งาน Marketing Automation อย่างไม่ระมัดระวังก็อาจจะเป็นการทำร้ายลูกค้าแทน ทั้งด้านความรู้สึกและประสบการณ์ที่ได้จากแบรนด์ สงสัยแล้วใช่ไหมว่า ข้อควรระวังของ Marketing Automation มีอะไรบ้าง? ตาม Connect X มาดูคำตอบกัน! ซึ่งอย่างแรก มาดูข้อดีของ Marketing Automation กันเลย

ข้อดีที่ทำให้ใครๆ ต่างใช้ Marketing Automation

Marketing Automation หรือ “ระบบการตลาดแบบอัตโนมัติ” ก็คือแพลตฟอร์มหรือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อทำการตลาดออนไลน์ ซึ่งฟังก์ชันและฟีเจอร์นับไม่ถ้วน แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะมีฟีเจอร์ที่ช่วยในการตลาดด้านต่างๆ อาทิ

  • การเข้าถึง Potential Customer
  • การเก็บข้อมูลของลูกค้าและสร้างฐานข้อมูลให้กับธุรกิจ
  • ช่วยบริหารความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้า ซึ่งมักมาพร้อมกับระบบ CRM
  • สร้างและส่งแคมเปญการตลาด เช่น Email Marketing, SMS, Web Push Notification รวมไปถึงการโฆษณาบนสื่อ Social Media ยอดฮิตต่างๆ
  • ช่วย Save Cost ทั้งด้านเงินลงทุนและเวลาในการสร้างแคมเปญการตลาดให้ประสบความสำเร็จ

นอกจากนี้ระบบ AI ที่ทำงานแบบอัตโนมัติยังช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อนอย่างการสร้าง Report การ Tracking ไปจนถึงการตอบกลับแชทข้อความของลูกค้า จึงสามารถลดความผิดพลาดที่เกิดจากคน (Human Error) ได้เป็นอย่างดี เห็นแล้วใช่ไหมว่าระบบ Marketing Automation นั้นเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจมากแค่ไหน โดยเฉพาะธุรกิจใหม่หรือ SME ที่มีงบประมาณไม่มาก ก็สามารถใช้ระบบการตลาดแบบอัตโนมัตินี้อัปเกรดตัวเองได้ให้แข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ๆ ในตลาดได้

คราวนี้มาศึกษาข้อควรระวังต่างๆ กันเลย

3 ข้อควรระวังของ Marketing Automation

ก่อนที่ระบบ Marketing Automation จะช่วยแบรนด์ได้ดีอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่ในหลายๆ กรณีก็อาจจะมีปัญหาเกิดขึ้นจากการใช้งาน ทำให้แบรนด์ต้องปวดหัวกับการหาโซลูชัน

ยกตัวอย่างเช่น ระบบตอบกลับอัตโนมัติไม่สามารถตอบคำถามของลูกค้าได้จริงๆ ทำให้แอดมินต้องมาตอบเอง ซึ่งทำให้เกิดปัญหาการทำงานซ้ำซ้อน หรือการยิงโฆษณาไปยังกลุ่มเป้าหมาย แต่กลับไม่มี Lead กลับเข้ามา เพราะแคมเปญนั้นๆ ไม่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า และปัญหาร้อยแปดที่อาจเกิดขึ้นได้ไม่เว้นแต่ละวัน สุดท้ายแล้วหลายๆ แบรนด์ไล่ตามการทำ Marketing Automation เพื่อหวังทำกำไร แต่กลับกลายเป็นว่าได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม ซึ่งมี 3 ข้อควรระวังในการใช้งานระบบการตลาดแบบอัตโนมัติดังนี้

1. ไม่ทำความเข้าใจผู้บริโภคก่อนเริ่มทำแคมเปญ

ความสะดวกสบายในการทำงาน คือ สิ่งที่ธุรกิจส่วนมากต้องการจาก Marketing Automation เพื่อลดภาระของตัวผู้ประกอบการที่ต้องดูแลในส่วนอื่นๆ ด้วย อย่างไรก็ตาม ตัว Marketing Automation นั้นเป็นเพียงแค่ “ระบบ” เท่านั้น จึงไม่ได้เข้าใจว่าผู้บริโภคตอนนั้นอยากได้อะไร เช่น เวลามีปัญหาร้ายแรงหรือเร่งด่วน ลูกค้าก็อยากคุยกับคนที่เข้าใจถึงปัญหามากกว่า ดังนั้นการจะทำ Marketing Automation ให้มีประสิทธิภาพ คือการทำความเข้าใจ Customer Journey ของลูกค้าเสียก่อน เพื่อที่จะออกแบบการใช้งาน Marketing Automation ให้ถูกต้องและแม่นยำ สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ที่เข้ามาใช้บริการได้นั่นเอง

2. แบรนด์พึ่งพาระบบ Marketing Automation มากเกินไป

การปล่อยให้ระบบ Marketing Automation ดูแลลูกค้าของเราหรือทำการตลาดแทนคนมากเกินไป มักเป็นข้อผิดพลาดที่ทำให้หลายๆ แบรนด์เคยสะดุดมาแล้ว เพราะแทนที่จะช่วยให้ลูกค้าสะดวกสบายขึ้นกลับทำให้ลำบากแทน เช่น มีการส่งโปรโมชันที่ลูกค้าคนนั้นๆ ไม่ได้สนใจ ระบบ AI ตอบแชทที่เป็นคำถามซับซ้อนไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งต้องขอบอกว่า Marketing Automation ในปัจจุบันยังไม่มีความฉลาดหรือมีสัญชาตญาณที่เข้าใจมนุษย์ขึ้นมา ไม่สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เหมือนกับมนุษย์เรา ดังนั้นก่อนที่จะนำระบบนี้เข้ามาช่วยในการทำการตลาด แบรนด์ต้องมีการวางแผนในจุดต่างๆ ให้รอบคอบก่อน พร้อมทดสอบการใช้งานก่อนนำไปใช้จริง

3.  ข้อมูล (Data) ที่มียังน้อยไป

เข้าใจว่าเจ้าของแบรนด์ต่างต้องการให้ Marketing Automation ทำงานที่ซ้ำซ้อนแทน เช่น การยิงโฆษณาหรือแคมเปญการตลาด แต่บ่อยครั้งที่ธุรกิจมี “ข้อมูล” น้อยเกินไป ส่งผลให้กิจกรรมทางตลาดไม่มีประสิทธิภาพมากพอที่จะดึงดูดลูกค้า ระบบเรียนรู้ได้อย่างจำกัดและตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าไม่ได้ ทำให้เจ้าของแบรนด์มักเข้าใจผิดว่าระบบหรือแพลตฟอร์มที่ใช้นั้นไม่มีคุณภาพ ซึ่งแบรนด์และนักการตลาดต้องกลับมาย้อนดูว่า Data ของตัวเองนั้นมีใช้อย่างเพียงพอหรือไม่ Data ดังกล่าวนั้นถูกหรือไม่ เตรียมป้อน Data ทุกอย่างให้ระบบหรือยัง เพื่อทำให้ระบบสามารถต่อยอดและแสดงประสิทธิภาพให้ได้อย่างเต็มที่

ทั้ง 3 ข้อควรระวังของ Marketing Automation นี้เป็นสิ่งที่เจ้าของแบรนด์และนักการตลาดต้องทบทวนเสมอ ก่อนที่จะจำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้งานกับธุรกิจ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าแบรนด์จะสามารถสร้างแคมเปญการตลาดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ กระตุ้นการขาย และเพิ่มกำไรให้ธุรกิจสามารถแข่งขันในตลาดที่มีการแข่งขันสูงอย่างปัจจุบันได้

แล้วผู้ให้บริการระบบ Marketing Automation เก่งๆ มีใครบ้าง? ไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล เพราะ Connect X นั้นเป็น Marketing Platform ที่มาพร้อมกับ CDP (Customer Data Platform) ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าแบบ 360 องศาและระบบ Marketing Automation ที่มี AI แสนฉลาด สามารถเรียนรู้และรู้ใจลูกค้าได้ง่ายๆ ประกอบกับเครื่องมือสื่อสารการตลาดแบบ Real-Time ช่วยเพิ่มยอดขายกับธุรกิจอย่างรวดเร็วทันใจ หาจากที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว!

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

ข้อดีของโปรแกรม CDP และ CRM และบริษัทควรเลือกใช้อันนี้ดี

เรามาดูข้อดีของโปรแกรม CDP และ CRM กันดีกว่าว่าบริษัทของเรานั้นเหมาะกับโปรแกรมไหนมากกว่ากัน

Customer data platform (CDP) และ Customer relationship management (CRM)

ทั้งสองอย่างนี้มักจะทำให้คนนั้นสับสนอยู่เสมอ เนื่องจากทั้งสองแพลตฟอร์มจัดเก็บบันทึกข้อมูลของลูกค้าเหมือนกัน และทำให้ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าได้ แต่อย่างไรก็ตาม ความเป็นจริงแล้ว แพลตฟอร์มทั้งสองตัวนี้ มีวิธีแก้ปัญหาที่แตกต่างกันอยู่มาก ในบทความนี้จะนำเพื่อนๆไปดูความแตกต่างระหว่าง CDP และ CRM ว่าแพลตฟอร์มไหนกันแน่ที่เหมาะกับองค์กรหรือบริษัทของเรา

CRM ได้รับการพัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกเพื่อเป็นเครื่องมือ B2B เพื่อช่วยให้ทีมได้ลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าที่มีอยู่โดยทำให้ง่ายต่อการจัดการการและโต้ตอบส่วนตัวกับลูกค้าโดยตรง เนื่องจากหน้าที่หลักของเซลล์และทีมบริการหลังการขายมีบทบาทในการติดต่อกับลูกค้าโดยตรงโปรแกรม CRM จะมาช่วยตอบโจทย์ตรงนี้ แต่สุดท้ายแล้วข้อมูลส่วนใหญ่ที่อยู่ใน CRM จะต้องถูก Import แบบ Manual

ในทางกลับกัน แรกเริ่มเดิมทีนั้น CDP ได้รับการพัฒนาเพื่อเติมเต็มความต้องการของบริษัท B2C ที่ต้องการระบบที่คล้ายคลึงกับ CRM และมีระบบ Automation ที่สามารถช่วยในการทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคการค้าปลีกได้รับประโยชน์จาก CDP เป็นอย่างมากเนื่องจากระบบ CDP สามารถรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติและสร้างโปรไฟล์ลูกค้า มากไปกว่านั้นยังสามารถจัดการแบ่งแยก Segment ของลูกค้าเพื่อให้ง่ายต่อการทำ Automation

https://www.mparticle.com/blog/cdp-vs-crm/

แล้ว CDP กับ CRM อันไหนเหมาะกับองค์กรของเรามากกว่ากันนะ ?

CRM จะบอกได้ถึงประวัติการซื้อขายและการติดต่อกับทีม Sale ส่วน CDP นั้นจะเก็บข้อมูลตั้งแต่เมื่อลูกค้าคลิกเข้ามาดูสินค้า ว่ามาจากช่องทางไหน เห็นสินค้าจากโฆษณาอะไร ลูกค้าคลิกเข้ามาดูสินค้ารึเปล่า ทำให้เกิดข้อมูลเชิงลึกมากกว่าครับ

หลายบริษัทมักจะเริ่มต้นด้วย CRM ก่อนที่จะคิดได้ว่าในบางครั้ง CRM ไม่สามารถที่จะเก็บข้อมูลแบบ realtime ได้ ตัวอย่างเช่น ลูกค้าได้มีการคลิ๊กเข้ามาดูที่หน้าเว็บและมีการกด Subscribe กรอกข้อมูลลงทะเบียนไว้บนหน้าเว็บแต่ท้ายที่สุดลูกค้ากดซื้อสินค้าบนโซเชียลมีเดียแทนที่บนหน้าเว็บไซต์ระบบ CDP จะเก็บข้อมูลทุกอย่างแบบอัตโนมัติเห็น Customer journey พฤติกรรมของลูกค้า นอกจากนี้ CRM ยังไม่สนับสนุนการตลาดแบบเรียลไทม์ แต่อันที่จริงแล้วบริษัทสามารถที่จะมี ทั้งระบบ CRM และ CDP ได้ไม่แปลก

https://www.insiderintelligence.com/chart/255511/which-marketing-solutions-do-marketing-professionals-worldwide-plan-invest-most-2022-of-respondents

สรุป

ไม่ว่าองค์กรของท่านจะใช้ซอฟแวร์ CDP หรือ CRM ทั้งสองโปรแกรมนี้ล้วนแล้วดีทั้งสิ้นอยู่ที่ว่าองค์กรของเรา งานของเรา หรือทีมของเราเหมาะกับโปรแกรมไหนมากกว่ากัน ถ้าท่านใดสนใจต้องการอ่านเรื่อง CRM และ CDP เพิ่มเติมสามารถอ่านได้ที่ลิงค์ด้านล่างนี้เลย

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

มาทำ Personalized Marketing เอาใจลูกค้าอย่างตรงจุดในยุค Digital Transformation กันดีกว่า!

Personalized Marketing เป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีมานาน แต่ในยุคแห่งดิจิทัลนี้ แบรนด์จะเอาใจลูกค้าได้อย่างไร? มาทราบคำตอบกับ Connect X

เคยไหม? เวลาท่านกำลังจะไปสั่งข้าวที่ร้านประจำ แต่ยังไม่ทันจะบอกเมนู แม่ครัวก็รู้ได้ทันทีว่าท่านชอบสั่งอะไรกินเพียงแค่ได้เห็นหน้า ทำให้รู้สึกเหมือนเป็นคนพิเศษและอยากมากินข้าวร้านนี้บ่อยๆ เหตุการณ์แบบนี้ก็คล้ายกับการตลาดแบบเฉพาะบุคคล หรือ Personalized Marketing ซึ่งกลยุทธ์การตลาดที่มีมานานแล้ว

อย่างไรก็ตาม ในยุคแห่ง Digital Transformation นี้ ก็ต้องอาศัยวิธีการ ช่องทางและเทคโนโลยีใหม่ๆ เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น แต่ต้องทำอย่างไรบ้าง?

Personalized Marketing คืออะไร?

กลยุทธ์การตลาดแบบ “Personalized Marketing” หรือบางท่านอาจเรียกว่า “Personalization” คือการตลาดโดยสร้างข้อความ แคมเปญ หรือโปรโมชันที่เฉพาะเจาะจงไปยังบุคคลหรือผู้บริโภคที่มีความสนใจคล้ายๆ กัน เพื่อที่ลูกค้าจะได้ความรู้สึกเป็นคนพิเศษ ได้ประสบการณ์ที่ดี และกลับมาซื้อสินค้า/บริการของแบรนด์ซ้ำอีกนั่นเอง

ปัจจุบันนี้ นักการตลาดต่างก็นำเทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ เพื่อเก็บและวิเคราะห์ Data เกี่ยวกับความชอบ พฤติกรรม และความสนใจของผู้บริโภค ส่งผลให้สามารถนำเสนอคอนเทนต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและทำโฆษณาให้ตรงใจ  ซึ่ง Marketing Technology (MarTech) ก็ได้มีการพัฒนาเพื่อช่วยนักการตลาดในด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบ CRM, AI (Machine Learning), Marketing Automation หรือแม้แต่การเก็บ Cookies ตามเว็บไซต์และแอปฯ ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการทำ Hyper-Personalized Marketing โดยการนำ Big Data มาวิเคราะห์ พฤติกรรมการบริโภค เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้าในอนาคตอีกด้วย

ทำไมแบรนด์ควรทำ Personalized Marketing?

เพราะลูกค้าในยุคใหม่ต้องการ “ความไว” พร้อมกับ “ความใส่ใจ” ในทุกที่ทุกเวลา หรือจะเรียกว่าเป็นแบบ Real Time ก็ว่าได้ เพราะฉะนั้นการนำเทคโนโลยีหรือแพลตฟอร์มยุคใหม่เข้ามาทำ Personalized Marketing จะสามารถตอบโจทย์พฤติกรรมลูกค้ายุค Digital Transformation ได้ อีกทั้งทาง PR Newswire ยังเผยว่า 80% ของผู้บริโภค ชื่นชอบแบรนด์ที่สามารถมอบประสบการณ์ได้แบบตรงใจ และสนองความต้องการได้

นอกจากนี้แบรนด์ยังได้รับประโยชน์ในด้านต่างๆ ด้วย เช่น

  • เสริมประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นช่องทาง SMS, Email, เว็บไซต์ หรือสื่อโซเชียลต่างๆ
  • สร้างยอดขาย มีโอกาสที่ลูกค้าจะซื้อสินค้า/บริการมากขึ้น เพิ่ม Conversion Rate ได้ โดยเฉพาะเมื่อใช้เครื่องมือ Marketing Automation อย่างถูกต้อง และจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้จาก Omni-Channel 
  • เสริมความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty)ในยุคนี้ “ข้อมูล” ถือเป็นสิ่งสำคัญ เมื่อแบรนด์มอบประสบการณ์ที่ดี ลูกค้าก็ย่อมยินดีที่จะแบ่งปันข้อมูล เพื่อใช้พัฒนาการตลาดต่อไปให้ดีขึ้นได้ และเมื่อบริการลูกค้าได้ถูกใจมากขึ้น ความภักดีต่อแบรนด์ก็จะยิ่งสูงขึ้น อีกทั้งสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มใหม่ ๆ ได้ในระยะยาวอีกด้วย
  • ตอบโจทย์ได้ในหลายแพลตฟอร์ม สามารถเชื่อมโยงแพลตฟอร์มในการทำการตลาดออนไลน์ได้หลากหลายช่องทาง เช่น Email Marketing, SMS Marketing, LINE, Facebook หรือ เว็บไซต์ E-Commerce ก็ทำได้

สุดยอดเครื่องมือในการทำ Personalized Marketing

ช่องทางยอดนิยมในการทำ Personalized Marketing คงหนีไม่พ้น SMS และ Email ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแน่นอน เช่น การส่ง Newsletter โปรโมชันพิเศษ หรือข่าวประชาสัมพันธ์จากแบรนด์ ซึ่ง Connect X คือ CDP (Customer Data Platform) เจ้าแรกในไทยที่มี Marketing Automation ครบวงจร และสามารถสร้างแคมเปญ Personalized Marketing ได้อย่างลื่นไหล

Connect X สามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าได้แบบ Customer Single view 360° ผ่านการเชื่อมต่อ API ต่างๆ ควบคู่ไปกับระบบ AI สุดล้ำ ไม่ว่าจะส่งแคมเปญผ่าน SMS หรือ Email ก็ทำได้ และหากลูกค้ายังไม่สนใจ Marketing Automation ก็จะเปลี่ยนช่องทางส่งแบบ Cross Channel ไปยัง LINE, Facebook Messenger หรือช่องทางที่แบรนด์กำหนดได้

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

ข้อดีของระบบ Customer Data Platform (CDP) ที่จะช่วยเพิ่มการทำไรมากยิ่งขึ้น

สวัสดีทุกๆคนที่กำลังอ่านบทความนี้ค่ะ เริ่มแรกเลยเรามาย้อนกันสักนิดแบบสั้นๆว่า CDP คืออะไรกันก่อนเลย

Customer Data Platform หรือ CDP เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าให้มาอยู่ในที่ที่เดียว เป็นโซลูชันที่ใช้ซอฟต์แวร์ซึ่งมีหน้าที่หลักๆก็คือช่วยในการรวมข้อมูลประเภทต่างๆ เกี่ยวกับข้อมูลประชากร พฤติกรรม และการโต้ตอบกับธุรกิจของเราไม่ว่าลูกค้าจะสื่อสารมาจากช่องทางไหนตัว CDP ก็จะเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าไว้ได้ทั้งหมดถึงแม้ว่าจะเป็น Unknown customer ก็ตาม มากไปกว่านั้นตัว CDP ยังช่วยให้เราสามารถสร้างโปรไฟล์ลูกค้าของแต่ละคนเพื่อให้เราสามารถวิเคราะห์เจาะลึกเพื่อนำไปทำ Personalized marketing ได้อีกด้วย

ต่อไปทางทีมงาน ConnectX จะพาไปดู 3 ข้อดีของระบบ CDP ที่จะช่วยให้เราสามารถทำกำไรได้มากยิ่งขึ้น

The benefits of using a Customer Data Platform CDP

1.สามารถรวบรวมจัดเก็บข้อมูลจากทุกแหล่งมาไว้ในที่ที่เดียว

อย่างที่ได้เกริ่นไปข้างต้นว่า CDP เป็นแพลตฟอร์มที่ช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าให้มาอยู่ในที่ที่เดียว เนื่องจาก Painpoint ในหลายๆครั้งที่ทาง ConnectX ของเราเจอก็คือ บริษัทต่างๆ มักประสบปัญหาในการรวมและใช้ข้อมูลทั้งหมดที่รวบรวมมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่อยู่บนโลกออนไลน์และลูกค้าได้มีการนำเข้าข้อมูลมาจากแหล่งต่างกัน นั่นจึงทำให้ข้อมูลที่จะนำเอามาใช้เกิดข้อผิดพลาดบ้าง มีการตกหล่นของข้อมูลบ้างเลยทำให้การวิเคราะห์ข้อมูลไม่ได้ประสิทธิภาพ 100% ข้อมูลที่นำมาวิเคราะห์ทำแคมเปญหรือทำการตลาดก็อาจที่จะผิดเพี้ยนไปได้ ไม่ตรงจุดที่ลูกค้าต้องการ และมากไปกว่านั้นไม่ใช่แค่ช่องทางออนไลน์ที่ CDP สามารถเก็บข้อมูลได้ ตัว CDP สามารถที่จะต่อ API เข้ามาเพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลจาก Offline มาอยู่บน CDP ได้อีกด้วย

2.รายได้เพิ่มขึ้น

หลายคนอาจจะถามว่าใช้ CDP แล้วรายได้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นได้อย่างไร

ทางทีมงานขออธิบายว่า รายได้เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากความพึงพอใจของลูกค้าที่สูงขึ้นและการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่เที่ยงตรงมากยิ่งขึ้น การนำข้อมูลจากทุกแหล่งมาใช้และแม่นยำจึงทำให้องค์กรสามารถดูลูกค้าได้ถูกต้องและทั่วถึง ดังนั้นโอกาสในการทำการตลาดที่ตรงกับกลุ่มเป้าหมายก็จะทำให้การตลาดหรือแคปเปญที่เราส่งออกไปนั้นมีประสิทธิภาพทำให้เกิดการอยากซื้อ หรือ ใช้บริการ ส่งผลให้เกิดการจดจำแบรนด์ว่ารู้ใจเราและการมีส่วนร่วมของลูกค้าเพิ่มขึ้น

3.ช่วยประหยัดเวลามากขึ้นจากระบบ Marketing Automation

การใช้ระบบ Marketing automation ในตัว CDP นั้นสามารถช่วยให้นักการตลาดประหยัดเวลาได้มากยิ่งขึ้นและมีเวลาที่จะไปคิดหรือทำอย่างอื่นต่อ

เนื่องจากระบบ Marketing automation จะใช้เวลาในการตั้งค่ากระบวนการภายในไม่กี่นาทีเราก็สามารถที่จะส่งข้อความหรือแคมเปญด้านการตลาดไปหาลูกค้าหรือผู้บริโภคได้หลักหมื่นคน จากในภาพเราจะเห็นได้ว่ามีให้เลือกทั้ง Sms, E-mail, Facebook messenger และ Line OA ซึ่งนั่นหมายความว่าเราต้องการที่จะส่งข้อมูลหรือข้อความไปหาลูกค้าผ่านช่องทางไหน ในส่วนของ Flow Control หมายความว่า เราจะต้องกำหนดเงื่อนไขให้กับตัว Marketing automation ของเรายกตัวอย่างเช่น เราต้องการส่ง SMS ไปหาลูกค้า 200 คน และเราต้องการรอจนถึงเดือนหน้าค่อยส่ง Line OA ตามไปอีกครั้ง เราก็สามารถที่จะลากตัว Wait until เพื่อให้ระบบรอจนถึงเดือนหน้าและส่ง Line OA ไปในเดือนถัดไปได้นั่นเอง ทั้งหมดเราจะขอเรียกกระบวนการนี้ว่า Marketing automation journey 

ซึ่งถ้าเพื่อนๆคนไหนอยากอ่านบทความ Marketing Automation แบบเต็มสามารถตามไปได้ที่ลิงค์นี้เลยค่ะ https://connect-x.tech/marketing-automation-2/

สรุป

ในปัจจุบันมีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วหมายความว่าองค์กรต่างๆต้องเผชิญกับการจัดระเบียบข้อมูลตามอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นที่กำลังเข้ามาในขณะเดียวกันลูกค้าก็รู้ว่ามีการแข่งขันกันมากขึ้นกับสิ่งที่ลูกค้าสนใจอยู่ ดังนั้นลูกค้าจึงคาดหวังว่าบริษัทต่างๆจะรู้ใจตัวเองมากยิ่งขึ้นในการที่จะส่งแต่ละแคมเปญมาหาลูกค้า

ข้อมูลลูกค้าที่ถูกนำมาใช้อย่างถูกต้องจะกลายเป็นข้อได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างมากและข้อมูลทั้งหมดที่เราต้องการก็เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีขึ้นให้กับผู้บริโภคนั่นเอง

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

4 ข้อดีของการใช้ Marketing Automation

ทีมงาน ConnectX จะพาทุกๆท่านมาดูข้อดีของระบบ Marketing Automation ว่าจะสามารถช่วยให้เราสะดวกขึ้นได้อย่างไร

ทางทีมงาน ConnectX จะพาเพื่อนๆไปดู 4 ข้อดีของการใช้ Marketing automation เมื่อนำมาช่วยในการทำงานว่ามีประโยชน์อย่างไร

1. Email Automation

การตลาดทางอีเมล (Email Marketing) เป็นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการหาลูกค้าหรือส่ง automation กลับไปหาลูกค้าเก่าเพื่อทำ Loyalty program แม้ตัวของ Email marketing จะค่อนข้างเก่าแต่ก็ยังได้ผลดีเสมอจนถึงยุคปัจจุบัน

หลายบริษัทได้นำระบบอีเมลอัตโนมัติ (Email Automation) เพื่อใช้ในการส่งแบบ Personalized, การส่งจำนวนทีละมากๆ และการตั้งเวลาส่งอีเมลล่วงหน้า โดยเราสามารถตั้งค่าตัว Email automation ได้ภายในไม่กี่คลิ๊ก ก็สามารถส่งไปหาลูกค้าหลักหมื่นหลักแสนคนได้

นี่คือข้อดีของซอฟต์แวร์ระบบอัตโนมัติด้านการตลาดผ่านอีเมล (Email Automation) เครื่องมือที่ดีจะช่วยให้เราสามารถแบ่งกลุ่มรายชื่ออีเมลลูกค้าเพื่อทำให้แคมเปญอีเมลเป็นแบบส่วนตัว (Personalized)

2. ช่วยให้ ROI สูงขึ้น

Marketing automation จะช่วยให้ ROI สูงขึ้นได้ เนื่องจากหลายๆอย่างจะถูกทำให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การแบ่ง segmentation ลูกค้าเพื่อทำ automation, การช่วยให้ประหยัดเวลาในการส่งอีเมลในจำนวนครั้งที่มากๆ หรือแม้กระทั่ง การสร้าง Loyalty ผ่านระบบ Automation

https://keap.com/business-success-blog/marketing/automation/9-marketing-automation-benefits-that-could-help-your-business

3. ข้อมูลและการช่วยวิเคราะห์ที่ตรงและแม่นยำ

รู้หรือไม่ว่า Marketing automation นั้นไม่ใช่การส่งแคมเปญทางการตลาดออกไปเพียงเท่านั้นแต่ยังสามารถ ติดตามข้อมูลที่เราส่งออกไปได้อีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น เราใช้ระบบ Automation เพื่อที่จะต้องการทำ Email marketing ส่งไปหาหยั่งลูกค้าเราสามารถติดตามดูได้ว่า Email ที่เราส่งไปนั้นลูกค้ามีการตอบโต้กลับแบบไหนบ้าง เช่น ไม่เปิดอ่าน, เปิดอ่านแต่ไม่มีการคลิ๊กหรือใช้ส่วนลด , เปิดอ่านใช้และใช้โค้ดส่วนลดที่แนบไป เป็นต้น

4. การตลาดแบบรู้ใจส่วนบุคคล หรือที่เราเรียกกันอีกอย่างว่า Personalized marketing

ธุรกิจส่วนใหญ่เผชิญกับความท้าทายที่ไม่สามารถเปลี่ยนผู้เยี่ยมชมหรือผู้ที่สนใจซื้อให้เป็นลูกค้าได้ ข้อดีอีกอย่างหนึ่งของการทำการตลาดอัตโนมัติ (Marketing automation) นั่นก็คือการใช้ประโยชน์จากการตลาดเฉพาะบุคคล (Personalized marketing) เนื่องจากบริษัทหรือทีมของคุณจะใช้เวลากับงานซ้ำๆ น้อยลง จึงสามารถที่จะสร้างการเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) ที่กำหนดเองผ่านเนื้อหาส่วนบุคคลได้

Marketing automation ยังสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกจากเนื้อหาส่วนบุคคลได้ (Personalized marketing) เช่น อีเมลไหนที่ได้รับการคลิกมากที่สุด โพสต์บนโซเชียลมีเดียไหนที่มีส่วนร่วมมากที่สุด และหากเปลี่ยนเป็นการเข้าชมเว็บไซต์ ข้อมูลเชิงลึกที่เก็บรวบรวมเข้ามาจะสามารถช่วยปรับปรุงให้ตรงกับลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้นอย่างไร

https://learn.g2.com/benefits-of-marketing-automation
30% of sales-related activities can be easily automated with today’s technology.
Source: McKinsey & Company

ทิ้งท้าย

หลังจากที่เพื่อนๆได้อ่านบทความเกี่ยวกับข้อดีของ Marketing automation แล้วทางทีมงาน ConnectX หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับทุกท่านที่กำลังตัดสินใจและพิจราณาอยู่ว่าบริษัทหรือองกรณ์ของเราจำเป็นต้องมีและใช้ Marketing automation หรือไม่

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

สร้าง Brand Loyalty ให้ลูกค้าประทับใจด้วย Email Marketing

Connect X พามาทำความรู้จักการตลาดแบบ Email Marketing พร้อมแนะนำเทคนิคการสร้างแคมเปญการตลาดด้วยอีเมล เพื่อทำให้ลูกค้าประทับใจจนเกิดเป็นความภักดีต่อแบรนด์หรือ Brand Loyalty

“Brand Loyalty” หรือ “ความภักดีต่อแบรนด์” เป็นสิ่งสำคัญในการตลาดยุคปัจจุบัน เนื่องจากผู้บริโภคมีทางเลือกที่หลากหลาย สามารถเปรียบเทียบราคา และค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้นความภักดีต่อแบรนด์ จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้แบรนด์ต่างๆ สามารถเพิ่มยอดขายในระยะยาวและทำให้ประสบความสำเร็จได้ ซึ่งกลยุทธ์การตลาดที่สามารถช่วยสร้างความภักดีต่อแบรนด์นั้นมีหลายวิธี แต่วิธีหนึ่งที่มักถูกมองข้ามไปคือ Email Marketing ซึ่งเป็นกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพสูง ในด้านการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า หรือ Customer Relationship Management​ (CRM) เป็นอย่างมาก และยังสามารถต่อยอดหรือผสานกับกิจกรรมทางการตลาดรูปแบบอื่นได้อย่างง่ายดาย

วันนี้ Connect X จะพาไปรู้จักกับ Email Marketing ให้รอบด้าน พร้อมประโยชน์และเทคนิคในการใช้งาน เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจและทำให้ลูกค้าของคุณเกิดความรู้สึกภักดีต่อแบรนด์ได้อย่างง่ายดาย

Email Marketing คืออะไร?

การตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งโดยใช้ “อีเมล” เป็นช่องทางในการสื่อสาร ซึ่งสามารถสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด โดยจะเน้นการส่งข้อมูลข่าวสาร ประชาสัมพันธ์แบรนด์ แนะนำสินค้าและโปรโมชัน หรือการเพิ่มยอด Engagement สู่เว็บไซต์หรือช่องทางการขายหลักของร้านได้ เพื่อจุดประสงค์ในการกระตุ้นยอดขายให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้ง รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับกลุ่มลูกค้า

การตลาดแบบ Email Marketing หรือ Email Marketing Ecommerce สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้แทบทุกรูปแบบ และสามารถปรับแต่งรายละเอียดได้ว่าต้องการส่งให้กับฐานลูกค้ากลุ่มใด ตลอดจนสามารถสร้างความรู้สึกประทับใจให้กับลูกค้าด้วยการส่งข้อความแบบ Personalized เพื่อแสดงความใส่ใจต่อลูกค้าเป็นรายบุคคลได้อีกด้วย

ประโยชน์ของ Email Marketing ได้แก่

  • ส่งอีเมลถึงผู้รับซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายได้ 100%
  • สามารถส่งซ้ำ (Auto Resend) ได้มากตามความต้องการอย่างไม่จำกัด
  • สามารถแนบลิงก์และรูปภาพ เพื่อสร้างความดึงดูดและการเชิญชวนไปสู่เว็บไซต์หรือช่องทางการขายหลักได้
  • สามารถติดตามการส่งอีเมลในแต่ละครั้งว่าผู้รับและมีการเปิดอ่านหรือไม่ และจัดเก็บข้อมูลเชิงสถิติ
  • เพื่อแสดงความใส่ใจและมอบสิทธิพิเศษแบบรายบุคคล
  • ทำงานร่วมกันกับระบบอื่นๆ อย่าง Marketing Automation และ CDP (Customer Data Platform) ได้
  • ผสานกับรูปแบบการตลาดอื่นๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็น SMS Marketing, Social Media Marketing หรือ Omnichannel Marketing เป็นต้น
  • ช่วยสร้างประสบการณ์ Customer Journey ที่ดีให้กับลูกค้าในโอกาสพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวันเกิด และเทศกาลสำคัญต่างๆ
  • ช่วยสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าเอาไว้ได้อย่างยั่งยืน

6 Email Marketing Campaign ที่ธุรกิจไม่ควรพลาด

การมีเครื่องมือทางการตลาดที่ดีอย่างเดียวอาจยังไม่เพียงพอกับพฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบัน หากอีเมลที่ส่งไปยังมีหัวข้อหรือเนื้อหาที่ไม่น่าสนใจมากพอ ก็อาจทำให้อีเมลนั้นๆ ถูกมองข้ามไป และหากส่งไปไม่ถูกที่และถูกเวลาก็อาจทำให้ไม่มีประสิทธิภาพได้เท่าที่ควร มาดูกันว่ามีกลยุทธ์อะไรบ้างที่น่าสนใจ น่านำไปใช้งาน

  • Welcome Email หรืออีเมลต้อนรับหลังจากลูกค้าได้ลงทะเบียนเป็นสมาชิกใหม่ จะช่วยสร้างความรู้สึกที่ดีกับลูกค้าใหม่ตั้งแต่เริ่มต้น
  • Notification Email การแจ้งเตือนในกระบวนการซื้อ-ขายในแต่ละขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็น การยืนยันคำสั่งซื้อ การติดตามพัสดุระหว่างการขนส่ง การแจ้งเตือนให้กลับมาซื้อสินค้าอีกครั้ง และการแจ้งเตือนให้ซื้อสินค้าที่ถูกเลือกไว้ในตะกร้า เป็นต้น
  • Newsletter and New Release Product Email ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับแบรนด์ การนำเสนอสินค้าใหม่ และเชิญชวนร่วมกิจกรรมพิเศษ จะช่วยให้ลูกค้าเห็นความเคลื่อนไหวของแบรนด์ มีการปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน และนำไปสู่ความผูกพันและภักดีต่อแบรนด์ได้
  • Special Day Email ส่งข้อความพิเศษพร้อมระบุชื่อลูกค้าเป็นรายบุคคล ช่วยสร้างความประทับใจในโอกาสพิเศษต่างๆ เช่น วันเกิด และเทศกาลสำคัญต่างๆ
  • Exclusive Email ส่งข้อความโปรโมชันเด็ดๆ หรือสิทธิพิเศษเฉพาะบุคคล จะช่วยสร้างความรู้สึกที่มีคุณค่าและเป็นคนพิเศษต่อแบรนด์ จนอยากกลับมาซื้อสินค้าซ้ำๆ ได้
  • Customer Service Email แนะนำการให้บริการที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่ลูกค้าเพิ่งซื้อไป หรือติดตามความพึงพอใจต่อสินค้า แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจของแบรนด์ที่มีต่อลูกค้าแต่ละคน

จากที่ Connect X ได้พาไปรู้จักกับ Email Marketing กันแล้ว จะเห็นได้ว่าการตลาดรูปแบบนี้ มีความคุ้มค่าและสามารถช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า และนำไปสู่ความภักดีต่อแบรนด์ได้อย่างดี อีกทั้งยังสามารถทำงานร่วมกันกับการตลาดรูปแบบอื่นๆ ได้ง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าได้เครื่องมือที่ดีอย่าง Marketing Platform จาก Connect X ไปช่วยธุรกิจของคุณ จะทำให้การทำการตลาดในทุกรูปแบบมีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นได้อย่างแน่นอน เพราะเป็น CDP (Customer Data Platform) ที่มีฟีเจอร์ครอบคลุม และระบบ Marketing Automation ช่วยให้การทำ Email Marketing กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ได้เพียงปลายนิ้ว

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

E-Mail Marketing ยังมีความจำเป็นอยู่ไหมในยุคปัจจุบัน ?

ConnectX จะพาทุกท่านไปความรู้จักกับ Email-Marketing (EDM) ว่ามีประโยชน์อย่างไรและในปัจจุบันนั้นการตลาดผ่านอีเมลจะช่วยยกระดับของแบรนด์ได้อย่างไร

อย่างแรกเลยขอเกริ่นกันที่ตัวอีเมล์ก่อนที่ใครๆก็รู้จัก อีเมลนั้นไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่แต่อย่างใด อันที่จริงอีเมลเป็นหนึ่งในวิธีการแรกสุดของการสื่อสารดิจิทัลตั้งแต่ปี 1971 แต่อีเมล์กลับถูกใช้มาจนถึงปัจจุบันในขณะที่บางโซเชียลมีเดียนั้นไม่สามารถที่จะไปต่อได้

การตลาดทางอีเมลเป็นช่องทางการตลาดทางตรงที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถแชร์ข้อมูลเกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ใหม่ การขาย โปรโมชั่นต่างๆ รวมถึงการอัปเดตข้อมูลเกี่ยวกับแบรนด์เพื่อให้ลูกค้าไม่พลาดกับโปรโมชั่นเด็ดๆ หรือสินค้าดีดีจากทางแบรนด์และมากไปกว่านั้นยังเป็นประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าว่าแบรนด์นั้นสนใจลูกค้าไม่ได้ซื้อแล้วจบกันไป

เทรนด์การตลาดผ่านอีเมลในปัจจุบันนั้นได้มีการเปลี่ยนแปลงจากที่เน้นการส่งจดหมายจำนวนมากในทีเดียวเป็นการจำแนกกลุ่มลูกค้า(Segmentation) ก่อนที่จะส่งออกไป และมุ่งเน้นไปที่ความยินยอมมากยิ่งขึ้นจากข้อกฏหมาย PDPA ที่ได้มีการออกบังคับใช้ ทั้งหมดที่อ่านมานี้นี่อาจฟังดูใช้เวลานานแต่ระบบอัตโนมัติทางการตลาด (Marketing automation) จะสามารถจัดการกับงานพวกนี้ในเพียงไม่กี่คลิ๊กซึ่งทาง ConnectX ก็มีบริการ Marketing automation เช่นกัน

กลยุทธ์การตลาดผ่านอีเมลที่ออกแบบมาอย่างดีไม่เพียงแต่กระตุ้นยอดขายแต่ยังช่วยสร้าง Community ให้กับแบรนด์และ word of mouth marketing (การตลาดแบบปากต่อปาก)

ว่าด้วยเรื่องของตัวเลขและสถิติ
ในปี 2020 มีผู้ใช้อีเมลทั่วโลกมากกว่า 4 พันล้านคน
80% ของชาวอเมริกันตรวจสอบอีเมลอย่างน้อยวันละครั้ง โดยเกือบหนึ่งในสี่ตรวจสอบอีเมลส่วนตัววันละหลายครั้ง
62% ของผู้บริโภคจัดอันดับอีเมลในช่องทางการสื่อสารที่ตนชื่นชอบมากที่สุดกับธุรกิจขนาดเล็ก
เมื่อพิจารณาจากตัวเลขแล้ว การไม่มีกลยุทธ์การตลาดผ่านอีเมลหมายถือว่าพลาดโอกาสในการขายและโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าที่ยั่งยืน(Customer Loytalty)

“For every $1 spent on email marketing, you can expect a return of $36!”
https://www.litmus.com/blog/infographic-the-roi-of-email-marketing/

ประโยชน์ของ E-mail marketing

1. Conversion

คุณจะได้ Conversion
เมื่อเราต้องการที่จะยิงแคมเปญใหม่ๆหรือผลิตภัณฑ์ที่ออกใหม่แน่นอนว่า E-mail ก็จะต้องไปหนึ่งในวิธีประชาสัมพันธ์ เราสามารถส่งแคมเปญการตลาดทางอีเมลให้กับสมาชิกเพื่อกระตุ้นยอดขาย ยกตัวอย่างเช่น คูปองลดราคาสินค้าส่วนบุคคลหรือข้อเสนอพิเศษสำหรับวันเกิดหรือวันครบรอบของสมาชิก นี่จะเป็นวิธีที่เราจะสามารถดึงดูดลูกค้าเก่าๆที่เคยเป็นสมาชิกกับเราอยู่แล้วกลับมาซื้อซ้ำหรือเพื่อให้ลูกค้าได้เห็นเราอีกครั้ง(Awareness) จนไปถึงการสร้าง Brand loyalty กับลูกค้าได้ในที่สุด

2. Awareness (การรับรู้ถึงแบรนด์)

ข้อดีของอีเมลอีกข้อคือจะคือช่วยให้เราติดต่อกับใครก็ได้โดยตรงในปัจจุบันลูกค้าต้องการ การสื่อสารแบบตัวต่อตัว(Personalized Marketing) และในปัจจุบันลูกค้าไม่ใช่ว่าลูกค้าจะต้องการรับอีกเมลการสื่อสารจากทุกแบรนด์ถ้ามากไปจนน่ารำคาญลูกค้าก็อาจที่จะ Unsubscribe ได้ ดังนั้นการทำ E-mail marketing เพื่อให้เกิด Awareness อาจจะต้องมีการวางแผนที่ดีและรอบคอบเพื่อที่จะไม่ไปทำให้เกิดความรำคาญ และประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของการตลาดผ่านอีเมลคือความสามารถในการปรับขนาดได้(scalability) ซึ่งหมายความว่าเราสามารถส่งอีเมลไปยังผู้รับจำนวนมากได้ในขณะที่ยังคงความคุ้มค่า (เมื่อเทียบกับช่องทางการตลาดโซเชียลมีเดียอื่นๆ)

3. ความภักดีของลูกค้า (Customer loyalty)

E-mail Marketing จะช่วยสร้างความภักดีของลูกค้าในทุกขั้นตอนของเส้นทางของผู้ซื้อ(Customer Journey) ตั้งแต่การเริ่มต้นใช้งานและการดูแลลูกค้ากลุ่มเป้าหมายอย่างที่ได้กล่าวไปในข้อความข้างบนว่าเราสามารถที่จะใช้อีเมลเพื่อบอกกับลูกค้าได้ว่าครบรอบการเป็นสมาชิกเราจะมีการแจกของสัมมนาคุณให้

4.ประหยัดค่าใช้จ่าย

เพราะเนื่องจาก E-mail marketing นั้นสามารถที่จะส่งข้อความหรือแคมเปญของเราไปหาลูกค้าได้เป็นหมื่นๆคนโดยเป็นแบบ Direct message โดยที่เราอาจจะเสียค่าใช้จ่ายแค่ตัวซอร์ฟแวร์เท่านั้นไม่ต้องเสียเงินให้กับการ ยิง Ads หรือ Bidding เพื่อให้ติดอันดับ

20 Powerful Tips to Improve your Email Marketing Campaigns

ก่อนจะจากกันไป
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ผู้อ่านได้เข้าใจและมีแนวคิดที่ดีขึ้นเกี่ยวกับโลกของการตลาดผ่านอีเมล(E-mail Marketing) การทำการตลาดผ่านอีเมลเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์เพราะถ้าเราส่งอีเมลไปหาลูกค้าที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมายที่เราได้จัดไว้ (Segmentation) ลูกค้าก็จะรู้สึกเกิดความรำคาญกับข้อความที่ส่งมาและทำให้ภาพลักษณ์ของแบรนด์นั้นดูไม่ดีตามไปด้วยแต่กลับกันถ้าเราสามารถส่งแคมเปญที่ตรงใจลูกค้าได้สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เกิดยอดขาย เกิดการซื้อซ้ำ ทำให้ลูกค้ามีความภักดีกับแบรนด์ของเราต่อไป

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย