Category Archives: other

Chat GPT คืออะไร ? รวมทุกคำตอบในการใช้งาน Chat GPT

what-is-chat-gpt

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว Generative Pre-trained Transformer  หรือ Chat GPT คือหนึ่งในนวัตกรรมที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหลายวงการ ทั้งในด้านการศึกษา การทำงาน และธุรกิจ โดยเป็นเครื่องมือที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ chat gpt คือ อะไรในการสร้างและตอบคำถามจากผู้ใช้งานอย่างอัตโนมัติ ทำให้ไม่เพียงแต่ช่วยให้การทำงานของเราเร็วขึ้น แต่ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างเนื้อหาหรือการสนทนาต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่ง

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Chat GPT  ตั้งแต่การใช้งานพื้นฐาน ประโยชน์ที่ได้รับ รวมถึงข้อควรรู้ต่างๆ ที่ช่วยให้คุณใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในภาษาไทย หรือการเข้าใจค่าบริการและข้อกำหนดต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถนำ Chat GPT ไปใช้ในชีวิตประจำวันหรือในธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สารบัญบทความ

Chat GPT คืออะไร ? รวมทุกคำตอบในการใช้งาน Chat GPT

Chat GPT ใช้งานอย่างไร?

ประโยชน์จาก Chat GPT คืออะไร

Chat GPT ทำอะไรได้บ้าง

ใช้งาน ChatGPT ภาษาไทยได้มั้ย?

เปิดค่าบริการ Chat GPT ล่าสุด ราคากี่บาท

10 ข้อควรรู้ในการใช้งาน Chat GPT

สรุป Chat GPT คืออะไร

 

ทำความรู้จัก Chat GPT คืออะไร

Chat GPT (Generative Pre-trained Transformer) คือโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาโดย OpenAI ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถเข้าใจและตอบคำถามจากผู้ใช้ได้อย่างธรรมชาติและมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างข้อความที่มีคุณภาพและเหมาะสมตามคำถามหรือคำขอที่ผู้ใช้ส่งมา ตัวอย่างเช่น หากคุณถาม Chat GPT ว่า “ประเทศไทยมีอาหารอะไรบ้างที่ดัง?” มันจะตอบด้วยการระบุชื่ออาหารดังๆ เช่น ต้มยำกุ้ง ผัดไทย หรือส้มตำ อย่างละเอียดและเข้าใจง่าย

 

Chat GPT ใช้งานอย่างไร?

การใช้งาน Chat GPT นั้นง่ายมาก เพียงแค่คุณเข้าไปที่เว็บไซต์ที่ให้บริการ Chat GPT หรือแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งาน Chat GPT และทำการลงทะเบียนหรือเข้าสู่ระบบ จากนั้นคุณสามารถพิมพ์คำถามหรือคำขอในช่องแชทและ Chat GPT จะตอบกลับทันที

ตัวอย่างการใช้งาน

  • ถามคำถามทั่วไป เช่น “น้ำหนักเฉลี่ยของเด็กทารกแรกเกิดเท่าไหร่?”
  • ขอคำแนะนำหรือบทความ เช่น “เขียนบทความเกี่ยวกับการตลาดดิจิทัลให้หน่อย”
  • คำสั่งต่าง ๆ เช่น “ช่วยแปลภาษาอังกฤษเป็นไทย”

 

ประโยชน์จาก Chat GPT คืออะไร

การใช้งาน Chat GPT สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายด้านดังนี้

  1. ช่วยในการทำงาน: Chat GPT สามารถช่วยในการเขียนเนื้อหา จัดการคำถามที่พบบ่อย หรือแม้แต่ให้คำแนะนำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
  2. การศึกษาหาความรู้: ช่วยค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็ว เช่น คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ หรือคำแนะนำในการเรียนภาษา
  3. การสนทนาและทำงานร่วมกับลูกค้า: ธุรกิจสามารถใช้ Chat GPT เพื่อให้บริการลูกค้าหรือสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
  4. แปลภาษา: สามารถแปลภาษาต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

Chat GPT ทำอะไรได้บ้าง

Chat GPT สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากมายดังนี้

  • สร้างเนื้อหาบทความ: เขียนบทความในหลากหลายหัวข้อ เช่น การตลาด ธุรกิจ หรือการศึกษา
  • ช่วยในการตัดสินใจ: เช่น การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน การเลือกซื้อสินค้า หรือแม้แต่การตัดสินใจในชีวิตประจำวัน
  • แปลภาษา: แปลภาษาได้หลายภาษารวมทั้งภาษาไทย
  • สนทนาและแก้ไขปัญหา: เช่น ช่วยแก้ไขข้อความหรือสร้างคำแนะนำในภาษาที่เข้าใจง่าย
  • สร้างโค้ดโปรแกรม: สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการโค้ดในการพัฒนาแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์

 

ใช้งาน ChatGPT ภาษาไทยได้มั้ย?

คำตอบนั้นก็คือ ได้ ! Chat GPT รองรับการใช้งานภาษาไทยได้ดีมาก เนื่องจากมันได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลจากหลากหลายภาษา ทำให้สามารถตอบคำถามในภาษาไทยได้อย่างถูกต้องและเข้าใจง่าย

ตัวอย่างเช่น

  • ถาม “สวัสดีครับ” Chat GPT ก็จะตอบ “สวัสดีครับ คุณต้องการให้ช่วยอะไรครับ?”
  • ถาม “สูตรทำข้าวต้มกุ้ง” ก็สามารถตอบเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน

 

เปิดค่าบริการ Chat GPT ล่าสุด ราคากี่บาท

ในปัจจุบัน Chat GPT คือมีการให้บริการในหลายรูปแบบ เช่น:

  1. บริการฟรี: สำหรับการใช้งานพื้นฐานที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
  2. Chat GPT Plus: ค่าบริการ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (ประมาณ 700 บาท) สำหรับการใช้งานที่มีความเร็วสูงขึ้น และการเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ

ค่าบริการที่สูงขึ้นจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นในการใช้งาน Chat GPT

 

10 ข้อควรรู้ในการใช้งาน Chat GPT

  1. การตั้งคำถามให้ชัดเจน: พยายามตั้งคำถามให้เฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้รับคำตอบที่ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการ
  2. ใช้คำสั่งอย่างละเอียด: ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น การเขียนบทความ ให้ระบุหัวข้อและจำนวนคำที่ต้องการ
  3. ใช้ภาษาที่เป็นทางการ: ใช้ภาษาที่ชัดเจนและเป็นทางการเพื่อให้คำตอบของ Chat GPT มีความถูกต้อง
  4. ไม่ควรใช้ข้อมูลส่วนตัว: อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวที่อาจเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผย
  5. รู้จักใช้ Chat GPT ตามสถานการณ์: สำหรับธุรกิจและการศึกษา Chat GPT สามารถเป็นเครื่องมือช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น
  6. ใช้หลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด: ลองถามคำถามหลายๆ แบบเพื่อให้ได้คำตอบที่ตรงที่สุด
  7. ตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับ: แม้ Chat GPT จะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ แต่ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
  8. ใช้ Chat GPT เป็นเครื่องมือช่วยคิด: ไม่ควรพึ่งพาเพียงคำตอบจาก Chat GPT แต่ควรใช้เป็นเครื่องมือในการคิดและพัฒนา
  9. ตั้งข้อจำกัดในการใช้งาน: ควบคุมการใช้งานเพื่อไม่ให้เกิดการใช้เวลาเกินไป
  10. เรียนรู้จากคำตอบ: เมื่อได้รับคำตอบจาก Chat GPT, ใช้เวลาทบทวนและเรียนรู้จากคำตอบนั้น

 

สรุป Chat GPT คืออะไร

Chat GPT คือ เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการให้ข้อมูล ช่วยเหลือในการสร้างเนื้อหา แปลภาษา และตัดสินใจในหลายๆ ด้าน ใช้งานง่ายและรองรับหลายภาษา รวมถึงภาษาไทย จึงเหมาะสำหรับการใช้ในงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การทำงาน หรือการบริการลูกค้า โดยค่าบริการที่เหมาะสมช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน อย่างเช่น ConnectX CDP ได้มีการพัฒนาโมเดลของ AI เช่นกันเพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถใช้เครื่องทางการตลาดที่ครบ รวดเร็วและลด human error 

อย่างไรก็ตาม ควรใช้ Chat GPT อย่างระมัดระวังและมีวิจารณญาณ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีนี้ 

 

Data-driven marketing platform คืออะไร และสำคัญกับธุรกิจอย่างไร?

what-is-data-driven-marketing-platform

Data-driven marketing platform คืออะไร?

Data-driven marketing platform คือระบบอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อช่วยธุรกิจในการรวบรวม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากหลากหลายแหล่งข้อมูล ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งรวมถึง:

  1. Customer Data (ข้อมูลลูกค้า)
    – ข้อมูลประชากร (Demographics) เช่น อายุ เพศ อาชีพ
    – โปรไฟล์ส่วนบุคคล (Profiles) เช่น ความชอบ ความสนใจ ประวัติการติดต่อ
    – ประวัติการซื้อและการใช้บริการ (Purchase & Usage History)

  2. Behavioral Data (ข้อมูลพฤติกรรม)
    – วิธีที่ลูกค้าโต้ตอบกับเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรืออีเมล (Clickstream, Session Data)
    – การตอบสนองต่อโฆษณาและแคมเปญ (Ad Engagement, Open & Click Rates)
    – กิจกรรมในโซเชียลมีเดียและรีวิว (Social Listening, Sentiment Analysis)

  3. Market Data (ข้อมูลแนวโน้มตลาด)
    – ข้อมูลสภาพแวดล้อมการแข่งขัน (Competitor Analysis, Benchmarking)
    – แนวโน้มอุตสาหกรรมและพฤติกรรมผู้บริโภค (Industry Reports, Trend Forecasts)
    – สถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะตลาด (Economic Indicators, Seasonal Patterns)

ฟังก์ชันหลักของ Data driven marketing platform

  • Data Integration: รวมรวมข้อมูลจาก CRM, CDP, โซเชียลมีเดีย, เว็บแอนะลิติกส์ ฯลฯ มาไว้ในที่เดียว

  • Segmentation & Personalization: แบ่งกลุ่มลูกค้าตามลักษณะและพฤติกรรม เพื่อส่งข้อความทางการตลาดที่ตรงใจ

  • Real-time Analytics: วิเคราะห์และแสดงผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ปรับแผนการตลาดได้ทันทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

  • Campaign Orchestration: วางแผนและควบคุมการส่งข้อความทุกช่องทาง (Omni-Channel) จากแดชบอร์ดกลาง

  • Performance Measurement: ติดตาม KPI สำคัญ เช่น CAC, CLV, Conversion Rate และ ROI ด้วยรายงานอัตโนมัติ

ด้วย Data-driven marketing platforms ธุรกิจไม่เพียงแต่เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกแต่ยังแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดความสูญเปล่าของงบประมาณ เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย และสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าในระยะยาว

ทำไมต้องใช้ Data-Driven Marketing Platform?

การนำ Data Driven Marketing Platforms มาใช้จะช่วยให้ธุรกิจทำการตลาดได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพ และประหยัดต้นทุน ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้:

  1. เข้าใจลูกค้า เข้าใจตลาด และคู่แข่ง
    – ข้อมูลเชิงลึกช่วยให้รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร ชอบอะไร และพฤติกรรมการซื้อของพวกเขาเป็นอย่างไร
    – ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีกออนไลน์วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียกดูสินค้า (clickstream) เพื่อคาดเดาว่าลูกค้าจะสนใจสินค้าชิ้นไหน และแสดงคอนเทนต์หรือข้อเสนอเฉพาะกลุ่ม จึงเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้สูงขึ้น
    – แบรนด์แฟชั่นอาจติดตามสินค้าที่ผู้ใช้เข้าชม เก็บข้อมูลที่ตั้ง หรือวิเคราะห์คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย เพื่อแนะนำสินค้าให้ตรงใจและสร้างอัตราการแปลง (conversion) ที่สูงขึ้น

  2. การตัดสินใจที่มั่นใจ
    – ลดการคาดเดา ด้วยตัวชี้วัดเชิงตัวเลข (เช่น Click-through Rate, Conversion Rate, Engagement) ที่เห็นผลแบบเรียลไทม์
    – นักการตลาดสามารถปรับงบประมาณและกลยุทธ์ทันทีหากพบว่าแคมเปญใดทำผลงานได้ดีหรือไม่ดี
    – ตัวอย่าง: แคมเปญโฆษณาดิจิทัลสามารถติดตามได้ว่าโฆษณาแบบไหนให้ผลตอบแทนสูงสุด จึงสลับงบไปยังช่องทางหรือครีเอทีฟที่ได้ผลที่สุด

  3. ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
    – เจาะกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจง ลดการใช้จ่ายกับกลุ่มที่ไม่คุ้มค่า
    – วางแผนโปรโมชั่นและสต็อกสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการจริง
    – ตัวอย่าง: ผู้ค้าปลีกวิเคราะห์ยอดขายในอดีตเพื่อคาดการณ์สินค้ายอดนิยมในแต่ละฤดูกาล และจัดสรรงบโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ

กรณีตัวอย่างการใช้ข้อมูลในการตลาด

  • ร้านกาแฟทั่วไป
    เก็บข้อมูลยอดขายตามช่วงเวลาและเมนูที่ขายดี เพื่อปรับโปรโมชั่นช่วงเร่งด่วน เช่น “Happy Hour” และเพิ่มสต็อกเมล็ดกาแฟยอดนิยม

  • ร้านอาหาร/ร้านค้าปลีก
    ใช้รายงานจากระบบ POS วิเคราะห์เมนูหรือสินค้าที่นิยมสูงสุดในแต่ละเดือน ช่วยปรับเมนูหรือกลยุทธ์การตั้งราคาให้เหมาะสม

  • องค์กรขนาดใหญ่ (Coca-Cola, Unilever)
    วิเคราะห์ฟีดแบ็กลูกค้า ประวัติการซื้อ และแนวโน้มตลาด เพื่อนำมาออกแคมเปญโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

  • แมคโดนัลด์ (McDonald’s)
    ใช้เทคโนโลยี Decisioning Engine แนะนำเมนูอัตโนมัติในแอปตามข้อมูลเวลา คำสั่งซื้อเก่า และตำแหน่งที่ตั้ง

  • สตาร์บัคส์ (Starbucks)
    ทำ Hyper-Personalization ในแอป ส่งข้อเสนอและโปรโมชั่นเฉพาะบุคคล ส่งผลให้ Engagement กับแอปและยอดขายเพิ่มขึ้น

  • Netflix
    ปรับภาพปกหนัง/ซีรีส์แต่ละเรื่องให้เหมาะกับประวัติการรับชมของผู้ใช้แต่ละคน

  • Grene
    วิเคราะห์ประวัติการซื้อ แนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องผ่านตะกร้าสินค้า (shopping cart) ทำให้ยอดขายต่อออเดอร์สูงขึ้น

ประโยชน์หลักของ Data-Driven Marketing Platforms

  1. Customer Insight – ค้นหาความต้องการที่ซ่อนอยู่ของลูกค้า เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงความต้องการ

  2. Omni-Channel Optimization – ส่งข้อความสอดคล้องกันในทุกช่องทาง (เว็บไซต์, อีเมล, โซเชียลมีเดีย) เพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อ

  3. Real-Time Performance Tracking & ROI Measurement – ติดตามผลและปรับกลยุทธ์ได้ทันที พร้อมวัดผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างแม่นยำ

ด้วย Data-Driven Marketing Platforms คุณจะเปลี่ยนข้อมูลดิบให้กลายเป็นกลยุทธ์การตลาดอันทรงพลัง ตอบโจทย์ “ถูกที่ ถูกเวลา ถูกใจลูกค้า” และขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

มาร่วมเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ไปกับ ConnectX – ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data-Driven Marketing Platforms ที่พร้อมยกระดับทุกแคมเปญของคุณ ตั้งแต่การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ ไปจนถึงการวางกลยุทธ์แคมเปญแบบเฉพาะบุคคล ด้วยเครื่องมือและทีมงานมืออาชีพของ ConnectX คุณจะได้ทั้งการตัดสินใจที่แม่นยำ ลดต้นทุนในจุดที่ไม่จำเป็น และสร้างประสบการณ์เหนือระดับให้กับลูกค้าทุกคน ติดต่อเราเพื่อเริ่มต้นออกแบบเส้นทางการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และก้าวสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน!

ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

*รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

    Yearly Budget

    How do you know us?

    ธุรกิจออนไลน์ต้องรู้! โทษ PDPA และ 5 วิธีรับมือก่อนโดนปรับ

    โทษ-PDPA

    ธุรกิจออนไลน์ต้องรู้! โทษ PDPA และ 5 วิธีรับมือก่อนโดนปรับ

    หลายคนคงเคยเห็นว่าเวลาเข้าเว็บไซต์มักมีป๊อปอัปให้ “ยินยอม” หรือ “ปฏิเสธ” การเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ หรือ Cookies Consent ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA กฎหมายที่เน้นการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานออนไลน์

    ในยุคดิจิทัล “ข้อมูล” คือหัวใจของการตลาด ไม่ว่าจะนำไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือพัฒนาแคมเปญต่าง ๆ การเก็บข้อมูลเหล่านี้ต้อง “ได้รับความยินยอม” อย่างชัดเจน เพราะหากละเมิด อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย PDPA ซึ่งมี โทษทั้งจำและปรับ

    Connect X ขอสรุปสาระสำคัญเพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฟ้องร้องในอนาคต

    PDPA คืออะไร?

    PDPA หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act) คือกฎหมายที่ออกมาเพื่อปกป้องสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยกำหนดให้ทุกองค์กรที่มีการเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ต้องได้รับ “ความยินยอมโดยชัดแจ้ง” จากเจ้าของข้อมูลก่อนเสมอ

    ข้อมูลส่วนบุคคลในที่นี้ครอบคลุมตั้งแต่ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ที่อยู่ IP Address พิกัด GPS ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ หรือแม้แต่ประวัติการซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนบุคคลได้โดยตรงหรือโดยอ้อม

    PDPA ครอบคลุมทั้งองค์กรภายในประเทศไทยและองค์กรต่างประเทศที่ให้บริการกับคนไทย ไม่ว่าจะดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย หรือเอกสารกระดาษ

    เป้าหมายของ PDPA คือการกำหนด “กรอบการใช้ข้อมูล” ให้โปร่งใส เป็นธรรม และควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เช่น การส่งต่อข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการใช้ข้อมูลในทางการตลาดโดยเจ้าของข้อมูลไม่รู้ตัว

    องค์กรใดที่ไม่ปฏิบัติตาม PDPA จะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่ชัดเจนทั้งในทางแพ่ง อาญา และทางปกครอง รวมถึงเสี่ยงต่อความเสียหายด้านชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือทางธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ

    โทษ PDPA หากไม่ปฏิบัติตาม

    การละเมิด พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำผิดทางเทคนิค แต่ส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ และอาจสร้างความเสียหายทั้งในเชิงกฎหมายและภาพลักษณ์องค์กรอย่างรุนแรง

    หากองค์กรใดเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจน ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย โดยไม่ว่าจะเป็น ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) หรือ ผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Processor) ก็มีโทษทางกฎหมายที่ครอบคลุมทั้ง แพ่ง, อาญา และ ทางปกครอง ดังนี้:

    • โทษทางแพ่ง
      เจ้าของข้อมูลสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และอาจมีการเรียกค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) ได้ในกรณีที่องค์กรกระทำโดยเจตนา หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

    • โทษทางอาญา
      กรณีที่มีการนำข้อมูลไปใช้โดยมิชอบ เช่น ขายต่อ ส่งต่อ หรือใช้ในทางที่เจ้าของข้อมูลไม่เคยยินยอม อาจมีโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี และ/หรือ ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับเจตนาและผลกระทบที่เกิดขึ้น

    • โทษทางปกครอง
      หน่วยงานกำกับดูแลสามารถสั่ง ปรับทางปกครองได้สูงสุด 5 ล้านบาทต่อกรณี โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งศาล

    นอกจากโทษในเชิงกฎหมายแล้ว องค์กรยังเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยชื่อ (Name & Shame) หรือขึ้นบัญชีดำโดยหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ

    ดังนั้น การเตรียมตัวให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น ทั้งด้านนโยบาย กระบวนการ และเครื่องมือที่ใช้ จึงเป็นทางรอดของธุรกิจในยุคที่ “ข้อมูล” คือสินทรัพย์ และ “ความยินยอม” คือเงื่อนไขในการใช้ข้อมูลนั้นอย่างถูกกฎหมาย

    5 ข้อที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด ในการเตรียมตัวก่อน PDPA มีผลบังคับใช้

    1. สร้าง Awareness ด้าน Data Privacy ให้กับบุคลากรในองค์กร

    เพราะแทบทุกแผนกอาจมีความเกี่ยวข้องที่ทำให้ต้องใช้งาน เก็บรวบรวม และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า พนักงานบริษัท บริษัทคู่ค้า (Vendor) บริษัทที่ได้รับการว่าจ้าง (Outsource) ฯลฯ จึงจำเป็นจะต้องมีความตระหนักถึงความสำคัญของนโยบายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้น นอกจากนี้ควรศึกษาข้อมูลและปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA เพราะทุกคนมีความเสี่ยงต่อการที่ข้อมูลส่วนบุคคลที่องค์กรประมวลผลอาจถูกละเมิดร่วมกัน รวมถึงช่วยกันการดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้นลง

    2. วางนโยบายความเป็นส่วนตัว Privacy Policy

    นโยบายดังกล่าวควรครอบคลุมทั้งภายในองค์กร รวมถึงการสร้างเงื่อนไขสำหรับผู้ใช้บริการหรือลูกค้าของเรา ซึ่งองค์กรควรจัดหาเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ Data Protection Officer: DPO เพื่อช่วยให้คำแนะนำและตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กรให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA สามารถลดความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง

    ในส่วนของนโยบายความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ธุรกิจต้องระบุให้ชัดเจนว่าต้องการเก็บข้อมูลอะไร เพื่อใช้ประโยชน์อะไร มีการส่งต่อข้อมูลให้บริษัทภายนอกหรือไม่ และมีระยะเวลาในการเก็บนานเท่าใด รวมทั้งมีมาตรการในการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งทำส่วนการแจ้งเตือนหรือฟอร์มในการสอบถามความยินยอมให้ชัดเจน เช่น บนเว็บไซต์อาจจะเป็น “รูปแบบคุกกี้แบนเนอร์ (Cookie Consent Banner)” โดยระบุเงื่อนไข Cookies Privacy Policy ให้ผู้ใช้งานอ่านและกดยินยอมหรือปฏิเสธ ทำให้เหล่าธุรกิจไม่ต้องห่วงปัญหาที่จะตามมาในเรื่อง PDPA กับเว็บไซต์อีกเลย ส่วนในช่องทางอื่นๆ อย่างแอปพลิเคชันก็สามารถแจ้งเตือนภายในแอป (In-App Notification) เมื่อผู้ใช้งานทำการเปิดแอปพลิเคชันครั้งแรก หรือทำการสมัครสมาชิกได้เช่นกัน

    3. กำหนดมาตรการในการดูแลข้อมูลส่วนบุคคล

    เมื่อองค์กรได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการหรือลูกค้าแล้วนั้น จะต้องจัดการระบบให้มีความปลอดภัย เพราะหากมีการรั่วไหลอาจทำให้เกิดการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีได้ โดยอาจเริ่มจากการจัดทำ Access Control & Logging เพื่อตรวจสอบคนที่เข้าถึงข้อมูล และเพิ่ม IT Security เช่น Firewall หรือ Encryption เป็นต้น ควรเตรียมมาตรการในการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน เมื่อเกิดเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลโดยตั้งใจหรือมิได้ตั้งใจ ทางองค์กรจะต้องมีการรายงานผลและแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกกรณี

    4. สร้างระบบรองรับเมื่อมีการยกเลิกการยินยอมแบบอัตโนมัติ

    ในเงื่อนไขนโยบายความเป็นส่วนตัว จะต้องมีการระบุว่าเมื่อผู้ใช้งานหรือลูกค้ากดยินยอมให้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลแล้ว ลูกค้าสามารถทำการยกเลิกการยินยอมก่อนระยะเวลาที่ธุรกิจกำหนดได้ ซึ่งหมายถึงว่าเจ้าของข้อมูลสามารถทำการยกเลิกได้ตลอดเวลา การมีระบบรองรับสำหรับการยกเลิกการยินยอมแบบอัตโนมัติจะช่วยให้สร้างความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการหรือลูกค้าได้มากกว่า เพราะสามารถดำเนินการได้ทันที จึงช่วยลดโอกาสในการฟ้องร้องดำเนินคดีจากความล่าช้าในการดำเนินการได้อีกด้วย

    5. เตรียมเครื่องมือให้พร้อม

    ให้ Connect X เป็นตัวช่วยให้กับธุรกิจของคุณ เราคือแพลตฟอร์ม CDP (Customer Data Platform) สามารถช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน มาพร้อมกับระบบ Marketing Automation ที่ช่วยทำการตลาดแบบอัตโนมัติ โดยเป็นแพลตฟอร์มหรือระบบที่รองรับกฎหมาย PDPA เป็นระบบที่ได้รับมาตรฐานการเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย มีมาตรฐาน ISO27001 ทำให้เหล่าธุรกิจคลายกังวลได้เพราะข้อมูลของลูกค้าจะปลอดภัยและมีขั้นตอนการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA อย่างแน่นอน

    จากที่ Connect X ได้แนะนำ 5 ข้อที่ธุรกิจควรเตรียมตัวก่อนที่กฎหมาย PDPA บังคับใช้กันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมีความสำคัญที่เหล่าธุรกิจจะต้องคำนึงถึงโดยมีมาตรการสร้างทั้งความเข้าใจและความพร้อมของบุคลากรกับระบบที่ใช้งานให้พร้อมก่อน 1 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA แล้วมีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือใช้ผิดวัตถุประสงค์ ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลหรือลูกค้าของเรา และส่งผลกระทบต่อองค์กรเป็นวงกว้าง

    หากองค์กรธุรกิจปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด โดยที่มีการชี้แจงเรื่องการใช้ข้อมูลอย่างโปร่งใส ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา ก็จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ พร้อมสร้างความสบายใจจนเกิดเป็นความไว้วางใจให้กับลูกค้าได้อย่างแน่นอน

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

      Yearly Budget

      How do you know us?

      Customers Journey จะลื่นไหลแค่ไหน ถ้ามี Marketing Automation?

      Customers-Journey

      Marketing Automation ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพใน Customers Journey ได้อย่างไร

      วันนี้ทีมงาน Connect X จะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจว่า Marketing Automation หรือระบบการตลาดแบบอัตโนมัติ ไม่เพียงแต่ช่วยให้ทีมการตลาดทำงานได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกช่วงของ Customers Journey ได้อย่างเป็นรูปธรรม

      หลายท่านอาจสงสัยว่า ระบบอัตโนมัติในการทำการตลาดจะช่วยประหยัดได้จริงหรือ? คำตอบคือ “จริง” และเห็นผลได้อย่างชัดเจน โดยหลักการสำคัญของ Marketing Automation คือการใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการกระบวนการทำงานที่ต้องทำซ้ำ เช่น การส่งอีเมล การจัดการข้อมูลลูกค้า หรือการส่งแคมเปญโฆษณา เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารเวลาและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

      Marketing Automation คืออะไร?

      Marketing Automation คือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการกิจกรรมทางการตลาดต่าง ๆ ให้ทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำ เพิ่มความแม่นยำในการสื่อสาร และช่วยให้ทีมการตลาดสามารถมุ่งเน้นไปที่การวางกลยุทธ์และการวิเคราะห์ผลลัพธ์ได้มากขึ้น

      ระบบการตลาดอัตโนมัติสามารถครอบคลุมการทำงานหลากหลาย ตั้งแต่การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย การตั้งแคมเปญ การส่งข้อความส่วนบุคคล การติดตามผลลัพธ์ในแต่ละ Touchpoint ตลอด Customer Journey ไปจนถึงการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า ทั้งในรูปแบบออนไลน์ เช่น การส่งอีเมลอัตโนมัติ การแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน การแสดงโฆษณาแบบเจาะจง ไปจนถึงออฟไลน์ เช่น การออกคูปอง ณ จุดขาย หรือการเชื่อมต่อข้อมูลกับ Call Center

      หนึ่งในจุดเด่นของ Marketing Automation คือความสามารถในการ “ปรับแต่ง” การสื่อสารให้ตรงกับพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้าในแต่ละราย เช่น การส่งข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าที่เคยดูสินค้าหมวดหมู่หนึ่งบ่อยครั้ง หรือการส่งอีเมลติดตามแบบเจาะจงไปยังลูกค้าที่เคยละทิ้งตะกร้าสินค้า

      ระบบยังสามารถเชื่อมโยงกับ CRM และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ช่วยให้ธุรกิจมีภาพรวมของลูกค้าอย่างครบถ้วนในทุกช่องทาง ซึ่งส่งผลต่อการออกแบบแคมเปญที่แม่นยำ สื่อสารตรงกลุ่ม และวัดผลได้แบบเรียลไทม์

      กล่าวได้ว่า Marketing Automation ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับ “ทำงานแทนคน” แต่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจและตอบสนองลูกค้าได้ในเวลาที่เหมาะสม ด้วยข้อความที่เหมาะสม และผ่านช่องทางที่ลูกค้าต้องการ ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย รักษาความสัมพันธ์ และขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางการตลาดอย่างเป็นระบบ

      Marketing Automation ช่วยอะไรได้บ้าง?

      การทำการตลาดในยุคดิจิทัลไม่ได้หยุดอยู่แค่การสื่อสารผ่านหลายช่องทาง แต่ต้องสามารถควบคุม จัดการ และส่งมอบประสบการณ์ที่ตรงจุดและทันเวลาให้กับลูกค้าในทุกช่วงของ Customers Journey และนี่คือ 3 สิ่งสำคัญที่ระบบ Marketing Automation เข้ามาช่วยได้อย่างชัดเจน:

      1. รวบรวมและจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ

      Marketing Automation ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในระบบเดียว ไม่ว่าจะมาจากการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ การกดคลิกโฆษณา หรือพฤติกรรมการใช้งานในแอปพลิเคชัน ข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกและเรียบเรียงอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ทีมการตลาดสามารถเข้าใจภาพรวมของลูกค้าแต่ละรายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของความสนใจ พฤติกรรมการซื้อ และช่องทางที่ใช้บ่อยที่สุด

      2. สื่อสารแบบอัตโนมัติและเฉพาะบุคคล

      หนึ่งในจุดเด่นของ Marketing Automation คือความสามารถในการส่งข้อความอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เช่น การส่งอีเมลต้อนรับทันทีเมื่อลูกค้าสมัครใช้งาน หรือการแจ้งเตือนเมื่อมีสินค้าค้างในตะกร้า ที่สำคัญคือระบบสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมและข้อมูลที่เก็บไว้ เพื่อส่งข้อความที่ “ตรงใจ” และ “ตรงจังหวะ” กับลูกค้าแต่ละราย เพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมและตัดสินใจซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

      3. วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์

      ระบบสามารถวิเคราะห์ผลตอบรับของแคมเปญในแต่ละขั้นตอน เช่น เปิดอีเมล คลิกลิงก์ หรือสั่งซื้อ และสรุปออกมาเป็นรายงานที่ใช้งานได้ทันที ทีมการตลาดสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาทำ A/B Testing ปรับข้อความ เลือกเวลาส่ง หรือจัดลำดับกลุ่มเป้าหมายใหม่ เพื่อให้แคมเปญครั้งต่อไปมีความแม่นยำยิ่งขึ้น และเชื่อมโยงกับ Customer Journey ได้ลื่นไหลกว่าเดิม

      เมื่อรวมทั้งสามประเด็นเข้าด้วยกัน จะเห็นได้ว่า Marketing Automation ไม่เพียงช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุน แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่มีคุณภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ไปจนถึงการรักษาความสัมพันธ์ในระยะยาว

      ทำไม Marketing Automation จึงเป็นหัวใจของ Customers Journey ที่มีประสิทธิภาพ

      ในยุคที่ลูกค้ามีอำนาจในการเลือกสูงขึ้น และคาดหวังประสบการณ์ที่ราบรื่นจากทุกช่องทาง แบรนด์ที่สามารถเข้าใจและตอบสนองได้อย่างแม่นยำในแต่ละช่วงของ Customer Journey จะมีความได้เปรียบอย่างมาก การสื่อสารที่ “ตรงคน ตรงเวลา และตรงช่องทาง” ไม่เพียงช่วยสร้างความสนใจในช่วงแรกของการรับรู้แบรนด์เท่านั้น แต่ยังช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้นในระยะยาว

      Marketing Automation เข้ามาเติมเต็มบทบาทนี้อย่างเป็นระบบ โดยทำหน้าที่เป็นกลไกเบื้องหลังที่ประมวลผลข้อมูลลูกค้าจากหลากหลาย Touchpoint แล้วนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการออกแบบแคมเปญการตลาดที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล เช่น การแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้อเดิม การส่งข้อความต้อนรับที่สื่อสารอย่างเป็นมิตร หรือแม้แต่การแจ้งเตือนเมื่อมีโปรโมชั่นที่ตรงความสนใจของลูกค้าในช่วงเวลาที่เหมาะสม

      การมีระบบที่ช่วยบริหารกระบวนการเหล่านี้แบบอัตโนมัติ ไม่เพียงช่วยลดภาระของทีมงาน แต่ยังช่วยลดความผิดพลาดจากการทำงานแบบแมนนวล ขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกจุดสัมผัสของลูกค้ากับแบรนด์ “สื่อสารด้วยเสียงเดียวกัน” (consistent messaging) ไม่ว่าจะผ่านอีเมล แชท โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่หน้าร้านจริง

      นอกจากนี้ Marketing Automation ยังทำให้แบรนด์สามารถวัดผลและประเมินความสำเร็จในแต่ละขั้นของ Customer Journey ได้แบบเรียลไทม์ แบรนด์จึงสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน และตอบสนองต่อความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างทันเหตุการณ์

      ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า Marketing Automation ไม่ใช่แค่เครื่องมือสำหรับ “การส่งข้อความอัตโนมัติ” แต่คือแกนกลางของการออกแบบประสบการณ์ลูกค้าในโลกที่ทุกการคลิก ทุกการเปิดอีเมล หรือทุกการสั่งซื้อ ล้วนมีความหมายต่อภาพรวมของธุรกิจ และเมื่อนำมาใช้ร่วมกับการวางแผน Customer Journey อย่างมีกลยุทธ์ ก็จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

      ขับเคลื่อน Customers Journey ด้วยระบบจาก Connect X

      Marketing Automation ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่คือเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจยุคใหม่ต้องมี หากต้องการบริหาร Customers Journey ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และยืดหยุ่น เมื่อระบบสามารถทำหน้าที่แทนในเรื่องที่ซ้ำซ้อน ส่งข้อความได้ตรงจุด และวิเคราะห์ผลได้แบบเรียลไทม์ ธุรกิจจะมีเวลาและทรัพยากรเหลือพอในการโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “ลูกค้า”

      ที่ Connect X เราเข้าใจดีว่าเส้นทางของลูกค้าไม่ใช่เรื่องง่าย การบริหารจัดการหลายช่องทางให้เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ จำเป็นต้องอาศัยทั้งเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและทีมที่มีความเข้าใจในระบบอย่างแท้จริง เราจึงพัฒนาโซลูชันด้าน Marketing Automation ที่ผสานกับระบบ CRM, CDP และ Social Chats ได้อย่างลงตัว พร้อมให้ธุรกิจของคุณขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ

      หากคุณกำลังมองหาวิธีบริหาร Customer Journey ที่ไม่ใช่แค่ “ตามทัน” แต่ “นำหน้า” คู่แข่ง Connect X พร้อมให้คำปรึกษาและเดินไปกับคุณในทุกจุดสัมผัสของลูกค้าอย่างแท้จริง

      ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

      *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

        Yearly Budget

        How do you know us?

        5 วิธีเลือกระบบ Customer Relationship Management CRM ให้ปังที่สุด

        CRM-Customer-Relationship- Management

        เจ้าของแบรนด์มือใหม่ที่อยากยกระดับการให้บริการจะเลือกระบบ Customer Relationship Management CRM ให้เหมาะสมได้อย่างไร? Connect X จะมาบอกให้รู้เอง!

        การให้บริการและการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดของธุรกิจยุคนี้เพื่อให้ “อยู่รอด” เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันล้วนต้องการการบริการที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการได้ทั้งนั้น หากแบรนด์ไหนที่ไม่สามารถให้บริการได้ดีเท่าที่ลูกค้าคาดหวัง ก็อาจจะต้องยุติธุรกิจลงเลยก็เป็นได้

        ในการบริหารความสัมพันธ์และให้บริการลูกค้านั้น แบรนด์จำเป็นต้องมีการ “จัดเก็บ” ข้อมูลและการ “จัดการ” ที่เหมาะสม ระบบ Customer Relationship Management (CRM) และกระบวนการ CRM จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามาเป็นตัวช่วยในการบริหาร จัดการข้อมูลลูกค้า และยกระดับการบริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่คำถามสำคัญคือเลือกระบบ CRM อย่างไร? ในบทความนี้ Connect X จะมาบอก 5 วิธีเลือกระบบ CRM ให้เจ้าของธุรกิจมือใหม่ได้ทราบกัน

        5 วิธีเลือกระบบ Customer Relationship Management

        หนึ่งในปัญหาหลักๆ ของแบรนด์เมื่อนำระบบ CRM เข้ามาใช้ในธุรกิจคือ พบว่าระบบไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ดีที่เท่าที่คิด ทั้งๆ ที่ลงทุนไปแล้วแต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนกลับมา เชื่อว่าเจ้าของธุรกิจทุกคนคงไม่ต้องการให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นการคัดเลือกระบบ Customer Relationship Management จึงเป็นขั้นตอนที่มองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด

        1. เริ่มจากคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ

        ก่อนจะเลือกระบบ CRM คุณควรเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ตัวเองว่า “เราเป็นใคร” และ “เราต้องการอะไร” เพราะแต่ละธุรกิจมีบริบทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ระบบ CRM ที่เหมาะกับร้านอาหารอาจไม่ตอบโจทย์ธุรกิจขายของออนไลน์ หรือบริการ B2B ขนาดใหญ่ก็อาจต้องการฟีเจอร์ที่ซับซ้อนกว่าร้านค้า B2C ขนาดเล็ก ดังนั้นคำถามที่ควรถามตัวเองก่อนมีดังนี้:

        • ธุรกิจของเราเป็น B2B หรือ B2C?
        • ทีมขายของเราทำงานผ่านช่องทางไหนบ้าง เช่น LINE OA, โทรศัพท์, อีเมล หรือหน้าร้าน?
        • มีทีมขายกี่คน และมีความสามารถด้านเทคโนโลยีแค่ไหน?
        • ข้อมูลลูกค้าแบบใดที่เราจำเป็นต้องเก็บ เช่น ประวัติการซื้อ ความสนใจ หรือพฤติกรรมการใช้งาน?
        • กระบวนการขายของเรามีกี่ขั้นตอน และใครเป็นผู้เกี่ยวข้องบ้าง?

        คำตอบเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าระบบ CRM แบบไหนควรเลือก เช่น หากทีมงานยังไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อาจต้องเลือกแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย และมีการเทรนนิ่งชัดเจนอย่าง Connect X CRM

        2. ลิสต์ความต้องการจากระบบ Customer Relationship Management CRM

        หลังจากเข้าใจธุรกิจของตัวเองแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเขียนรายการความต้องการจากระบบ CRM ให้ชัดเจนที่สุด เพราะ CRM ในตลาดมีมากมายหลากหลายเจ้า บางระบบเด่นด้านการเก็บข้อมูล บางระบบเด่นด้านการวิเคราะห์ หรือบางระบบออกแบบมาเพื่อการตลาดโดยเฉพาะ การมีลิสต์ที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณกรองตัวเลือกได้ง่ายขึ้น เช่น

        • ต้องการให้เชื่อมกับ Facebook, LINE OA, Shopee หรือระบบ POS ได้หรือไม่?
        • ระบบต้องมีแดชบอร์ดแบบ Real-Time หรือไม่?
        • ต้องการระบบ Marketing Automation ที่ส่งอีเมลหรือข้อความอัตโนมัติตามพฤติกรรมลูกค้าหรือเปล่า?
        • อยากให้มีระบบ AI ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าไหม?
        • ระบบต้องรองรับทีมงานหลายคนพร้อมกันหรือเปล่า?

        สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณไม่ตกหลุมพรางของ CRM ที่มีฟีเจอร์มากเกินไปแต่ไม่จำเป็นต่อธุรกิจ และยังช่วยลดต้นทุนในระยะยาวได้ด้วย

        3. ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน

        ความง่ายในการใช้งานเป็นหัวใจของระบบ CRM ที่ดี เพราะต่อให้ระบบจะมีความสามารถมากมายขนาดไหน ถ้าใช้งานจริงแล้วพนักงานสับสน ใช้ไม่เป็น หรือเสียเวลาในการอบรมมากเกินไป ก็จะกลายเป็นภาระมากกว่าประโยชน์ ควรพิจารณาดังนี้:

        • ระบบมีอินเทอร์เฟซเป็นมิตรต่อผู้ใช้ (User Friendly) หรือไม่?
        • มีภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่ทีมงานเข้าใจได้ง่ายไหม?
        • รองรับการใช้งานผ่านมือถือหรือแท็บเล็ตหรือไม่?
        • สามารถทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่นได้ไหม เช่น เชื่อมกับอีเมลอัตโนมัติ หรือ LINE OA แบบไม่ต้องเปลี่ยนแพลตฟอร์มไปมา?

        Connect X CRM ถูกออกแบบมาให้คนไทยใช้งานได้ง่าย มีการแสดงข้อมูลที่เข้าใจได้ทันที ลดเวลาในการเทรนนิ่ง และช่วยให้ทีมงานโฟกัสกับการดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มที่

        4. ทดลองใช้หรือขอ DEMO จากผู้ให้บริการ

        อีกหนึ่งข้อที่ห้ามมองข้ามคือ “การทดลองใช้ระบบจริง” หรืออย่างน้อยก็ขอให้ผู้ให้บริการจัด Demo ให้ก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของระบบก่อน ว่าฟีเจอร์ต่างๆ ทำงานอย่างไร และตรงกับความต้องการของทีมงานหรือไม่ บางระบบเปิดให้ทดลองใช้ฟรี 14 วัน หรือ 30 วัน ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะให้ทีมทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจจริง

        หากเป็นระบบที่ไม่ได้เปิดให้ทดลองใช้งานทันที คุณสามารถติดต่อทีมขายเพื่อขอ Demo หรือจัดประชุมอธิบายการใช้งาน ซึ่ง Connect X มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมนำเสนอและแนะนำระบบแบบเจาะลึกให้เข้าใจง่ายที่สุด

        5. การบริการหลังการขายก็สำคัญไม่แพ้ระบบ

        ถึงแม้ว่าระบบจะดีเพียงใด แต่ถ้าคุณไม่มีทีมสนับสนุนที่ไว้ใจได้ การใช้งานในระยะยาวก็อาจติดขัดได้ตลอดเวลา ผู้ให้บริการที่ดีควรมีศูนย์ช่วยเหลือลูกค้า (Customer Support) ที่เข้าถึงได้ง่าย มีช่องทางติดต่อหลากหลาย เช่น โทรศัพท์ อีเมล หรือแชตไลฟ์ และมีเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาเดียวกับคุณ พร้อมแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที

        นอกจากนี้ ควรตรวจสอบว่า มีการจัดเทรนนิ่งเบื้องต้นให้หรือไม่? มีคู่มือหรือวิดีโอการใช้งานหรือเปล่า? และมีทีม Customer Success ที่ติดตามการใช้งานหลังจากติดตั้งหรือไม่? Connect X CRM มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะเกิดปัญหาเมื่อไร ก็จะมีคนช่วยเหลืออยู่เสมอ

        Connect X ขอแนะนำว่า หลังจากตัดสินใจเลือกระบบได้แล้ว ควรวางแผนวันติดตั้งอย่างชัดเจน โดยเริ่มจากการกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนผ่านระบบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงานประจำวันของทีมขายหรือทีมบริการลูกค้า จากนั้นควรเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้พร้อมล่วงหน้า เช่น รายชื่อลูกค้า รายการสินค้า หรือข้อมูลการติดต่อสำคัญ เพื่อนำเข้าสู่ระบบใหม่ได้อย่างแม่นยำและเป็นระบบระเบียบ

        นอกจากนี้ อย่าลืมจัดการอบรมหรือเวิร์กชอปให้กับทีมงาน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจวิธีใช้งานระบบ ตั้งแต่การบันทึกข้อมูลลูกค้า การติดตามสถานะการขาย ไปจนถึงการใช้ฟีเจอร์การวิเคราะห์หรือระบบอัตโนมัติต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการเตรียมความพร้อมของทีม คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้การใช้งาน CRM เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่สะดุด และยังส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการขายและการดูแลลูกค้าในระยะยาว

        ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

        *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

          Yearly Budget

          How do you know us?

          First Party Data คืออะไร ?

          First-Party-Data

          ConnectX พาไปทำความรู้จักกับ First Party Data ว่าทำไมถึงมีสำคัญในยุคปัจจุบันและทุกๆองค์กรควรมีเป็นของตัวเอง

          First party data ก็คือ ข้อมูลที่คุณรวบรวมโดยตรงจากลูกค้า ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ และผู้ใช้แอปพลิเคชั่นต่างๆ ตามการโต้ตอบจริงของพวกเขากับธุรกิจของคุณผ่านจุดติดต่อต่างๆมากมาย (Touchpoint) ทั้งในอดีตและแบบเรียลไทม์ โดยสรุปแล้วสิ่งนี้ คือข้อมูลที่คุณรวบรวมด้วยความยินยอมของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ (Consent)

          “76% ของผู้บริโภคมีความพึงพอใจที่จะมอบข้อมูล (Consent) ให้กับธุรกิจเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่เหนือกว่าไปทำการ Personalize Marketing”

          ข้อมูลจาก First-party data ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างเนื้อหาที่มีความเป็น Personalize ได้สูงเป็นพิเศษรวมถึงการโฆษณาและที่สำคัญที่สุดคือประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อผู้ใช้แต่ละราย เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลที่แม่นยำที่สุดซึ่งคุณสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าได้ (เช่น สิ่งที่ลูกค้าสนใจ ปัญหาอะไรที่พวกเขากำลังเผชิญ ความต้องการและความชอบของพวกเขาคืออะไร) อย่างไรก็ตาม การรวบรวมข้อมูลและการดำเนินการที่ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจหรือตรงกับจริตของลูกค้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณมีกลไกและการปรับแต่งในเว็บไซต์ของคุณที่ตรงกับลูกค้าในขณะนั้นเพื่อถามพวกเขาว่าพวกเขาต้องการอะไรและพึงพอใจกับสิ่งใด

          ในอดีต เราได้พูดคุยกันว่าประสบการณ์ของลูกค้าได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดและรักษาลูกค้าไว้ได้อย่างไร และข้อมูลของบุคคลที่หนึ่ง  เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องมือสร้างประสบการณ์นั้น ในขณะที่ผู้บริโภคลังเลใจเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลในอดีต แต่ 76% ในปัจจุบันยินดีที่จะมอบข้อมูลนั้นให้กับธุรกิจเพื่อแลกกับประสบการณ์ ข้อเสนอ และผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า นี่คือสิ่งที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ทั้งเจ้าของธุรกิจและตัวลูกค้า

          “ช่องทางการสื่อสารแบบเปิดระหว่างลูกค้ากับธุรกิจและผลิตภัณฑ์จะต้องทำภายในช่วงเวลาและตามเงื่อนไขที่ถูกต้องและเหมาะสมเพราะเป็นสิ่งจำเป็นในการรวบรวมและควบคุมข้อมูลบุคคลที่หนึ่ง แต่การที่จะสร้าง Value ให้กับผลิตภัณฑ์จะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณเปิดใช้งานช่องทางการมีส่วนร่วมนั้นตลอด Journey ของลูกค้าทั้งหมด” – Anna Griffin ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Intercom

          ประสบการณ์การซื้อของลูกค้าในปัจจุบันไม่ใช่เป็นเส้นตรงแบบในอดีตอีกต่อไป ในปัจจุบันลูกค้าสามารถที่จะเจอประสบการณ์การซื้อได้จากหลากหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นทาง Website, Social หรือผ่านทาง E-commerce ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าอาจจะสอบถามข้อมูลผ่านทาง Social platform มีการคุยพูดคุยสอบถามรายละเอียดสินค้าแต่สุดท้ายแล้วลูกค้าซื้อของและชำระเงินผ่าน E-commece นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า CDP (Customer data platform) การผสานรวมข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่างๆให้มาอยู่ในที่ที่เดียว ซึ่งหมายความว่าบริบทของลูกค้าจะถูกติดตาม ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดในเส้นทางของลูกค้าหรือกำลังพูดคุยกับใคร แบรนด์พยายามทุกวิถีทางเพื่อนำเสนอประสบการณ์แบบ Omni-channel ที่ไร้รอยต่อ โดยผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจ (Senior) ประมาณครึ่งหนึ่งกล่าวว่าแบรนด์ของตนไม่มีความสามารถถ่ายทอดบริบท (Journey) ผ่านช่องทางต่างๆ นี่เป็นอุปสรรคสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากประมาณ 85% ของผู้ตอบแบบสำรวจทางธุรกิจยังระบุด้วยว่าลูกค้าของพวกเขาต้องการให้บริบทของพวกเขาติดตามจากช่องทางหนึ่งไปอีกช่องทางหนึ่งเพื่อประสบการณ์แบรนด์ที่ราบรื่น ดังนั้น การนำแหล่งข้อมูลมารวมกันในที่ที่เดียวช่วยให้ทีมของคุณสามารถโต้ตอบกับลูกค้าในลักษณะที่ยังคงตอบสนองความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

          ปัญหาของข้อมูล Third-party ในยุคปัจจุบัน

          ข้อมูล Third-party คือ ข้อมูลที่ถูกรวบรวมมาจากข้อมูล aggregators เป็นข้อมูลที่ซื้อจากแหล่งภายนอกที่ไม่ใช่ผู้รวบรวมข้อมูลดั้งเดิมของข้อมูลนั้น แต่ซื้อจากผู้รวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่ที่ดึงมาจากแพลตฟอร์มและเว็บไซต์อื่นๆ ที่สร้างขึ้น ผู้รวบรวมเหล่านี้จ่ายเงินให้ผู้เผยแพร่และเจ้าของข้อมูลอื่นๆ

          แต่ปัญหาของมันอยู่ที่ปัจจุบัน ข้อมูลที่ได้มามีเยอะเกินทำให้ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควรจะเป็นบวกกับในประเทศไทยเรามีการบังคับใช้กฏหมาย PDPA ซึ่งทำให้ยากต่อการจัดเก็บข้อมูลยิ่งขึ้นไปอีก

          ก่อนจะจากกันไปขอทิ้งท้ายไว้ตรงนี้ว่าในปัจจุบันทุกๆธุรกิจควรที่จะเริ่มรีบเก็บข้อมูล First-party เป็นของตัวเองได้แล้ว ใครที่มีข้อมูลเยอะก็จะยิ่งได้เปรียบเยอะในการแข่งขันในโลกธุรกิจปัจจุบันเนื่องจากข้อมูลไม่สามารถที่จะตามเก็บย้อนหลังได้ ดังนั้นถ้าธุรกิจไหนยิ่งมีข้อมูลของลูกค้าเยอะก็จะได้เปรียบในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

          ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

          *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

            Yearly Budget

            How do you know us?

            เจาะลึก! ความเป็นมาของ CRM Platform ที่ธุรกิจยุคใหม่ต้องมี

            Customer-Relationship-Management

            ระบบ CRM Platform ที่ธุรกิจทั่วโลกใช้งานอยู่ในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? แล้วเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์มากแค่ไหน? Connect X มีคำตอบ

            ปัจจุบันนี้กระบวนการตลาดสามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว เข้าถึงง่าย และตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น อันเนื่องจากข้อมูลดิจิทัลต่างๆ เช่น Cookies หรือ Big Data เป็นต้น รวมไปถึงเครื่องมือ Marketing Automation ต่างๆ ทั้งระบบ POS, ระบบ CDP, ระบบ CRM Platform ที่กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่นักการตลาดขาดไม่ได้ในยุคนี้

            Connect X จึงขอมาเจาะลึกถึงความเป็นมาของระบบ CRM หนึ่งในเครื่องมือสุดสำคัญของการตลาดยุคดิจิทัล

            ยุคการตลาดก่อน CRM Platform

            หากจะพูดถึงระบบ CRM หรือ Customer Relationship Management ก็ต้องย้อนกลับไปในยุคแรกๆ ของการตลาดหรือก็คือในช่วง “Product Era” ในช่วงปี 1860s – 1920s ที่ธุรกิจต่างๆ เน้นการผลิตสินค้าจำนวนมากในต้นทุนต่ำและอาศัยการนำเสนอถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของสินค้าเท่านั้น รวมถึงยังมีแนวคิดที่ว่า “หากผลิตได้ ก็ต้องมีคนซื้อ” ซึ่งอาจจะใช้ไม่ได้ผลนักในปัจจุบัน

            ต่อมาในช่วงปี 1920s-1940s เป็นยุคแห่ง “Sales Era” ที่ทุกคนจะโฟกัสไปที่การ “ขาย” ผ่านการทำโปรโมชันแบบหนักหน่วง ซึ่งทำให้สินค้าที่ไม่ค่อยได้ถูกเสาะหามากอย่าง เช่น ประกันชีวิตได้นำมาขาย หลายคนอาจคุ้นเคยกับเซลล์แมนที่จะไปขายของตามบ้านหรือที่เรียกว่า Hard Sell กันนั้นเอง

            เนื่องจากการ Hard Sell ไม่ได้เป็นแนวทางการตลาดที่ยั่งยืนมากนัก จึงได้เกิด “Marketing Era” ในช่วงปี 1950s – 1990s ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ได้มีการโฆษณามากขึ้น มีการตลาดอย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น แนวคิด Marketing Mix อย่าง 4P (Product, Promotion, Price, Place) ก็ได้เกิดขึ้นมาในยุคนี้เช่นกัน โดยจะโฟกัสไปที่การผลิตสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

            จุดเริ่มต้นของระบบ CRM

            แนวคิด CRM ได้ถือกำเนิดขึ้นช่วงปี 1990s หรือ “Relationship Marketing Era”  ซึ่งการตลาดนั้นจะเน้นการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว ระหว่างแบรนด์และลูกค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง Brand Loyalty ให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าหรือบริการอีกครั้งและไม่เปลี่ยนใจไปหาแบรนด์คู่แข่ง จึงส่งผลให้ Customer Relationship Management หรือการบริการความสัมพันธ์ลูกค้าเกิดขึ้นมานั่นเอง

            ตั้งแต่ตอนนั้นจนปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีระบบ CRM จึงได้เกิดขึ้นมาเพื่อช่วยบริหารความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าหรือบุคคลที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นลูกค้า ให้ทำได้ง่ายและเป็นระเบียบมากกว่าเดิมนั่นเอง

            ประโยชน์ของระบบ CRM

            ระบบ CRM เป็นทางออกของปัญหาต่างๆ ทั้งในด้านการขายสินค้าและปัญหาที่ลูกค้ามักจะพบเจอบ่อยๆ เพราะสามารถช่วยจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าจาก Point of Sales ได้อย่างเป็นระเบียบ ง่ายต่อการนำมาวิเคราะห์ ช่วยปรับปรุงการขายผ่าน Sales Funnel ได้ ติดตามการขาย จึงแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ในทันที

            นอกจากนี้ นักการตลาดยังสามารถนำข้อมูลที่ได้มาศึกษา ปรับเปลี่ยนกลวิธีการตลาด  ปรับปรุงแคมเปญและโปรโมชัน ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ทั้งยังมีส่วนช่วยในการตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนเท่าไหร่ต่อการรักษาฐานลูกค้าเดิม หรือสร้างฐานลูกค้าใหม่

            สิ่งที่ควรคำนึงในการทำ Customer Relationship Management

            ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันนี้ระบบ CRM นั้นมีฟีเจอร์มากมายเข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจ แต่ก็ยังคงมีปัญหาต่างๆ ที่อาจตามมาได้ ยกตัวอย่างเช่น

            • การจัดการข้อมูลมีความ “Silo” หรือแยกตามทีม ตามภาคส่วน และกระจัดกระจายไปตามแต่ละช่องทาง ส่งผลให้นักการตลาด เซลล์ขายของ และเจ้าของธุรกิจขาดความเข้าใจหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Customer Journey
            • แบรนด์ต้องเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้จาก CRM เข้าด้วยกัน ทั้ง Online และ Offline เพื่อให้เข้าใจ Touch Point ของลูกค้าอย่างแท้จริงหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นการมองแบบ Single View นั่นเอง

            ทั้งนี้เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงและลดโอกาสที่ปัญหาจะเกิดขึ้นระหว่าง Customer Journey ซึ่งจะทำให้ประสบการณ์การซื้อขายไม่เป็นไปอย่างที่คิด

            ข้อแนะนำในการพัฒนา CRM ให้มีประสิทธิภาพ

            การพัฒนา CRM ให้ดีขึ้นนั้นสามารถทำได้หลากหลายด้าน Connect X จึงขอมาแนะนำ 3 ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพัฒนา CRM ให้ดีกว่าเดิม

            1. ปรับปรุงทุก Touch Point มอบประสบการณ์ที่ดีตั้งแต่ต้นจนจบ

            ปัญหาการทำงานแบบ Silo ที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการวิเคราะห์​ Customer Journey และระบุ Touchpoint ที่สำคัญออกมา โดยเริ่มจากการใส่ข้อมูล ในแต่ละขั้นตอนที่ลูกค้ามี Interaction กับแบรนด์ เป็นการตอบคำถามดังต่อไปนี้

            • ลูกค้ากำลังคาดหวังอะไร?
            • ลูกค้าคิดอะไรอยู่หรือมีคำถามอะไรต่อสินค้า/บริการหรือไม่?
            • ลูกค้ารู้สึกอย่างไรในขณะนั้น?
            • ลูกค้ากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ผ่านช่องทางไหนบ้าง?

            2. รับฟัง Feedback จากลูกค้าและนำมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

            เสียงและคำตอบรับของลูกค้าถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะส่งผลต่อการพัฒนาของแบรนด์ในอนาคต ซึ่งแบรนด์สามารถนำ Feedback จากลูกค้ามาวิเคราะห์ สร้างประสบการณ์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบรับแบบ

            • Feedback ทางตรง – จาก Survey/Poll, คำติชม หรือวิจัยการตลาด
            • Feedback ทางอ้อม – คอมเมนต์บนโซเชียลมีเดีย, อีเมลที่ลูกค้าส่งถึงแบรนด์, การสนทนาจากทีม Call Center
            • Feedback แบบ Inferred – เว็บไซต์, หน้าร้านค้า หรือ Contact Center

            โดยแบรนด์ควรนำคำตอบรับทั้งหมดจากทุกช่องทางมาวิเคราะห์ร่วมกัน และทำการอัปเดตแบบเรียลไทม์ และมอบหมายให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้แก้ปัญหาอย่างรวดเร็วกว่าเดิม

            3. สร้างประสบการณ์แบบ Personalized ให้แต่ละบุคคล

            การมีระบบ CRM ที่ดี จะสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้เหมาะสมกับลูกค้ารายบุคคลได้ ขึ้นอยู่กับการเก็บข้อมูลที่มีคุณภาพ เพื่อนำมาวิเคราะห์และเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละคน ซึ่ง ระบบ CRM ในปัจจุบันก็มักจะทำงานควบคู่กับ CDP (Customer Data Platform) เพื่อการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ธุรกิจไม่จำเป็นต้อง Integrate หลายๆ ระบบเข้าด้วยกันให้ซับซ้อน

            อย่าง Connect X ที่เป็น CDP พร้อมด้วย Marketing Automation และระบบ CRM ครอบคลุมการตลาดออนไลน์ในทุกด้าน สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ Customer Insight ได้แบบ 360° เปลี่ยนจาก Unknown Customer เป็น Known Customer ได้ง่ายๆ มีระบบ Customer Journey แบบ Cross Channel หากส่งข้อความโปรโมชันหรือแคมเปญแล้วไม่มีการตอบรับ ระบบจะส่งผ่านไปยังช่องทางอื่นๆ ให้อัตโนมัติ สร้าง Brand Awareness, Conversion และรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวได้ย่างแน่นอน

            บทความอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ระบบ CRM (Customer Relationship Management)

            ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

            *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

              Yearly Budget

              How do you know us?

              ธุรกิจระวังไว้ จะเก็บข้อมูลลูกค้ายังไงไม่ให้ละเมิด PDPA Consent

              ธุรกิจระวังไว้ จะเก็บข้อมูลลูกค้ายังไงไม่ให้ละเมิด PDPA Consent

              ธุรกิจต้องเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าอย่างรอบคอบไม่ให้ผิด PDPA Consent เพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องและภาพลักษณ์ที่เสียหาย แล้วต้องคำนึงเรื่องอะไรบ้าง? มาดูกันเลย

              ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่าของธุรกิจ การเข้าถึงและใช้ข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้องกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ธุรกิจจำนวนมากต่างพึ่งพาการเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า สร้างแคมเปญการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) รวมถึงพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่อง “ความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล” หรือ PDPA ที่กฎหมายได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

              ทุกคนล้วนต้องการความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยทางข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นชื่อ เบอร์โทร อีเมล หรือพฤติกรรมการใช้งานออนไลน์ ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่กฎหมาย PDPA ให้ความคุ้มครองโดยตรง โดยกฎหมายฉบับนี้ได้เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 และครอบคลุมทุกธุรกิจที่มีการเก็บ รวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบออนไลน์หรือออฟไลน์

              หลายธุรกิจอาจยังไม่เข้าใจถึง “ขอบเขตของการละเมิด” ว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่การขายข้อมูลเท่านั้นที่ผิด แต่แม้กระทั่งการส่งอีเมลการตลาดโดยที่ลูกค้าไม่เคยให้ความยินยอม หรือการเก็บข้อมูลจากฟอร์มกรอกโดยไม่มีการแจ้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ก็ล้วนเข้าข่ายละเมิด PDPA ทั้งสิ้น

              สำหรับเจ้าของแบรนด์หรือผู้ประกอบการ การตระหนักรู้และเข้าใจเรื่อง PDPA ไม่ใช่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงโทษทางกฎหมาย แต่ยังเป็นการแสดงถึงความใส่ใจในสิทธิของลูกค้า และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ในระยะยาว

              บทความนี้ ConnectX จะพาคุณไปรู้จักสิ่งสำคัญที่ธุรกิจต้องคำนึงเมื่อจะเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้องตาม PDPA และแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยให้คุณไม่พลาดจนต้องเสียทั้งเงินและชื่อเสียง

              หน้าที่ของธุรกิจในการเก็บข้อมูลลูกค้า

              อย่างที่ทราบกันดี PDPA คือกฎหมายที่ถูกร่างมาเพื่อให้ความปลอดภัยต่อเจ้าของข้อมูล ป้องกันไม่ให้ผู้ประสงค์ร้ายนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือใช้ข่มขู่เพื่อหวังผลประโยชน์ สำหรับแบรนด์ในฐานะ “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller)” มีหน้าที่อันแสนสำคัญต่อลูกค้า (เจ้าของข้อมูล) ตามกฎหมาย PDPA ในการรับผิดชอบข้อมูลต่างๆ ที่ได้มา ไม่ว่าจะเป็น

              • ระบุวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลให้ชัดเจนและครบถ้วน
              • ในกรณีที่ต้องขอความยินยอม ธุรกิจต้องมอบอิสระแก่เจ้าของข้อมูลในการเลือกให้ความยินยอม
              • ธุรกิจควรเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ และลบข้อมูลทั้งหมดเมื่อถึงกำหนดระยะเวลาที่ได้แจ้งเอาไว้
              • แจ้งเจ้าของข้อมูลให้ทราบถึงสถานที่ติดต่อและผู้ดูแลหรือผู้ประสานงานข้อมูล
              • ต้องเก็บของมูลจากเจ้าของเท่านั้น (1st Party Data) ไม่สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าจากแหล่งอื่นๆ ได้ เช่น การซื้อข้อมูลจากที่อื่น  ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น ก็ต้องแจ้งขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลโดยเร็วที่สุด หรือภายใน 30 วัน

              นอกจากความรับผิดชอบต่อข้อมูลเหล่านี้แล้ว ธุรกิจควรทำการกำหนดนโยบายในการเก็บข้อมูลอย่างชัดเจนที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือความเข้าใจผิดในภายหลังนั่นเอง ทั้งนี้ทุกฝ่ายในองค์กรหรือธุรกิจต้องรับรู้และเข้าใจตรงกัน

              ธุรกิจต้องคำนึงถึง PDPA Consent ก่อนเริ่มเก็บข้อมูลลูกค้า

              เมื่อทราบถึงหน้าที่ในด้านต่างๆ ที่ธุรกิจต้องปฏิบัติต่อเจ้าของข้อมูลแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่นและอยู่ภายใต้ PDPA โดยเริ่มจากบุคคลภายในองค์กรหรือบริษัท ดังนี้

              1. กำหนดมาตรฐานในการเก็บรักษาข้อมูล

              เมื่อข้อมูลสามารถเก็บรวบรวมได้จากหลายแหล่ง อาทิ การสมัครสมาชิกบนเว็บไซต์ ข้อมูลที่ลูกค้าให้ผ่านแชท หรือการกรอกแบบฟอร์ม ธุรกิจควรที่จะสร้างมาตรฐานในการเก็บและรักษาข้อมูลต่างๆ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างความปลอดภัยให้แก่เจ้าของข้อมูลแล้ว ยังทำให้ง่ายต่อการที่ธุรกิจจะต่อยอดกิจกรรมทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยอาจทำผ่านระบบ CRM หรือระบบ CDP เป็นต้น

              2. ระบุข้อมูลที่จำเป็นต้องเก็บรวบรวม

              แต่ละฝ่ายในองค์กรต้องการข้อมูลที่แตกต่างไปเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ฝ่ายการตลาด, ฝ่ายขาย ฝ่ายบัญชี หรือฝ่ายบริการลูกค้า ล้วนต้องการชุดข้อมูลที่ไม่ซ้ำกัน เจ้าของธุรกิจจึงควรให้แต่ละฝ่ายระบุข้อมูลที่จำเป็นต้องเก็บและระยะเวลาที่เก็บข้อมูลที่ชัดเจน ก่อนร่างนโยบายการเก็บรวบรวมข้อมูล

              3. จัดแยกประเภทของข้อมูล

              กฎหมาย PDPA นั้นครอบคลุมทั้งข้อมูลในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ ธุรกิจควรจัดแบ่งประเภทของข้อมูลอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่จัดเก็บผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลที่จับต้องได้ (Hard Copy) จนกระทั่งรูปแบบข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป และข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว (Sensitive Personal Data) เพื่อสร้างความเป็นระเบียบ อีกทั้งทำให้มีหลักฐานพิสูจน์อำนาจในการจัดเก็บข้อมูลตามระยะเวลาที่กำหนดด้วย ซึ่งหากมีแพลตฟอร์มหรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการข้อมูลที่เป็นไปตามกฎระเบียบของ PDPA จะช่วยธุรกิจได้อย่างมากเลยทีเดียว

              4. จัดตั้งเจ้าหน้าที่ Data Protection Officer

              เมื่อกฎหมาย PDPA ถูกบังคับใช้ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล หรือ Data Protection Officer (DPO) นั้นควรเป็นส่วนหนึ่งของทุกธุรกิจ โดยเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมาย PDPA และ GDPR โดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นผู้ที่คอยให้คำปรึกษากับธุรกิจ คอยแนะนำหากบริษัทยังปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบ และสามารถช่วยเหลือประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในกรณีที่ข้อมูลลูกค้าถูกล่วงละเมิด

              5. สร้าง Privacy Policy ให้สอดคล้อง PDPA Consent

              เชื่อว่าหลายธุรกิจคงคุ้นเคยกับการร่างนโยบายความเป็นส่วนตัวหรือ Privacy Policy กันแล้ว แต่หากเป็นธุรกิจใหม่หรือยังไม่เคยร่างนโยบาย ก็ควรทำนโยบายให้ชัดเจนและสอดคล้องกับ PDPA ไม่ว่าจะเป็นการเก็บรักษาหรือการลบข้อมูลก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกค้าไม่ได้ใช้บริการหรือยกเลิกสมาชิกแล้ว ก็ให้มีการกำจัดข้อมูลลูกค้าและข้อมูลการใช้บริการภายใน 3 ปี รวมไปถึงข้อมูลที่อ่อนไหวต่างๆ ทั้งนี้ระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลก็แตกต่างกันไป เจ้าของธุรกิจจึงควรศึกษาก่อนอย่างรอบคอบหรือปรึกษาเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลก่อนร่างนโยบายนั่นเอง

              จะเห็นได้ชัดเจนว่านโยบายการเก็บรักษาข้อมูลและ PDPA เป็นสิ่งสำคัญต่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าอย่างมาก เพียงธุรกิจทำความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายได้ก็จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะละเมิดข้อมูลของลูกค้าได้ ทั้งยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจแก่แบรนด์ในสายตาผู้บริโภคด้วย

              ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

              *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                Yearly Budget

                How do you know us?

                “ถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา” Marketing SMS เรียกลูกค้า แค่เห็นก็ต้องหยุดอ่าน!

                Marketing-SMS

                แม้ว่าในยุคนี้ผู้คนจะคุ้นเคยกับแอปแชทและโซเชียลมีเดีย แต่คุณอาจแปลกใจว่า “SMS” ยังคงเป็นหนึ่งในช่องทางที่เข้าถึงลูกค้าได้ดีที่สุด — รวดเร็ว ตรงตัว และมีอัตราการเปิดอ่านสูงมากเมื่อเทียบกับช่องทางดิจิทัลอื่น ๆ วันนี้ ConnectX จะพาคุณไปเจาะลึกว่า Marketing SMS ไม่เพียงแต่ยังมีประสิทธิภาพอยู่ในยุคปัจจุบัน แต่หากใช้ร่วมกับแนวคิดการตลาด Personalized ที่ขับเคลื่อนด้วย First-Party Data ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์และกระตุ้นยอดขายได้อย่างทรงพลังเช่นเดิม

                ทำไมการตลาดผ่าน SMS ยังได้ผลในยุคที่ทุกคนใช้แอปแชท?

                หลายคนอาจรู้สึกว่า SMS เป็นช่องทางที่ “เก่า” ไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง ลูกค้าส่วนใหญ่ยัง ได้รับ SMS อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือน OTP โปรโมชัน บริการหลังการขาย หรือข้อความจากแบรนด์

                ข้อได้เปรียบที่สำคัญคือ SMS เข้าถึงได้ทันที ไม่ต้องใช้แอป ไม่ต้องรอเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และมีอัตราการเปิดอ่าน (Open Rate) สูงถึง 90–98% ภายในไม่กี่นาทีแรก

                หากใช้ร่วมกับข้อมูลลูกค้า (Customer Data) อย่างมีระบบ SMS ก็จะกลายเป็น “ช่องทางทอง” ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะใช้เพื่อดึงลูกค้าเก่ากลับมา หรือแจ้งสิทธิประโยชน์ใหม่อย่างตรงใจ

                ส่ง Marketing SMS ให้เวิร์ก ต้อง “ถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา”

                หัวใจของการทำการตลาดผ่าน SMS ให้ได้ผล คือการส่งข้อความที่ เกี่ยวข้องกับตัวลูกค้าจริง ๆ ไม่ใช่การ Broadcast แบบหว่าน ซึ่งสร้างความรำคาญมากกว่าผลลัพธ์

                1. ส่งถูกคน
                ส่งถึงลูกค้าที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ หรือมีแนวโน้มซื้อซ้ำ ไม่ใช่ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายทั่วไปที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุน

                2. ส่งถูกเวลา
                เลือกช่วงเวลาที่ลูกค้ามักตอบสนอง เช่น เวลาพักกลางวัน เย็นวันศุกร์ หรือช่วงก่อนถึงโปรโมชันหมดเขต — ความเหมาะสมของ “จังหวะเวลา” คือสิ่งที่เปลี่ยน Conversion ได้จริง

                3. ส่งถูกใจ
                ข้อความที่ดีควรสั้น กระชับ และมี “คุณค่า” เช่น คูปองส่วนลด, สิทธิพิเศษเฉพาะคุณ, หรือข้อความที่สร้างแรงจูงใจให้คลิกอ่านและซื้อ

                การทำ SMS แบบ Personalized จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและลดโอกาสที่ลูกค้าจะละเลยหรือบล็อกข้อความของคุณ

                ทำการตลาดผ่าน SMS ให้ง่ายขึ้นด้วย ConnectX

                ด้วยแพลตฟอร์ม Marketing Automation ของ ConnectX คุณสามารถ:

                • ใช้ข้อมูลลูกค้าจาก CDP เพื่อเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ

                • ตั้งค่ากำหนดเวลาในการส่ง SMS ล่วงหน้า พร้อมเลือกเงื่อนไขซับซ้อน เช่น พฤติกรรมล่าสุด หรือการเปิดแคมเปญครั้งก่อน

                • สร้างข้อความ SMS ที่แตกต่างกันตาม Segment เช่น ลูกค้าใหม่ ลูกค้า VIP หรือกลุ่มที่ห่างหายไป

                ที่สำคัญคือ ConnectX มีระบบ Tracking ที่ช่วยให้คุณวัดผลลัพธ์ของการส่ง SMS ได้ทันที ทั้งในแง่การเปิดอ่าน คลิก และ Conversion ทำให้คุณสามารถวางกลยุทธ์ครั้งถัดไปได้แม่นยำยิ่งขึ้น

                Marketing SMS คือโอกาสที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

                ในโลกที่ลูกค้าได้รับข้อมูลจากทุกทิศทุกทาง การสื่อสารที่สั้น กระชับ และ “เฉพาะเจาะจงกับเขา” จะยิ่งสร้างผลลัพธ์ได้ดี การทำการตลาดผ่าน SMS ที่ดีไม่ใช่การส่งให้มากที่สุด แต่คือการ “ส่งให้ถูกที่สุด” ทั้งคน เวลา และเนื้อหา

                ConnectX ช่วยให้คุณทำแคมเปญแบบนั้นได้ — ครบ จบ ง่าย และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง เพื่อให้ทุกข้อความที่ส่งออกไปคือการเชื่อมสัมพันธ์ และทุกครั้งที่ลูกค้าเห็น SMS ของคุณ…คือโอกาสในการกลับมาซื้อซ้ำอีกครั้ง

                เมื่อใช้ร่วมกับระบบ Customer Data Platform (CDP) ของ ConnectX ธุรกิจสามารถวิเคราะห์และคัดเลือกกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เพิ่งมีปฏิสัมพันธ์ล่าสุด, กลุ่มที่มีแนวโน้มจะซื้อซ้ำ, หรือกลุ่มที่ห่างหายไป ระบบสามารถระบุพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละรายและสร้างข้อความ SMS ที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคลได้ในทันที ส่งผลให้แคมเปญมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการยิงข้อความแบบหว่านซ้ำซาก

                นอกจากนี้ การผสาน Marketing SMS เข้ากับกลยุทธ์ Omnichannel ยังช่วยให้ทุกช่องทางการสื่อสารของแบรนด์ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าลูกค้าจะเริ่มต้นจากอีเมล โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ SMS ก็สามารถเป็น “จุดกระตุ้น” ที่ย้ำความสนใจในช่วงเวลาที่เหมาะสม และเปลี่ยนการรับรู้ให้กลายเป็นการตัดสินใจซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

                ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจของคุณจะเปลี่ยนทุกข้อความให้กลายเป็นโอกาสทางรายได้ ด้วยการทำการตลาดผ่าน SMS ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง — ไม่ใช่แค่ส่ง แต่ส่งให้ถูกจังหวะ ถูกกลุ่ม และตรงใจลูกค้าแบบที่พวกเขาอยากคลิกกลับมาหาคุณ

                เริ่มสร้างแคมเปญ SMS แบบแม่นยำ ด้วย ConnectX วันนี้
                ครบ จบ ในที่เดียว ทั้ง CDP + Marketing Automation + Insight ลูกค้าแบบเรียลไทม์
                พร้อมให้คุณเชื่อมต่อทุกบทสนทนา และเปลี่ยนทุกข้อความให้สร้างผลลัพธ์ได้จริง

                ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                  Yearly Budget

                  How do you know us?

                  CRM Tool สะสมแต้ม: กลยุทธ์การตลาดที่แบรนด์ยุคใหม่ต้องมี!

                  crm-tool

                  ใครที่เคยมีประสบการณ์การเข้าร้านสะดวกซื้อทุกวัน คงเคยได้ยินกับคำพูดที่ว่า “สะสมแต้มไหมคะ?” กันเป็นประจำ เพราะนี่ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สะสมแต้มของแบรนด์และร้านค้าที่ช่วยสานสัมพันธ์ให้กับลูกค้าเก่าแล้วยังเป็นแรงจูงใจในการดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ให้กลับมาซื้อสินค้าหรือบริการซ้ำอีกครั้ง ช่วยให้ลูกค้าไม่หันไปซื้อสินค้าหรือบริการจากคู่แข่งอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในระบบ CRM Tool (Customer Relationship Management) ที่สามารถช่วยปรับปรุงกระบวนการขายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

                  ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่คือนิยมการสะสมแต้มเพื่อลุ้นรางวัลที่ดึงดูดใจ  ทำให้เกิดการอุดหนุนสินค้าของร้านนั้นซ้ำๆ อย่างเช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ หรือปั๊มน้ำมัน ดังนั้นระบบ CRM Tool สะสมแต้มจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นในบทความนี้ Connect X จะพาทุกคนไปรู้จักกับกลยุทธ์สะสมแต้มให้มากขึ้น ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

                  ระบบ CRM Tool สะสมแต้ม คืออะไร?

                  ระบบ CRM สะสมแต้มหรือการสะสมแต้มเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ธุรกิจประเภท SME นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถเข้าช่วยเหลือธุรกิจในกระบวนการทำ CRM ได้เป็นอย่างดีแถมยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ระบบสมาชิกสะสมคะแนน ให้ลูกค้าแลกรับสิทธิพิเศษ ทำให้เป็นการเพิ่มยอดขายและกำไรในการกลับมาซื้อสินค้าหรือบริการซ้ำของลูกค้า

                  ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาอันยากลำบากของผู้ประกอบการหลายคน ที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่บีบให้การแข่งขันการทำการตลาดออนไลน์ของธุรกิจต่างๆ มีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักการตลาดส่วนใหญ่ต้องรู้จักที่จะมีการปรับแผนการตลาดเพื่อให้เตรียมพร้อมและรับมือกับความเข้มข้นของการแข่งขันที่สูงนี้ “ไม่ใช่แค่ให้เท่าทัน แต่ต้องก้าวข้ามและยืนอยู่เหนือคู่แข่งเสมอ” ฉะนั้นไม่ใช่แค่เพียงการหาลูกค้าหน้าใหม่ แต่ยังต้องรักษาความภักดีต่อแบรนด์ให้เหนียวแน่น ดังนั้นการทำการตลาดแบบสะสมแต้มจึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ทุกแบรนด์ควรรู้จักและนำไปปรับใช้เพื่อให้ประสิทธิภาพในการขายสูงขึ้นเหนือกว่าใคร

                  ประโยชน์ของการตลาดแบบสะสมแต้มผ่าน CRM Tool

                  หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงพอที่จะเข้าใจกลยุทธ์การสะสมแต้มเบื้องต้นกันบ้างแล้วใช่ไหม ดังนั้นมาดูกันดีกว่าว่าหากแบรนด์รู้จักใช้กลยุทธ์นี้ให้ถูกทางจะมีผลดีอย่างไร

                  • การตลาดแบบสะสมแต้มได้ผลดีกว่าการให้ส่วนลด จากงานวิจัยที่น่าเชื่อถือหลายแห่งระบุตรงกันว่า ความพึงพอใจของผู้บริโภคของการทำการตลาดแบบสะสมแต้มดีกว่าการให้ส่วนลด เนื่องจากเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าลดราคาแล้ว ลูกค้าไม่จำเป็นต้องกลับมาซื้อซ้ำอีก หรือบางรายอาจอยากทดลองซื้อสินค้าของแบรนด์คู่แข่งก็ได้ แต่หากเป็นการสะสมแต้มจากการซื้อสินค้าหรือบริการในครั้งแรก จะเป็นการจูงใจที่ดีเพื่อสร้างความพอใจและมีโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้าและบริการอีกในครั้งต่อไป
                  • เป็นการตลาดโดยตรงที่คุ้มค่าการเงินที่ลงทุน การทำการตลาดแบบสะสมแต้มจะช่วยให้ธุรกิจได้เงินจากการใช้จ่ายของลูกค้าอย่างแน่นอนและค่อยตอบแทนกลับด้วยรูปแบบของสิทธิ์พิเศษจากแต้มสะสม ซึ่งต่างจากการลงทุนโฆษณาในแบบอื่นๆ ที่จะต้องลงทุนไปก่อน แล้วค่อยลุ้นว่าจะปังหรือแป๊ก แต่อย่างไรก็ตาม ควรรู้เอาไว้ว่าการตลาดแต่ละรูปแบบก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนดำเนินการรูปแบบใดๆ ก่อนเสมอ
                  • ต่อยอดไปยังกระบวนการวิเคราะห์พฤติกรรม แน่นอนว่าในปัจจุบันกลยุทธ์การสะสมแต้มมักเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ของระบบ CRM ทำให้มีการเก็บข้อมูลต่างๆ ของลูกค้ามาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำไปใช้ในการทำการตลาดเชิงลึกโดยต้องอิงตามข้อกำหนดของ PDPA ต่อไป

                  Connect X กับ Loyalty Connect

                  สำหรับใครที่สนใจเราขอพาทุกท่านมารู้จักกับโปรแกรม Connect X ที่เป็นระบบ CDP สำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการยืนอยู่เหนือคู่แข่ง จึงได้ออกแบบโปรแกรมที่พร้อมรองรับผู้ประกอบการธุรกิจที่ต้องการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ที่ช่วยวิเคราะห์และเก็บข้อมูลลูกค้า พร้อมทำ Real Time Marketing แบบทันที มีฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะบริการ Loyalty Connect ที่รองรับการทำ Loyalty Program อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น

                  • ระบบเก็บ Point ที่ช่วยจัดการคะแนนสะสมของลูกค้าหรือหากลูกค้ามีระบบสะสมคะแนนอยู่แล้วก็สามารถนำมาเชื่อมต่อกับ Connect X ได้ทันที
                  • ระบบ Tier  เป็นระบบจัดลำดับความสำคัญของลูกค้า สามารถแบ่งออกเป็น Bronze, Silver, Diamond ทำให้สามารถตั้งสิทธิพิเศษตามขั้นต่างๆ เพื่อเป็นแรงดึงดูดใจลูกค้าได้
                  • ระบบจัดการ Point สามารถเซ็ต Point ได้ทั้งในรูปแบบการเก็บและการแลก เช่น ลูกค้าซื้อสินค้ารวม 1,000 บาท ได้ 10 Points และการเซ็ตรางวัลเอาไว้เพื่อให้ลูกค้าใช้แต้มในการแลกสิทธิ์
                  • ระบบ API Connect สามารถเชื่อมต่อกับระบบการแลก Point อื่นๆ ได้ เช่น POS, Website และ Application
                  • ระบบ Marketing Automation เมื่อลูกค้าใช้ Point ข้อมูลจะถูกส่งมาที่ระบบของ Connect X เพื่อทำ Marketing Automation ต่อได้ทันที
                  • ระบบ Point Expire สามารถกำหนดวันหมดอายุ Point ของลูกค้าได้และสามารถแจ้งเตือนลูกค้าในกรณีต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ Point ใกล้หมดอายุ แจ้งเตือนให้กลับมาซื้อสินค้าซ้ำเพื่อให้ได้แต้มครบตามกำหนด เป็นต้น
                  • ระบบ Gift Management  เซ็ตของรางวัลเพื่อใช้ในแคมเปญต่างๆ ได้ตามต้องการ

                  ต้องบอกว่าในโลกของการตลาดออนไลน์ กลยุทธ์การสะสมแต้มพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงและปรับใช้ได้กับทุกธุรกิจ ตั้งแต่ SME จนถึงบริษัทชั้นนำที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย หากคุณเป็นผู้ประกอบการมือใหม่ที่กำลังมองหาระบบ CRM เพื่อช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ พร้อมรักษาฐานลูกค้าเก่าให้มั่นคง Connect X คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม สามารถขอรับตัวอย่าง Demo จากทีมงานได้ทันที เพื่อเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน

                  ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                  *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                    Yearly Budget

                    How do you know us?