Author Archives: connectx

“ถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา” Marketing SMS เรียกลูกค้า แค่เห็นก็ต้องหยุดอ่าน!

Marketing-SMS

แม้ว่าในยุคนี้ผู้คนจะคุ้นเคยกับแอปแชทและโซเชียลมีเดีย แต่คุณอาจแปลกใจว่า “SMS” ยังคงเป็นหนึ่งในช่องทางที่เข้าถึงลูกค้าได้ดีที่สุด — รวดเร็ว ตรงตัว และมีอัตราการเปิดอ่านสูงมากเมื่อเทียบกับช่องทางดิจิทัลอื่น ๆ วันนี้ ConnectX จะพาคุณไปเจาะลึกว่า Marketing SMS ไม่เพียงแต่ยังมีประสิทธิภาพอยู่ในยุคปัจจุบัน แต่หากใช้ร่วมกับแนวคิดการตลาด Personalized ที่ขับเคลื่อนด้วย First-Party Data ยังสามารถสร้างความสัมพันธ์และกระตุ้นยอดขายได้อย่างทรงพลังเช่นเดิม

ทำไมการตลาดผ่าน SMS ยังได้ผลในยุคที่ทุกคนใช้แอปแชท?

หลายคนอาจรู้สึกว่า SMS เป็นช่องทางที่ “เก่า” ไปแล้ว แต่ในความเป็นจริง ลูกค้าส่วนใหญ่ยัง ได้รับ SMS อยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือน OTP โปรโมชัน บริการหลังการขาย หรือข้อความจากแบรนด์

ข้อได้เปรียบที่สำคัญคือ SMS เข้าถึงได้ทันที ไม่ต้องใช้แอป ไม่ต้องรอเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และมีอัตราการเปิดอ่าน (Open Rate) สูงถึง 90–98% ภายในไม่กี่นาทีแรก

หากใช้ร่วมกับข้อมูลลูกค้า (Customer Data) อย่างมีระบบ SMS ก็จะกลายเป็น “ช่องทางทอง” ที่ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีคุณภาพ ไม่ว่าจะใช้เพื่อดึงลูกค้าเก่ากลับมา หรือแจ้งสิทธิประโยชน์ใหม่อย่างตรงใจ

ส่ง Marketing SMS ให้เวิร์ก ต้อง “ถูกที่ ถูกคน ถูกเวลา”

หัวใจของการทำการตลาดผ่าน SMS ให้ได้ผล คือการส่งข้อความที่ เกี่ยวข้องกับตัวลูกค้าจริง ๆ ไม่ใช่การ Broadcast แบบหว่าน ซึ่งสร้างความรำคาญมากกว่าผลลัพธ์

1. ส่งถูกคน
ส่งถึงลูกค้าที่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ หรือมีแนวโน้มซื้อซ้ำ ไม่ใช่ส่งไปยังกลุ่มเป้าหมายทั่วไปที่ไม่มีข้อมูลสนับสนุน

2. ส่งถูกเวลา
เลือกช่วงเวลาที่ลูกค้ามักตอบสนอง เช่น เวลาพักกลางวัน เย็นวันศุกร์ หรือช่วงก่อนถึงโปรโมชันหมดเขต — ความเหมาะสมของ “จังหวะเวลา” คือสิ่งที่เปลี่ยน Conversion ได้จริง

3. ส่งถูกใจ
ข้อความที่ดีควรสั้น กระชับ และมี “คุณค่า” เช่น คูปองส่วนลด, สิทธิพิเศษเฉพาะคุณ, หรือข้อความที่สร้างแรงจูงใจให้คลิกอ่านและซื้อ

การทำ SMS แบบ Personalized จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจและลดโอกาสที่ลูกค้าจะละเลยหรือบล็อกข้อความของคุณ

ทำการตลาดผ่าน SMS ให้ง่ายขึ้นด้วย ConnectX

ด้วยแพลตฟอร์ม Marketing Automation ของ ConnectX คุณสามารถ:

  • ใช้ข้อมูลลูกค้าจาก CDP เพื่อเลือกกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำ

  • ตั้งค่ากำหนดเวลาในการส่ง SMS ล่วงหน้า พร้อมเลือกเงื่อนไขซับซ้อน เช่น พฤติกรรมล่าสุด หรือการเปิดแคมเปญครั้งก่อน

  • สร้างข้อความ SMS ที่แตกต่างกันตาม Segment เช่น ลูกค้าใหม่ ลูกค้า VIP หรือกลุ่มที่ห่างหายไป

ที่สำคัญคือ ConnectX มีระบบ Tracking ที่ช่วยให้คุณวัดผลลัพธ์ของการส่ง SMS ได้ทันที ทั้งในแง่การเปิดอ่าน คลิก และ Conversion ทำให้คุณสามารถวางกลยุทธ์ครั้งถัดไปได้แม่นยำยิ่งขึ้น

Marketing SMS คือโอกาสที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

ในโลกที่ลูกค้าได้รับข้อมูลจากทุกทิศทุกทาง การสื่อสารที่สั้น กระชับ และ “เฉพาะเจาะจงกับเขา” จะยิ่งสร้างผลลัพธ์ได้ดี การทำการตลาดผ่าน SMS ที่ดีไม่ใช่การส่งให้มากที่สุด แต่คือการ “ส่งให้ถูกที่สุด” ทั้งคน เวลา และเนื้อหา

ConnectX ช่วยให้คุณทำแคมเปญแบบนั้นได้ — ครบ จบ ง่าย และขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง เพื่อให้ทุกข้อความที่ส่งออกไปคือการเชื่อมสัมพันธ์ และทุกครั้งที่ลูกค้าเห็น SMS ของคุณ…คือโอกาสในการกลับมาซื้อซ้ำอีกครั้ง

เมื่อใช้ร่วมกับระบบ Customer Data Platform (CDP) ของ ConnectX ธุรกิจสามารถวิเคราะห์และคัดเลือกกลุ่มลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มที่เพิ่งมีปฏิสัมพันธ์ล่าสุด, กลุ่มที่มีแนวโน้มจะซื้อซ้ำ, หรือกลุ่มที่ห่างหายไป ระบบสามารถระบุพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละรายและสร้างข้อความ SMS ที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคลได้ในทันที ส่งผลให้แคมเปญมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งการยิงข้อความแบบหว่านซ้ำซาก

นอกจากนี้ การผสาน Marketing SMS เข้ากับกลยุทธ์ Omnichannel ยังช่วยให้ทุกช่องทางการสื่อสารของแบรนด์ทำงานร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าลูกค้าจะเริ่มต้นจากอีเมล โซเชียลมีเดีย หรือเว็บไซต์ SMS ก็สามารถเป็น “จุดกระตุ้น” ที่ย้ำความสนใจในช่วงเวลาที่เหมาะสม และเปลี่ยนการรับรู้ให้กลายเป็นการตัดสินใจซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

ถึงเวลาแล้วที่ธุรกิจของคุณจะเปลี่ยนทุกข้อความให้กลายเป็นโอกาสทางรายได้ ด้วยการทำการตลาดผ่าน SMS ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง — ไม่ใช่แค่ส่ง แต่ส่งให้ถูกจังหวะ ถูกกลุ่ม และตรงใจลูกค้าแบบที่พวกเขาอยากคลิกกลับมาหาคุณ

เริ่มสร้างแคมเปญ SMS แบบแม่นยำ ด้วย ConnectX วันนี้
ครบ จบ ในที่เดียว ทั้ง CDP + Marketing Automation + Insight ลูกค้าแบบเรียลไทม์
พร้อมให้คุณเชื่อมต่อทุกบทสนทนา และเปลี่ยนทุกข้อความให้สร้างผลลัพธ์ได้จริง

ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

*รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

    Yearly Budget

    How do you know us?

    CRM Tool สะสมแต้ม: กลยุทธ์การตลาดที่แบรนด์ยุคใหม่ต้องมี!

    crm-tool

    ใครที่เคยมีประสบการณ์การเข้าร้านสะดวกซื้อทุกวัน คงเคยได้ยินกับคำพูดที่ว่า “สะสมแต้มไหมคะ?” กันเป็นประจำ เพราะนี่ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สะสมแต้มของแบรนด์และร้านค้าที่ช่วยสานสัมพันธ์ให้กับลูกค้าเก่าแล้วยังเป็นแรงจูงใจในการดึงดูดลูกค้าหน้าใหม่ให้กลับมาซื้อสินค้าหรือบริการซ้ำอีกครั้ง ช่วยให้ลูกค้าไม่หันไปซื้อสินค้าหรือบริการจากคู่แข่งอีกด้วย เป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในระบบ CRM Tool (Customer Relationship Management) ที่สามารถช่วยปรับปรุงกระบวนการขายให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าพฤติกรรมของคนไทยส่วนใหญ่คือนิยมการสะสมแต้มเพื่อลุ้นรางวัลที่ดึงดูดใจ  ทำให้เกิดการอุดหนุนสินค้าของร้านนั้นซ้ำๆ อย่างเช่น ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ หรือปั๊มน้ำมัน ดังนั้นระบบ CRM Tool สะสมแต้มจึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจและสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคสมัยใหม่ได้เป็นอย่างดี ฉะนั้นในบทความนี้ Connect X จะพาทุกคนไปรู้จักกับกลยุทธ์สะสมแต้มให้มากขึ้น ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

    ระบบ CRM Tool สะสมแต้ม คืออะไร?

    ระบบ CRM สะสมแต้มหรือการสะสมแต้มเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ธุรกิจประเภท SME นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย เพราะสามารถเข้าช่วยเหลือธุรกิจในกระบวนการทำ CRM ได้เป็นอย่างดีแถมยังมีฟีเจอร์ที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถใช้ระบบสมาชิกสะสมคะแนน ให้ลูกค้าแลกรับสิทธิพิเศษ ทำให้เป็นการเพิ่มยอดขายและกำไรในการกลับมาซื้อสินค้าหรือบริการซ้ำของลูกค้า

    ด้วยสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบันที่กำลังอยู่ในช่วงเวลาอันยากลำบากของผู้ประกอบการหลายคน ที่เป็นปัจจัยหนึ่งที่บีบให้การแข่งขันการทำการตลาดออนไลน์ของธุรกิจต่างๆ มีความเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักการตลาดส่วนใหญ่ต้องรู้จักที่จะมีการปรับแผนการตลาดเพื่อให้เตรียมพร้อมและรับมือกับความเข้มข้นของการแข่งขันที่สูงนี้ “ไม่ใช่แค่ให้เท่าทัน แต่ต้องก้าวข้ามและยืนอยู่เหนือคู่แข่งเสมอ” ฉะนั้นไม่ใช่แค่เพียงการหาลูกค้าหน้าใหม่ แต่ยังต้องรักษาความภักดีต่อแบรนด์ให้เหนียวแน่น ดังนั้นการทำการตลาดแบบสะสมแต้มจึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ทุกแบรนด์ควรรู้จักและนำไปปรับใช้เพื่อให้ประสิทธิภาพในการขายสูงขึ้นเหนือกว่าใคร

    ประโยชน์ของการตลาดแบบสะสมแต้มผ่าน CRM Tool

    หลังจากอ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงพอที่จะเข้าใจกลยุทธ์การสะสมแต้มเบื้องต้นกันบ้างแล้วใช่ไหม ดังนั้นมาดูกันดีกว่าว่าหากแบรนด์รู้จักใช้กลยุทธ์นี้ให้ถูกทางจะมีผลดีอย่างไร

    • การตลาดแบบสะสมแต้มได้ผลดีกว่าการให้ส่วนลด จากงานวิจัยที่น่าเชื่อถือหลายแห่งระบุตรงกันว่า ความพึงพอใจของผู้บริโภคของการทำการตลาดแบบสะสมแต้มดีกว่าการให้ส่วนลด เนื่องจากเมื่อลูกค้าซื้อสินค้าลดราคาแล้ว ลูกค้าไม่จำเป็นต้องกลับมาซื้อซ้ำอีก หรือบางรายอาจอยากทดลองซื้อสินค้าของแบรนด์คู่แข่งก็ได้ แต่หากเป็นการสะสมแต้มจากการซื้อสินค้าหรือบริการในครั้งแรก จะเป็นการจูงใจที่ดีเพื่อสร้างความพอใจและมีโอกาสที่ลูกค้าจะกลับมาซื้อสินค้าและบริการอีกในครั้งต่อไป
    • เป็นการตลาดโดยตรงที่คุ้มค่าการเงินที่ลงทุน การทำการตลาดแบบสะสมแต้มจะช่วยให้ธุรกิจได้เงินจากการใช้จ่ายของลูกค้าอย่างแน่นอนและค่อยตอบแทนกลับด้วยรูปแบบของสิทธิ์พิเศษจากแต้มสะสม ซึ่งต่างจากการลงทุนโฆษณาในแบบอื่นๆ ที่จะต้องลงทุนไปก่อน แล้วค่อยลุ้นว่าจะปังหรือแป๊ก แต่อย่างไรก็ตาม ควรรู้เอาไว้ว่าการตลาดแต่ละรูปแบบก็มีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนก่อนดำเนินการรูปแบบใดๆ ก่อนเสมอ
    • ต่อยอดไปยังกระบวนการวิเคราะห์พฤติกรรม แน่นอนว่าในปัจจุบันกลยุทธ์การสะสมแต้มมักเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ของระบบ CRM ทำให้มีการเก็บข้อมูลต่างๆ ของลูกค้ามาใช้ในการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เพื่อนำไปใช้ในการทำการตลาดเชิงลึกโดยต้องอิงตามข้อกำหนดของ PDPA ต่อไป

    Connect X กับ Loyalty Connect

    สำหรับใครที่สนใจเราขอพาทุกท่านมารู้จักกับโปรแกรม Connect X ที่เป็นระบบ CDP สำหรับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการยืนอยู่เหนือคู่แข่ง จึงได้ออกแบบโปรแกรมที่พร้อมรองรับผู้ประกอบการธุรกิจที่ต้องการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ที่ช่วยวิเคราะห์และเก็บข้อมูลลูกค้า พร้อมทำ Real Time Marketing แบบทันที มีฟีเจอร์ต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะบริการ Loyalty Connect ที่รองรับการทำ Loyalty Program อย่างครบครัน ไม่ว่าจะเป็น

    • ระบบเก็บ Point ที่ช่วยจัดการคะแนนสะสมของลูกค้าหรือหากลูกค้ามีระบบสะสมคะแนนอยู่แล้วก็สามารถนำมาเชื่อมต่อกับ Connect X ได้ทันที
    • ระบบ Tier  เป็นระบบจัดลำดับความสำคัญของลูกค้า สามารถแบ่งออกเป็น Bronze, Silver, Diamond ทำให้สามารถตั้งสิทธิพิเศษตามขั้นต่างๆ เพื่อเป็นแรงดึงดูดใจลูกค้าได้
    • ระบบจัดการ Point สามารถเซ็ต Point ได้ทั้งในรูปแบบการเก็บและการแลก เช่น ลูกค้าซื้อสินค้ารวม 1,000 บาท ได้ 10 Points และการเซ็ตรางวัลเอาไว้เพื่อให้ลูกค้าใช้แต้มในการแลกสิทธิ์
    • ระบบ API Connect สามารถเชื่อมต่อกับระบบการแลก Point อื่นๆ ได้ เช่น POS, Website และ Application
    • ระบบ Marketing Automation เมื่อลูกค้าใช้ Point ข้อมูลจะถูกส่งมาที่ระบบของ Connect X เพื่อทำ Marketing Automation ต่อได้ทันที
    • ระบบ Point Expire สามารถกำหนดวันหมดอายุ Point ของลูกค้าได้และสามารถแจ้งเตือนลูกค้าในกรณีต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่ Point ใกล้หมดอายุ แจ้งเตือนให้กลับมาซื้อสินค้าซ้ำเพื่อให้ได้แต้มครบตามกำหนด เป็นต้น
    • ระบบ Gift Management  เซ็ตของรางวัลเพื่อใช้ในแคมเปญต่างๆ ได้ตามต้องการ

    ต้องบอกว่าในโลกของการตลาดออนไลน์ กลยุทธ์การสะสมแต้มพิสูจน์แล้วว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงและปรับใช้ได้กับทุกธุรกิจ ตั้งแต่ SME จนถึงบริษัทชั้นนำที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย หากคุณเป็นผู้ประกอบการมือใหม่ที่กำลังมองหาระบบ CRM เพื่อช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ พร้อมรักษาฐานลูกค้าเก่าให้มั่นคง Connect X คือคำตอบที่คุณไม่ควรมองข้าม สามารถขอรับตัวอย่าง Demo จากทีมงานได้ทันที เพื่อเริ่มต้นสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

      Yearly Budget

      How do you know us?

      Marketing Automation ช่วยสนับสนุน Real-Time Marketing ได้แค่ไหน?

      Real-Time-Marketing

      Real-Time Marketing เป็นการตลาดแนวไหน แล้วระบบ Marketing Automation สามารถช่วยสนับสนุนการตลาดประเภทนี้ได้ดีมากน้อยแค่ไหน มาหาคำตอบได้กับ Connect X

      คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการตลาดต้องแข่งขันกันที่ “ความเร็ว” แต่ด้วยโลกดิจิทัลในยุคนี้ทำให้แบรนด์และธุรกิจต่างต้องเร็วมากขึ้นไปอีก ถึงจะมีโอกาสขยายการรับรู้ทางการตลาดก่อนคู่แข่ง แล้วในปัจจุบันกระแสต่างๆ มักมาไวไปไวเหมือนสายฟ้าแลบแบบนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่มีกลยุทธ์ทางการตลาดรูปแบบใหม่อย่าง Real-Time Marketing ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเอาใจผู้บริโภคยุคใหม่นี่เอง

      มาดูกันเลยว่ากลยุทธ์ Real-Times Marketing มีรูปแบบอย่างไร? มีข้อดีข้อเสียอะไร? แล้วตัวช่วยอย่างระบบ Marketing Automation นั้นสามารถสนับสนุนการตลาดประเภทนี้ได้ดีแค่ไหน?

      Real-Time Marketing คืออะไรกันแน่?

      คือ กลยุทธ์การตลาดที่อาศัย “กระแสหรือเทรนด์” ที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนั้นมาประยุกต์หรือดัดแปลงเป็นคอนเทนต์ต่างๆ เพื่อให้แบรนด์เข้าถึงความต้องการและความสนใจของผู้บริโภค ณ ตอนนั้นแบบทันทีทันใด

      กลยุทธ์นี้แตกต่างจากการวางแผนการตลาดแบบเดิมที่ต้องมีหลายขั้นตอน แต่ Real-Times Marketing เน้นการนำประเด็นร้อนมาสื่อสารให้ “ผู้บริโภคมีส่วนร่วม” และเกิดความรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจความรู้สึกและมุมมองของพวกเขาในช่วงเวลานั้น ซึ่งจะนำไปสู่ความชื่นชอบ การแชร์ต่อ และการติดตามแบรนด์ในระยะยาว

      ช่องทางที่เหมาะสมที่สุดในการทำ Real-Times Marketing คือ “โซเชียลมีเดีย” เช่น Facebook, Instagram, X (Twitter), LINE และ TikTok ที่มีความเร็วในการกระจายข้อมูลสูง ตอบสนองต่อกระแสสังคมได้ทันที

      ตัวอย่าง Real Time Marketing ในไทย

      • ละครบุพเพสันนิวาส ทำให้มะม่วงน้ำปลาหวานขายดี ร้านอาหารทะเลมีเมนูกุ้งเผายอดพุ่ง และ “กระแสออเจ้า” กลายเป็น Talk of the Town

      • เลือดข้นคนจาง กับฉากไคลแมกซ์ที่กลายเป็น Meme สุดไวรัล

      • MK กับไวรัลใน Twitter เรื่อง #ทีมลวกหมี่หยก และ #ทีมไม่ลวกหมี่หยก ที่ถูกแบรนด์นำมาต่อยอดเป็นคอนเทนต์ได้อย่างแยบยล

      ผลลัพธ์ที่ตามมาคือกระแสที่ “แบรนด์เกาะทัน” จะสามารถสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมที่สูงมากจนเกิดยอดขายหรือการพูดถึงที่เหนือความคาดหมาย

      ข้อดีและข้อเสียของ Real-Time Marketing

      การตลาดแบบ Real-Times Marketing มีทั้งข้อดีที่ช่วยเร่งการเติบโตของแบรนด์ และข้อจำกัดที่ควรระวังอย่างรอบด้าน ลองมาดูกันว่ากลยุทธ์ประเภทนี้จะส่งผลอย่างไรบ้างต่อการทำการตลาดในยุคดิจิทัล

      ข้อดี

      1. Reach และ Engagement เพิ่มขึ้นทันตา
        เมื่อแบรนด์สามารถจับกระแสที่กำลังเป็นที่สนใจในช่วงเวลานั้นได้ทัน การทำคอนเทนต์ออกมาให้สอดคล้องกับความสนใจของผู้คน ก็จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงและการมีส่วนร่วม (Engagement) ได้แบบก้าวกระโดด ผู้บริโภคจำนวนมากจะรับรู้แบรนด์จากสิ่งที่พวกเขากำลังติดตามอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้การตลาดเชิงรุกมากนัก แต่กลับได้ผลตอบรับอย่างมีประสิทธิภาพ

      2. สร้างโอกาสดึงดูดลูกค้าใหม่
        กระแสในโซเชียลมีเดียมักเป็นสิ่งที่ผู้คนแชร์ต่อกันอย่างรวดเร็ว เมื่อแบรนด์เข้าไปมีส่วนร่วมในบทสนทนาเหล่านั้น ย่อมเปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้าใหม่ที่อาจยังไม่รู้จักหรือไม่เคยใช้บริการ ได้รู้จักแบรนด์เป็นครั้งแรก และอาจเกิดความสนใจจนตัดสินใจลองสินค้า บริการ หรือแม้แต่กดติดตามเพจเพื่อรอคอนเทนต์ถัดไป

      3. เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้ทันเหตุการณ์
        เพราะทุกกระแสที่เกิดขึ้นนั้นสะท้อนถึงความสนใจหรือความต้องการบางอย่างของสังคมในขณะนั้น การที่แบรนด์เข้าไปมีบทบาทในพื้นที่เหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้แบรนด์ “อินเทรนด์” แต่ยังเปิดโอกาสให้เข้าใจอินไซต์ผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ ซึ่งสามารถต่อยอดสู่กลยุทธ์การตลาดที่ตรงใจมากขึ้นในอนาคต

      ข้อเสีย

      1. อายุของคอนเทนต์สั้นมาก
        ด้วยความที่เป็นการ “โหนกระแส” คอนเทนต์แบบ Real-Times Marketing จึงมีอายุสั้น หากแบรนด์ผลิตคอนเทนต์ไม่ทัน หรือเผยแพร่ช้าไปเพียงไม่กี่วัน ความสนใจของผู้บริโภคก็อาจจางหายไปแล้ว ทำให้พลาดโอกาสทองในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

      2. เสี่ยงเรื่องลิขสิทธิ์และการใช้งานทรัพย์สินทางปัญญา
        การหยิบเอาตัวละคร ภาพถ่าย หรือโลโก้จากกระแสมาใช้ในคอนเทนต์ อาจทำให้แบรนด์เข้าไปละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าของผลงานโดยไม่รู้ตัว หากไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง การดำเนินการทางกฎหมายหรือเสียงวิจารณ์ในเชิงลบอาจเกิดขึ้นได้

      3. อ่อนไหวต่อประเด็นละเอียดอ่อน
        เนื่องจากความเร็วในการผลิตคอนเทนต์ทำให้บางครั้งอาจขาดการกลั่นกรองที่รอบคอบ ส่งผลให้คอนเทนต์หลุดไปแตะประเด็นที่อ่อนไหว เช่น เพศ เชื้อชาติ ความเชื่อ ศาสนา หรือรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้กับผู้บริโภคบางกลุ่ม และกลายเป็นดราม่าทางออนไลน์ที่กระทบต่อภาพลักษณ์แบรนด์

      Marketing Automation สนับสนุน Real-Time Marketing ได้ยังไง?

      เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดยุคใหม่คงคุ้นเคยกับ Marketing Automation กันเป็นอย่างดี เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำการตลาดอย่างเป็นระบบและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งเมื่อผสานการทำงานร่วมกับกลยุทธ์ Real-Times Marketing ก็ยิ่งช่วยผลักดันให้แบรนด์สามารถคว้าโอกาสจากกระแสที่มาไวไปไวได้อย่างทันท่วงที

      หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของระบบนี้คือ Audience Segmentation หรือการแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างแม่นยำ โดยอาศัยข้อมูลพฤติกรรม ความสนใจ และประวัติการโต้ตอบกับแบรนด์ เพื่อนำมาทำแคมเปญแบบ Hyper-Personalization ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อผสมผสานกับกระแสบนโลกออนไลน์ ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและมีส่วนร่วมกับพวกเขาในแบบเฉพาะตัว นำไปสู่ความรู้สึกเชื่อมโยง ความภักดีต่อแบรนด์ และการตัดสินใจซื้อที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดโอกาสในการปลุกประเด็นอ่อนไหว เพราะเนื้อหาแต่ละชิ้นจะถูกส่งให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม

      นอกจากนี้ Lead Scoring ก็เป็นอีกฟีเจอร์สำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ส่งแคมเปญไปยังกลุ่มลูกค้าที่ “มีแนวโน้มจะสนใจจริง” ได้ทันเวลา โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองงบยิงแอดให้กลุ่มที่ยังไม่พร้อมซื้อ ช่วยให้การทำ Real-Times Marketing มีความคุ้มค่าทั้งในเชิงเวลาและต้นทุน

      อีกหนึ่งจุดแข็งของ Marketing Automation คือความสามารถในการออกแบบ Customer Journey และสร้างการสื่อสารผ่าน Trigger-Based Campaigns ที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกค้าได้ทันที เช่น เมื่อผู้ใช้งานคลิกลิงก์สินค้า แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ ระบบสามารถส่งข้อความแบบอัตโนมัติผ่านหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น SMS, Email, Push Notification หรือแม้กระทั่งโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Social Media อย่าง LINE, Facebook, Instagram และ Twitter ได้แบบทันที ช่วยเสริมพลังให้กับแคมเปญที่เกาะกระแสให้ตรงจังหวะมากที่สุด

      จะเห็นได้ว่า Marketing Automation ไม่เพียงสนับสนุน Real-Times Marketing ให้เกิดขึ้นจริง แต่ยังช่วยยกระดับผลลัพธ์ให้เหนือความคาดหมายอีกด้วย สำหรับแบรนด์ที่อยากคว้าโอกาสจากทุกกระแสที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที การลงทุนในระบบ Automation, CRM หรือ CDP จึงเป็นทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม

      และถ้าคุณกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจทั้งกลยุทธ์และเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการตลาดให้ทันยุค ConnectX พร้อมช่วยให้คุณวางระบบ Automation ที่ตอบโจทย์ธุรกิจได้แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการวาง Customer Journey, การออกแบบแคมเปญ Hyper-Personalization หรือการจัดการฐานข้อมูลลูกค้าให้พร้อมต่อยอดสู่ความสำเร็จในโลกการตลาดที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน

      ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

      *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

        Yearly Budget

        How do you know us?

        Email Marketing Examples เทคนิคการสร้างยอดขายด้วยเครื่องมือนี้อย่างไร?

        Email Marketing Examples วันนี้เราจะมาดูตัวอย่างการทำ Emails Marketing ให้ประสบความสำเร็จ การมาถึงของโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มสื่อสารต่างๆ อาจทำให้หลายท่านสงสัยว่า Email Marketing ยังจำเป็นต่อการเข้าถึงลูกค้าหรือไม่? Connect X จะมาตอบคำถามนั้นให้ทุกท่านกันครับ การตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมีวิธีการใช้งานและเครื่องมือการเข้าถึงที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาผ่าน Google Ads, การทำ SEM (Search Engine Marketing) หรือแม้กระทั่ง Social Media Marketing ที่ได้รับความนิยมในหมู่ธุรกิจมากขึ้นทุกวัน แต่อย่างไรก็ตามยังมีอีกเครื่องมือหนึ่งที่มักถูกมองข้ามก็คือ Email Marketing 

        Email Marketing ยังสำคัญอยู่ไหม?

        Email นั้นได้กำเนิดมาตั้งแต่ปี 1971 ปัจจุบันก็มีอายุ 50 ปีแล้วครับ ซึ่งหลายๆ ท่านและเจ้าของธุรกิจบางคนก็อาจคิดว่าอีเมลนั้นได้ตายไปพร้อมกับการมาถึงของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อีเมลยังคงเป็นช่องทางที่ผู้คนนิยมใช้กันอยู่ โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารระหว่างธุรกิจและองค์กร

        จากสถิติของ Mailchimp ได้แสดงค่าเฉลี่ย Open Rate (การเปิดอีเมล) อยู่ที่ 20-25% และค่าเฉลี่ย Click Rate อยู่ที่ประมาณ 2-3% ซึ่งสถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอีเมลนั้นยังเป็นช่องทางการสื่อสารที่ยังมีประสิทธิภาพอยู่พอสมควรเลยครับ

        นอกจากนั้น ธุรกิจ B2B ต่างๆ ก็ยังสามารถสร้าง Lead จากการทำ Email Marketing ได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามการทำ Email Marketing ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็ต้องมีเทคนิคที่ดีด้วย

        ประโยชน์ในการทำ Email Marketing

        สิ่งแรกที่แน่นอนได้เลยก็ในการทำ Email Marketing คือ ท่านมั่นใจได้เลยว่าอีเมลที่ถูกส่งออกไปจะถึงผู้รับซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ 100% (แต่จะเปิดอีเมลหรือไม่นั้นอีกอีกเรื่องหนึ่ง) นอกจากนั้น Email Marketing สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่า โดยการอัปเดตข่าวสารดีๆ สร้างความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ หรือที่เรียกว่า Customer Relationship Management และสร้างลูกค้าใหม่ผ่านการนำเสนอโปรโมชันใหม่ๆ หรือสิทธิพิเศษแบบ Exclusive จนเกิดเป็น Brand Loyalty นั่นเองครับ

        [/col]

        เทคนิคการทำ Email Marketing ให้มีประสิทธิภาพ

        แน่นอนว่าหาก Email Marketing ของท่านไม่น่าสนใจหรือทำออกมาไม่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย อีเมลของท่านก็จะตกไปอยู่ในโฟลเดอร์ Spam ได้ง่ายๆ ซึ่งวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของอีเมลจะมีอะไรบ้างนั้น? มาดูกันเลยครับ

        1. กำหนดรูปแบบในการทำ Email Marketing ต้องการส่งอีเมลให้ลูกค้าเนื่องจากอะไร?

        เป็นหนึ่งคำถามที่ท่านควรมีคำตอบก่อน โดยการกำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งอีเมลนั้น ซึ่ง Email Marketing นั้นมีอยู่ด้วยกัน 5 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่

        1. Behavioral Email – มีเป้าหมายในการเชิญชวน กระตุ้นและตอบสนองต่อพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น การตอบสนองต่อความเห็น การทำ Consumer Survey ซึ่งควรมีดีไซน์อีเมลแบบกระชับ เข้าใจได้ง่าย
        2. Inaugural Emails – เป้าหมายของอีเมลนี้คือการทำการแสดงความยินดีและต้อนรับที่ลูกค้าได้รับสิ่งใหม่ๆ ครับ อาทิ อีเมลที่ยินดีในการได้รางวัล ยินดีในการสมัครสมาชิก ที่จะตามมาด้วย Call To Action หลายๆ แบบอยู่ด้านใน เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่รับอีเมลตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไม่ว่าจะเป็นการให้เข้าไปดูหน้าเว็บไซต์ ดูแคตตาล็อกสินค้าและบริการ เป็นต้น
        3. Promotional Emails – เป็นการประกาศให้กับกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับโปรโมชันหรือกิจกรรมต่างๆ ของแบรนด์นั่นเอง ที่หลายท่านน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น เชิญชวนทำกิจกรรม การลดราคา การสมนาคุณ รวมถึงการประกาศสินค้าใหม่ ซึ่งมักจะมาควบคู่กับ Visual Stunning นั้นคือการที่ต้องมีภาพใหญ่ๆ ตัวอักษรเน้นๆ มีสีที่กระตุ้นความต้องการเพื่อดึงดูดความสนใจ
        4. Punctual Emails –  อีเมลประเภทมีเป้าหมายเฉพาะตัว เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญๆ ต่อธุรกิจ และเพื่อชี้แจงข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูง ยกตัวอย่างเช่น Newsletter ประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การชี้แจงข้อมูลความปลอดภัย ฯลฯ
        5. Notification Emails – อีเมลสำหรับแจ้งเตือนลูกค้าในเรื่องต่างๆ เช่น กิจกรรมที่ทำไปของผู้บริโภค ข้อผิดพลาดในการใช้งาน ข้อมูลยืนยันการซื้อสินค้า หรือการแจ้งการรีเซตรหัสผ่านต่างๆ ซึ่งควรเป็นอีเมลที่ชัดเจน และมีรายละเอียดครบถ้วน

        2. ตั้งชื่อหัวข้อให้ดี

        ขั้นตอนนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะหากชื่ออีเมลของคุณไม่ดี ไม่น่าดึงดูด คนก็จะไม่คลิกเข้าไป อีเมลที่ส่งไปให้นั้นก็จะไม่มีความหมายครับ เทคนิคเบื้องต้นที่ผมอยากจะแนะนำสำหรับการตั้งชื่อหัวข้ออีเมลก็คือเทคนิคเดียวกับการตั้งชื่อบทความครับ เช่น การใช้ประโยคคำถาม ใช้ตัวเลข คำพูดน่าสนใจ (เจ๋ง! หายาก! ฟรี!) เล่นกับความกลัวหรือ Scarcity

        นอกจากนี้ก็ควรมีการใส่ชื่อของผู้รับอีเมลลงไปในหัวข้อด้วย เพื่อแสดงความเป็น Personalized Marketing Email ให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของท่านกำลังพูดกับเขาจริงๆ และเป็นอีกวิธีที่แสดงความใส่ใจต่อลูกค้า ซึ่งการตอบโจทย์ของลูกค้าแต่ละคนเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะลูกค้าอาจมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน จึงต้องมีการส่งโปรโมชันที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละคนนั่นเอง

        3. โฟกัสกับเป้าหมายทีละจุด

        ในการส่ง Email Marketing นั้นทางแบรนด์ควรที่จะมีเป้าหมายเพียงหนึ่งหรือสองอย่างเท่านั้น เนื่องจากการกำหนดเป้าหมายหลายๆ อย่างอาจทำให้ลูกค้านั้นเกิดความสับสนว่าอีเมลนั้นต้องการสื่อสารในด้านไหน หรือลังเลที่จะทำ Action อะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น หากในหนึ่งอีเมลมีปุ่ม Call To Action ให้ เข้าชมเว็บไซต์ เข้าไปซื้อของ บอกโปรโมชัน บอกการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย ทั้งหมดด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าหรือผู้รับอีเมลสับสน ตัดสินใจไม่ถูก จนในที่สุดอาจจะกด Unsubscribe ไปเลยก็เป็นได้

        4. Auto Resend อันทรงพลัง

        ระบบ CRM หรือระบบ CDP อย่าง Connect X จะสามารถกำหนด Flow ในการส่งอีเมลให้เป็นแบบ Auto Resend ได้ เช่น ตั้งค่าไว้ว่าหากลูกค้าไม่เปิดอีเมลอ่านหรือไม่คลิกปุ่ม/ข้อความในอีเมลแรก ให้ระบบทำการส่งอีเมลซ้ำอีกรอบ ซึ่งหากวางระบบไว้ได้เป็นอย่างดี โอกาสที่ลูกค้าที่พลาดอีเมลในครั้งแรก จะกลับมาอ่านอีเมลที่ส่งมาในรอบที่สองนั้นจะสูงขึ้น ทำให้แบรนด์มีโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น

        5. เลือกเครื่องมือที่ใช่ มีชัยไปกว่าครึ่ง

        เทคนิคทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นนั้นอาจเป็นไปไม่ได้เลยหากท่านขาด Marketing Platform ที่มีฟีเจอร์ครอบคลุม สามารถทำให้ Email Marketing กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ได้ อย่างเช่น Connect X ที่เป็น CDP หรือ Customer Data Platform โปรแกรมที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน

        Connect X นั้นสามารถเซ็ต Customer Journey แบบ Cross Channel ได้ เช่น ถ้าลูกค้าไม่อ่านอีเมล ก็สามารถเซ็ตให้ส่งโปรโมชั่นผ่านช่องทางอื่นได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น SMS, LINE หรือ Facebook เป็นต้น และนอกจากนี้ยังคงมีฟีเจอร์สุดล้ำที่เกิดมาเพื่อช่วยนักการตลาดยุคดิจิทัล

        สร้างประสบการณ์ดีๆ ผ่าน Email ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

        ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

        *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

          Yearly Budget

          How do you know us?

          [/row]

          Social Chats คืออะไร พร้อม 3 ข้อดีที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์เพิ่มยอดขาย

          Social-Chats

          ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การแข่งขันจึงทวีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการชาวไทยจำนวนมากต่างเข้าสู่ตลาดออนไลน์ ทั้งผ่านช่องทาง Facebook, Line, Instagram หรือเว็บไซต์ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การมีสินค้าและบริการที่ดีเท่านั้น แต่ยังต้องมีกลยุทธ์ในการทำตลาด และการตอบแชทที่รวดเร็วเพื่อรักษาโอกาสในการปิดการขายให้ได้มากที่สุด Connect X ขอแนะนำให้คุณรู้จักกับ ระบบรวมแชท (Social Chats) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถจัดการข้อความจากลูกค้าได้ในที่เดียว ไม่ต้องสลับหน้าจอไปมาระหว่างหลายแพลตฟอร์ม ลดโอกาสผิดพลาดในการสื่อสาร และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลลูกค้าอย่างรอบด้าน

          ความท้าทายของธุรกิจออนไลน์ในยุคปัจจุบัน

          ธุรกิจค้าขายออนไลน์เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะร้านค้าที่เริ่มมีฐานลูกค้าจำนวนมาก ย่อมต้องรับมือกับข้อความจำนวนมากจากหลายช่องทางพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นคำถามเกี่ยวกับสินค้า คำสั่งซื้อ หรือการติดตามสถานะจัดส่ง หากร้านค้าไม่สามารถจัดการแชทได้อย่างมีระบบ อาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจ และส่งผลต่อยอดขายในที่สุด

          การตอบแชทผิดช่อง หรือปล่อยให้ลูกค้ารอนานเกินไป อาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ในโลกของธุรกิจออนไลน์ที่การตัดสินใจซื้อเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที ความล่าช้าหรือความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้พลาดโอกาสทางธุรกิจที่มีคุณค่า

          Social Chats คืออะไร?

          Social Chats คือระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการจัดการการสื่อสารระหว่างร้านค้าหรือธุรกิจออนไลน์กับลูกค้า โดยสามารถรวบรวมข้อความจากทุกช่องทางยอดนิยม เช่น Facebook Messenger, Line Official Account (LINE OA), Instagram Direct Message และระบบ Live Chat บนเว็บไซต์ ให้อยู่ในหน้าจอเดียว ช่วยให้แอดมินสามารถตอบกลับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และลดความซับซ้อนในการทำงานที่เกิดจากการต้องสลับหลายแพลตฟอร์ม

          ก่อนหน้านี้ การบริหารแชทจากหลายช่องทางพร้อมกันถือเป็นเรื่องยุ่งยาก ร้านค้าอาจต้องเปิดหลายแอปพลิเคชัน เช่น Facebook Page Manager, LINE OA หรือ Instagram บนมือถือ ซึ่งไม่เพียงทำให้เสียเวลา แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงในการพลาดข้อความหรือพิมพ์ผิดช่องแชท ระบบ Social Chat เข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้โดยการรวมข้อความทั้งหมดไว้ในแดชบอร์ดเดียว พร้อมจัดระเบียบข้อมูลลูกค้าโดยอัตโนมัติ และแบ่งงานให้แอดมินแต่ละคนดูแลแชทได้ตามความเหมาะสม

          ที่สำคัญ ระบบ Social Chat ในปัจจุบันยังมาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมที่ช่วยยกระดับการสื่อสารกับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ดังนี้

          ฟีเจอร์เด่นของระบบ Social Chats

          1. Ticket Management ทุกข้อความที่เข้ามาจะถูกจัดระเบียบเป็น “Ticket” หรือเคสงานอย่างชัดเจน เพื่อให้ทีมสามารถติดตามสถานะการดำเนินการได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ลดความเสี่ยงในการหลงลืมหรือพลาดข้อความสำคัญ ร้านค้าสามารถกำหนดระดับความสำคัญของเคสแต่ละรายการ มอบหมายให้แอดมินที่เกี่ยวข้องได้ทันที และยังสามารถดูประวัติการดำเนินงานย้อนหลัง รวมถึงวิเคราะห์ระยะเวลาการตอบกลับเพื่อวัดประสิทธิภาพของทีมได้อย่างครบถ้วน

          2. Agent Routing ฟีเจอร์นี้ช่วยให้การส่งต่อแชทเป็นไปอย่างชาญฉลาด ระบบสามารถตั้งเงื่อนไขได้ว่า ลูกค้าคนเดิมควรได้รับการดูแลจากแอดมินคนเดิมทุกครั้ง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการสื่อสาร หรือหากข้อความนั้นเกี่ยวข้องกับการขาย การบริการหลังการขาย หรือปัญหาทางเทคนิค ระบบสามารถส่งต่อเคสไปยังทีมที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้โดยอัตโนมัติ ช่วยลดระยะเวลารอ และเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการ

          3. Order Management ร้านค้าสามารถเริ่มต้นและจบกระบวนการขายภายในห้องแชทเดียวได้ทันที โดยแอดมินสามารถสร้างออเดอร์ ส่งลิงก์ชำระเงิน และยืนยันคำสั่งซื้อแบบเรียลไทม์ได้ภายในระบบเดียว ไม่ต้องสลับไปใช้งานระบบอื่น ๆ และยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบชำระเงิน (Payment Gateway) ที่ร้านค้าใช้อยู่แล้วได้อย่างราบรื่น ทำให้ข้อมูลการสั่งซื้อถูกจัดเก็บครบถ้วน สะดวกต่อการวิเคราะห์ยอดขายหรือประสิทธิภาพของแคมเปญต่าง ๆ ภายหลัง

          4. AI Chatbot เป็นผู้ช่วยอัตโนมัติที่สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง เหมาะอย่างยิ่งในกรณีที่ลูกค้าทักเข้ามานอกเวลาทำการ หรือสอบถามข้อมูลที่ซ้ำกันเป็นประจำ เช่น วิธีสั่งซื้อ วิธีชำระเงิน หรือติดตามสถานะสินค้า ผู้ดูแลระบบสามารถตั้งค่าคำตอบได้ด้วยตนเอง และระบบยังสามารถเรียนรู้จากคำถามจริงที่ลูกค้าใช้งาน เพื่อพัฒนาให้ตอบได้แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หากระบบพบคำถามที่ซับซ้อนเกินความสามารถ Chatbot จะส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ดูแลได้ทันทีโดยไม่ให้ลูกค้ารู้สึกสะดุดหรือเสียเวลา

          ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ Social Chats จึงเป็นมากกว่าระบบตอบข้อความทั่วไป แต่เป็น เครื่องมือบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Engagement Tool) ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดี เพิ่มโอกาสในการปิดยอดขาย และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้ในระยะยาว

          3 ข้อดีของการใช้ระบบ Social Chats ที่ธุรกิจออนไลน์ไม่ควรมองข้าม

          1. รวมข้อความจากทุกช่องทางไว้ในระบบเดียว

          ธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันมักต้องสื่อสารกับลูกค้าผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Facebook, LINE OA, Instagram หรือ Live Chat บนเว็บไซต์ การต้องสลับไปมาระหว่างหลายแพลตฟอร์มส่งผลให้การทำงานยุ่งยาก และเสี่ยงต่อการลืมหรือพลาดข้อความสำคัญ ระบบ Social Chat เข้ามาช่วยจัดการปัญหานี้โดยรวมทุกข้อความไว้ในระบบกลางเพียงจุดเดียว ทำให้แอดมินสามารถตอบลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ลดความผิดพลาด และไม่จำเป็นต้องเปิดหลายระบบพร้อมกัน นอกจากนี้ ระบบยังสามารถจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ ทั้งชื่อ เบอร์โทร อีเมล และประวัติการสั่งซื้อ ซึ่งช่วยให้ทีมงานสามารถติดตามการขายหรือให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง และลดภาระในการจดจำข้อมูลรายบุคคลของลูกค้าแต่ละราย

          2. ยกระดับความสัมพันธ์กับลูกค้า

          ระบบรวมแชทที่มีประสิทธิภาพไม่ได้เพียงแค่ทำให้ร้านค้าตอบกลับได้รวดเร็วเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ร้านสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวมากขึ้น เมื่อมีข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับลูกค้า เช่น ประวัติการสั่งซื้อ หรือคำถามที่เคยสอบถามไว้ แอดมินสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตอบกลับอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น การเรียกชื่อ การแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง หรือการให้สิทธิพิเศษตามพฤติกรรมการซื้อที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียด และเป็นตัวช่วยสำคัญในการสร้างความประทับใจให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแลเป็นรายบุคคล ความสัมพันธ์ที่ดีนี้ยังช่วยให้ลูกค้ามีแนวโน้มจะกลับมาซื้อซ้ำ และเกิดการบอกต่อได้ง่ายยิ่งขึ้น

          3. ทำงานร่วมกับระบบ CRM และ CDP ได้อย่างลงตัว

          ในยุคที่ข้อมูลเป็นหัวใจของการตลาด ระบบ Social Chats ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบ CRM และ CDP ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อร้านค้าออนไลน์ ระบบ CRM จะช่วยให้ร้านค้าบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ ทั้งในแง่ของประวัติการซื้อ พฤติกรรมการใช้งาน และความสนใจ ในขณะที่ระบบ CDP จะรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแหล่งมาใช้วิเคราะห์และทำความเข้าใจลูกค้าในภาพรวม การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง Social Chat กับระบบเหล่านี้ทำให้ร้านค้าสามารถส่งข้อความที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแบบเรียลไทม์ เสนอโปรโมชั่นที่เหมาะสม หรือแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้สามารถปิดการขายได้รวดเร็วขึ้น และสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

          ระบบรวม Social Chat ตัวช่วยจาก Connect X

          หากใครที่กำลังถามหาระบบตอบแชทลูกค้าที่สามารถตอบกลับได้ทุกแพลตฟอร์มพ่วงด้วยฟีเจอร์ที่ครอบคลุมการขายของออนไลน์ Connect X คือคำตอบที่เหมาะสมในทุกประการ เพราะระบบรวม Social Chat ของ Connect X คือระบบที่เก็บข้อมูลและติดตามลูกค้าได้จากทุกช่องทาง สามารถระบุได้ว่าแชทแต่ละแชทมาจากแพลตฟอร์มไหน กำลังมีความสนใจสินค้าอะไร พูดง่ายๆ ว่า สามารถจัดการแชทได้อย่างมีประสิทธิภาพ การันตีได้เลยว่าร้านสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ง่ายมากขึ้น

          ฟีเจอร์เด่นบน Connect X

          • รองรับระบบ Live Chat ในทุกแพลตฟอร์มยอดนิยมของคนไทย ไม่ว่าจะเป็น Messenger, LINE OA, Instagram ไปจนถึงระบบ Live Chat บนเว็บไซต์
          • ระบบการจัดการแบบ Ticket Management สามารถจัดแบ่งหน้าที่ให้แอดมิน แต่ละคนสามารถรับผิดชอบได้ มั่นใจได้ว่าทุกข้อความที่ส่งเข้ามาจะไม่มีการตกหล่น
          • สามารถทำงานร่วมกับระบบ CRM และ CDM ของ Connect X ได้เป็นอย่างดี เพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และติดตามลูกค้า และนำข้อมูลต่างๆ ไปต่อยอดการทำการตลาดออนไลน์ในอนาคตได้

          ในยุคที่ผู้บริโภคมีความคาดหวังสูงต่อการให้บริการ ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่คุณภาพของสินค้าเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับ การบริหารจัดการประสบการณ์ลูกค้า ให้ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และต่อเนื่อง ระบบรวม Social Chat จาก Connect X จึงกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น สื่อสารได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้อย่างแท้จริง

          หากคุณกำลังมองหาระบบแชทที่พร้อมสนับสนุนธุรกิจทุกด้าน ทั้งในแง่ของการตอบแชท การขาย การวิเคราะห์ข้อมูล และการดูแลลูกค้า Connect X พร้อมให้คำปรึกษาและร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว

          ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

          *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

            Yearly Budget

            How do you know us?

            4 ขั้นตอนที่ต้องรู้ สำหรับผู้ประกอบการที่อยากผ่านเกณฑ์ PDPA Thailand

            PDPA-Thailand

            4 ขั้นตอนควรรู้สำหรับผู้ประกอบการที่อยากผ่านเกณฑ์ PDPA Thailand เตรียมความพร้อมก่อนจะเริ่มประกาศใช้จริง

            ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลส่วนบุคคลกลายเป็นทรัพยากรสำคัญของธุรกิจ การออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองข้อมูลผู้บริโภคอย่าง พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หรือที่รู้จักกันในชื่อ PDPA Thailand จึงกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของภาคธุรกิจและการทำ Digital Marketing กฎหมายฉบับนี้ไม่เพียงกำหนดวิธีการจัดการข้อมูลเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องมือในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าอีกด้วย ซึ่งสำหรับผู้ประกอบการแล้ว การเตรียมตัวให้พร้อมล่วงหน้าคือหัวใจของความสำเร็จ บทความนี้ Connect X จะพาคุณไปดู 4 ขั้นตอนสำคัญที่ธุรกิจควรรู้ เพื่อผ่านเกณฑ์ PDPA อย่างมั่นใจ

            ขั้นตอนที่ 1: เตรียม “คน” ในองค์กรให้พร้อม

            กฎหมาย PDPA ไม่ได้บังคับแค่กระบวนการทางเทคนิคเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมถึงการบริหารจัดการคนในองค์กรด้วย การจัดการกับ “คน” จึงเป็นด่านแรกที่ต้องให้ความสำคัญ การแต่งตั้งเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ DPO (Data Protection Officer) เป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะธุรกิจที่มีการเก็บข้อมูลในปริมาณมาก DPO จะทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ตรวจสอบ และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองข้อมูล

            นอกจากนี้ การอบรมพนักงานภายในให้เข้าใจหลักเกณฑ์ของ PDPA ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะทุกคนในองค์กรล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับข้อมูลลูกค้า การทำแบบทดสอบเพื่อประเมินความเข้าใจหลังอบรม จะช่วยให้องค์กรเห็นช่องโหว่ในการรับรู้และแก้ไขได้ตรงจุด

            ขั้นตอนที่ 2: ปรับ “กระบวนการจัดเก็บข้อมูล” ให้สอดคล้องกับ PDPA Thailand

            กระบวนการจัดเก็บข้อมูลคือหัวใจของการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล แต่หลัง PDPA มีผลบังคับใช้ การเก็บข้อมูลต้องมาพร้อมความโปร่งใสและความยินยอม การจัดทำฟอร์มขอความยินยอม (Consent Form) ให้ผู้ใช้งานทราบวัตถุประสงค์ของการเก็บข้อมูลและระยะเวลาการเก็บรักษาเป็นสิ่งจำเป็น พร้อมกันนี้ ควรมีการทำสัญญา DPA (Data Processing Agreement) กับคู่ค้าหรือพาร์ตเนอร์ที่มีการส่งต่อข้อมูล เพื่อกำหนดขอบเขตความรับผิดชอบอย่างชัดเจน

            อีกประเด็นสำคัญคือการเพิ่มระบบให้ผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง แก้ไข หรือเพิกถอนข้อมูลของตนได้ รวมถึงการทำ Data Inventory Mapping เพื่อทราบว่าข้อมูลอยู่ที่ใด ใครรับผิดชอบ และส่งต่อให้ใครบ้าง สิ่งนี้จะช่วยให้ธุรกิจมีความโปร่งใสและตรวจสอบได้เมื่อเกิดข้อสงสัยจากเจ้าของข้อมูล

            ขั้นตอนที่ 3: ความปลอดภัยคือหัวใจของความเชื่อมั่น

            PDPA เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยของข้อมูลเป็นอย่างมาก ธุรกิจจึงควรมีการจัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัว (Privacy Policy) ที่ชัดเจน กำหนดแนวทางการปฏิบัติและบทลงโทษหากเกิดการละเมิด อีกทั้งต้องมีระบบรับมือเมื่อเกิดเหตุข้อมูลรั่วไหล เช่น การแจ้งเตือนหน่วยงานภาครัฐและเจ้าของข้อมูลภายใน 72 ชั่วโมง และการมีแผนเยียวยาความเสียหายอย่างเหมาะสม ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้ธุรกิจรอดพ้นจากความผิดทางกฎหมาย แต่ยังเสริมความน่าเชื่อถือในสายตาลูกค้าอีกด้วย

            นอกจากนี้ ธุรกิจควรลงทุนในระบบเทคโนโลยีที่ป้องกันการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) การจำกัดสิทธิ์เข้าถึงตามระดับงาน และระบบติดตามการเข้าถึงข้อมูล (Audit Trail)

            ขั้นตอนที่ 4: เลือก “เทคโนโลยี” ที่รองรับ PDPA อย่างครบวงจร

            หากธุรกิจยังจัดเก็บข้อมูลด้วยวิธีเดิม ๆ เช่น ใช้ Excel, Google Sheet หรือเก็บเอกสารไว้ในคอมพิวเตอร์โดยไม่มีมาตรการป้องกัน ความเสี่ยงในการไม่ผ่านเกณฑ์ PDPA จะยิ่งสูงขึ้น การเลือกใช้ระบบที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ PDPA โดยเฉพาะจึงเป็นทางออกที่คุ้มค่าในระยะยาว

            แพลตฟอร์มของ Connect X คือหนึ่งในโซลูชันที่ตอบโจทย์เรื่องนี้ โดยมี Customer Data Platform (CDP) สำหรับจัดเก็บข้อมูลลูกค้าไว้ในจุดเดียว พร้อมระบบ Marketing Automation ที่ทำการตลาดแบบเรียลไทม์ได้โดยไม่ละเมิดสิทธิของผู้ใช้งาน ที่สำคัญ ระบบทั้งหมดของ Connect X รองรับการจัดเก็บและประมวลผลข้อมูลตามหลัก PDPA อย่างครบถ้วน จึงช่วยให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างมั่นใจ

            PDPA Thailand ไม่ใช่เรื่องของ ‘กฎหมาย’ อย่างเดียว แต่คือ ‘กลยุทธ์ธุรกิจ’ ที่คุณต้องเข้าใจ

            เมื่อมองลึกลงไป PDPA ไม่ใช่เพียงข้อกำหนดทางกฎหมายที่ธุรกิจต้องทำตามแบบจำยอม แต่กลับกลายเป็นโอกาสทองในการสร้างความเชื่อมั่นระยะยาวกับลูกค้า องค์กรที่แสดงให้เห็นถึงความโปร่งใสในการจัดการข้อมูล จะได้รับความไว้วางใจและการสนับสนุนจากผู้บริโภคมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

            การนำ PDPA มาใช้ในเชิงกลยุทธ์ยังช่วยสร้างความได้เปรียบในเชิงการแข่งขัน เพราะธุรกิจที่มีระบบข้อมูลที่เป็นระเบียบ มีความปลอดภัย และสามารถนำข้อมูลไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าได้แม่นยำกว่า และตอบสนองความต้องการได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น การปฏิบัติตาม PDPA ยังช่วยเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรในฐานะผู้นำด้านความรับผิดชอบต่อข้อมูลในยุคดิจิทัล และอาจกลายเป็นจุดขายที่ลูกค้าเลือกคุณเหนือคู่แข่งในอนาคต

            PDPA ไม่ใช่แค่กฎหมาย แต่คือกติกาใหม่ของโลกธุรกิจดิจิทัลที่ทุกองค์กรต้องรู้เท่าทัน ยิ่งเตรียมตัวเร็วก็ยิ่งมีโอกาสชิงความได้เปรียบ Connect X ขอเป็นพาร์ตเนอร์ในการเดินทางของคุณ ด้วยเทคโนโลยีและคำแนะนำที่เข้าใจธุรกิจไทยอย่างแท้จริง พร้อมช่วยให้คุณผ่านเกณฑ์ PDPA อย่างมั่นใจและนำหน้าคู่แข่งได้แบบไร้กังวล

            ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

            *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

              Yearly Budget

              How do you know us?

              SMS Marketing ยังสามารถตอบโจทย์แบรนด์ของคุณในยุคดิจิทัล ได้หรือไม่?

              SMSขMarketing

              .การตลาดแบบ SMS Marketing อาจเป็นกลยุทธ์ที่หลายแบรนด์อาจมองข้าม แล้วเครื่องมือการตลาดตัวนี้ยังช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อยู่หรือไม่

              กลยุทธ์และเครื่องมือทางการตลาดนั้นมีหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการตลาด เช่น Content Marketing, SEM, Email-Marketing และอีกมากมาย แต่ในวันนี้รูปแบบการตลาดที่ Connect X จะมากล่าวถึงในบทความนี้ก็คือ SMS. Marketing นั่นเองครับ ซึ่งเป็นเครื่องมือการตลาดที่หลายคนมักมองข้าม แบรนด์และนักการตลาดรุ่นใหม่จึงอาจมีคำถามว่า “แล้วการทำ SMS. Marketing ยังตอบโจทย์แบรนด์ในปัจจุบันได้หรือไม่?”

              แต่ก่อนที่จะตอบคำถามนั้น มาดูกันว่า…

              การตลาด SMS. Marketing คืออะไร?

              นับตั้งแต่มีการส่งข้อความ SMS. (Short Message Service) เป็นครั้งแรกในปี 1992 นับว่าช่องทางการสื่อสารนี้ได้มีมานานเกือบ 30 ปีแล้ว การจากส่งข้อความพูดคุยกันธรรมดากลายเป็นช่องทางการตลาด แบรนด์และธุรกิจต่างก็ใช้ SMS. Marketing เพื่อบอกข่าว มอบโปรโมชันพิเศษ และประชาสัมพันธ์สิ่งต่างๆ

              แม้ SMS. Marketing จะเป็นการตลาดผ่านข้อความสั้นๆ แต่ก็สามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะส่งให้กับฐานลูกค้าที่มีอยู่แล้ว หรือแบ่งตาม Audience Segment เช่น มอบส่วนลดให้ลูกค้าใหม่เพื่อเพิ่ม Conversion รวมไปถึงการส่งข้อความแบบ Personalized ที่ต่างกันให้กับลูกค้ารายบุคคลเพื่อแสดงความใส่ใจแก่ลูกค้าแต่ละคน ซึ่ง Marketing Platform อย่าง Connect X สามารถทำได้อย่างง่ายดายครับ

              SMS Marketing ยังตอบโจทย์แบรนด์ได้อยู่ไหม? 

              สำหรับคำถามนี้ที่ทุกท่านสงสัย Connect X ขอตอบว่า SMS. Marketing สามารถตอบโจทย์ของแบรนด์ในยุคดิจิทัลได้ครับ และยังเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของ Customer Relationship Management อีกด้วย โดยสถิติจากหลายแหล่งพบว่า มีรายละเอียด ดังนี้

              • Open Rate หรืออัตราการเปิด SMS. นั้นอยู่ที่ 98% ซึ่งสูงมาก เมื่อเทียบกับ Email ที่มี Open Rate เพียง 20%  หรือการทำการตลาดแบบอื่น
              • อัตราการตอบสนอง (Response Rate) ของ SMS. ยังสูงถึง 45%
              • เวลาที่ใช้ในการตอบ SMS. ของคนส่วนใหญ่อยู่ที่ 90 วินาที ซึ่งถือว่าเร็วมาก

              อย่างที่ทราบกันดีว่า SMS. Marketing คือการส่งข้อความหากลุ่มเป้าหมายโดยตรง รวดเร็วกว่า และมีราคาที่ถูกกว่าเครื่องมือประเภทอื่น อีกทั้งเป็นรูปแบบการตลาดที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับกลุ่มเป้าหมาย หรือเป็นการสร้าง  Engagement และยังสามารถเพิ่ม Conversion Rate ได้อีกด้วย อาทิ เมื่อลูกค้าสนใจสิทธิพิเศษหรือโปรโมชันที่แบรนด์ส่งผ่าน SMS ก็จะสามารถกดลิงก์เข้าไปรับสิทธิ์ได้ทันทีครับ

              ต้องขอบอกเลยครับว่าการทำ SMS. Marketing สามารถตอบโจทย์การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะธุรกิจ B2C เพื่อสร้างความประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นข้อความ

              ทำ SMS Marketing ให้เกิดประสิทธิภาพได้อย่างไร?

              แบรนด์ต่างๆ สามารถนำการทำ SMS. Marketing ไปประยุกต์ใช้กับขั้นตอนการตลาดได้หลากหลาย ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และเป้าหมายของธุรกิจหรือแคมเปญนั้นๆ โดยต้องมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจนเสียก่อน โดยคุณอาจใช้คำถามพื้นฐาน เช่น 5W1H หรือก็คือ Who, What, Where, When, Why และ How นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งกำหนดได้จาก Demographic ตาม อายุ เพศ อาชีพ รายได้ เป็นต้น

              นอกจากการกำหนดกลุ่มเป้าหมายด้วยตัวเองแล้ว คุณก็สามารถใช้ระบบ CRM เพื่อบริหารจัดการฐานข้อมูลของลูกค้าให้สะดวก ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าหากคุณทำ SMS. Marketing ผ่าน Connect X

              SMS. Marketing ผ่าน Connect X ดีกว่าอย่างไร?

              การทำ SMS. Marketing บนแพลตฟอร์มอย่าง Connect X จะทำให้ธุรกิจคุณลืมการส่งข้อความแบบแมสๆ ไปได้เลย เพราะมีฟีเจอร์ Personalization ที่ไม่ใช่แค่แจ้งเตือนข่าวหรือโปรโมชัน แต่ยังสามารถแจ้งเตือนโปรรู้ใจของแต่ละบุคคล พร้อมทั้งสามารถแนบชื่อลูกค้าแต่ละบุคคลให้ประทับใจอย่างมากที่สุด และมีฟีเจอร์อีกมากมาย เช่น

              • CDP (Customer Data Platform) ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Line, IG, Shopee, Lazada, POS, Website หรือ ERP ทำให้แบรนด์รู้ว่าลูกค้าสนใจสินค้าอะไร และโปรโมชันแบบไหน
              • แบ่งกลุ่มลูกค้าได้ลึกถึง Insight ต่างๆ อย่างพฤติกรรม หรือสินค้าที่สนใจ และอีกมากมาย
              • แบรนด์รู้ได้ทันทีว่าลูกค้าได้เปิดลิงก์ SMS. หรือไม่ พร้อมสามารถตั้งค่าให้ส่งผ่านช่องทางอื่นๆ ได้อีกด้วย
              • ส่ง SMS. ผ่าน MA บน Connect X ซึ่งความพิเศษของ Connect X คือ  ถ้าลูกค้าไม่กด Link ก็สามารถส่งไปช่องทางอื่นแบบ Cross Channel ได้ เช่น Email, Line, Facebook Message ทำให้ทุกแคมเปญที่ส่งมีโอกาสที่ลูกค้าจะเห็นได้อย่างแน่นอน

              ฟีเจอร์ของ Connect X ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ หากท่านสนใจสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ connect-x.tech เพิ่มสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้อีกด้วย

               

              [/ux_text] [/col] [/row]
              [/section]

              มัดใจลูกค้าเก่า เข้าถึงลูกค้าใหม่ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย Marketing Automation Examples

              marketing-automation-examples

              ในยุคที่ผู้บริโภคมีความต้องการเฉพาะตัวและคาดหวังบริการแบบเรียลไทม์ เครื่องมืออย่าง Marketing Automation จึงกลายเป็นสิ่งที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการ รักษาฐานลูกค้าเดิมให้เหนียวแน่น พร้อมกับการ เข้าถึงลูกค้าหน้าใหม่อย่างแม่นยำ วันนี้เราจะพาทุกท่านมาดู marketing automation examples ที่แบรนด์สามารถนำไปใช้ได้จริง

              การตลาด + เทคโนโลยี = Marketing Automation

              หากจะให้คำจำกัดความสั้นๆ Marketing Automation คือการตลาดอัตโนมัติ โดยการนำเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ เข้ามาช่วยทำกิจกรรมการตลาด อาทิ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของลูกค้า, Big Data เก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้า ไปจนกระทั่งการนำซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มการตลาดอย่างระบบ CRM  มาทำการตลาดในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Remarketing, Personalized Marketing, Content Marketing, Email Marketing, SMS Marketing หรือกลยุทธ์การตลาดรูปแบบอื่นๆ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์บรรลุเป้าหมายทางการตลาดและการขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น

              ทำไมต้องใช้ Marketing Automation กับทั้งลูกค้าเก่าและใหม่?

              การดูแลลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำ และการเข้าถึงลูกค้าใหม่ด้วยข้อความหรือโปรโมชันที่ตรงจุด เป็นเรื่องที่แบรนด์ต้องบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด การใช้ระบบ Marketing Automation จะช่วยให้คุณสามารถสื่อสารแบบเฉพาะบุคคล (Personalized) และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวได้อย่างยั่งยืน

              Marketing Automation Examples ที่ช่วยมัดใจลูกค้าเก่า

              1. ระบบแจ้งเตือนการซื้อซ้ำ (Replenishment Reminder)

              สำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าซื้อซ้ำได้ เช่น เครื่องสำอาง วิตามิน หรืออาหารสัตว์ สามารถตั้งระบบเตือนอัตโนมัติให้ลูกค้าทราบว่าถึงเวลาซื้อใหม่แล้ว เช่น
              “สกินแคร์ตัวโปรดของคุณใกล้หมดหรือยัง? เรามีส่วนลดพิเศษให้คุณ!”

              2. โปรแกรมสะสมแต้มอัตโนมัติ (Loyalty Program Integration)

              ผสานระบบ CRM และ Marketing Automation เพื่อแจ้งเตือนลูกค้าเกี่ยวกับสถานะคะแนนสะสม เช่น
              “คุณมีแต้มสะสม 1,200 คะแนน ใช้แลกส่วนลด 15% ได้ทันทีวันนี้!”

              3. การส่งโปรโมชันวันเกิดหรือวันพิเศษ

              ระบบสามารถตั้งค่าอัตโนมัติให้ส่งข้อความพร้อมส่วนลดในวันเกิดหรือวันครบรอบ เช่น
              “สุขสันต์วันเกิดคุณสมชาย! รับโค้ดส่วนลด 20% ภายใน 3 วันนี้เท่านั้น”

              Marketing Automation Examples ที่ช่วยเข้าถึงลูกค้าใหม่

              1. ระบบ Follow-Up หลังจากลูกค้าเยี่ยมชมเว็บไซต์

              หากมีผู้เข้าชมเว็บไซต์แต่ยังไม่ซื้อ ระบบสามารถส่งอีเมลหรือข้อความแจ้งเตือนอัตโนมัติ เช่น
              “เห็นคุณกำลังดูรองเท้าคู่นั้นอยู่ สนใจรับส่วนลด 10% ไหม?”

              2. Personalized Content ผ่านหลายช่องทาง (Omnichannel Experience)

              ระบบสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า แล้วส่งคอนเทนต์หรือข้อเสนอเฉพาะบุคคลผ่านช่องทางที่ลูกค้าชอบ เช่น LINE, Facebook, Email หรือ SMS

              ตัวอย่าง: หากลูกค้าชอบดูสินค้าใน Instagram ระบบจะยิงโฆษณาหรือส่ง DM พร้อมข้อเสนอเฉพาะบุคคลไปทางนั้น

              3. Welcome Flow สำหรับลูกค้าใหม่

              เมื่อมีลูกค้าใหม่ลงทะเบียนหรือสมัครสมาชิก ระบบสามารถเริ่มต้นแคมเปญอัตโนมัติได้ทันที เช่น

              • Email แนะนำสินค้า

              • ข้อเสนอพิเศษสำหรับการสั่งซื้อครั้งแรก

              • คอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานสินค้า

              ผู้บริโภคนั้นยุคนี้ต้องการแบรนด์ที่รู้ใจและสามารถต้องสนองความต้องการได้อย่างตรงจุด (Personalize Marketing) รวมไปถึงการให้บริการแบบเรียลไทม์ (Real-Time) ที่สำคัญคือ ต้องทำได้ตลอดทุกช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์ สื่อโซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram, LINE) หรือช่องทางอื่นๆ

               

              ทำไมธุรกิจต้องมี Marketing Automation?

              1. ทำความเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

              ก่อนที่จะทำการตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าที่ใช่ ในเวลาที่ดี และในช่องทางเหมาะสม คุณจะต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าของคุณก่อน และการทำความเข้าใจลูกค้านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีข้อมูล

              อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ การเก็บข้อมูลลูกค้าคือรากฐานที่สำคัญของ Marketing Automation เพราะซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มที่ดี (อย่าง Connect X)  จะช่วยให้ท่านสามารถเก็บข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าของคุณแบบรายบุคคลได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดูสินค้าที่คนคนนั้นสนใจ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของท่านอย่างไร

              2. ตัวเชื่อมระหว่าง Marketing และ Sale

              หนึ่งในหน้าที่หลักของ Marketing Automation คือ “การฟูมฟัก” ให้ผู้คนที่เข้ามายังช่องทางการตลาดของท่านนั้นพร้อมสำหรับการถูกขาย ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่คนคนนั้นพร้อมซื้อ ข้อมูลต่างๆ ถึงค่อยถูกส่งไปให้ฝ่ายขายอีกที และเมื่อฝ่ายขายทำการติดต่อหรือทำการเสนอขายกับลูกค้าแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาจากปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าจะนำมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าต่อด้วย

              Marketing Automation ช่วยให้ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายสามารถทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาแบรนด์และธุรกิจได้อย่างทรงประสิทธิภาพมากขึ้น

              3. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

              การนำเครื่องมือ Marketing Automation เข้ามาปรับใช้ จะช่วยให้แบรนด์สามารถดำเนินธุรกิจได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ลดภาระงาน เช่น การใส่ข้อมูลซ้ำซ้อน หรือ การส่ง กิจกรรมทางการตลาดและการขายไปยังผู้ที่สนใจอีกครั้ง นอกจากนี้ยังช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากบุคคล (Human Error) ได้ด้วยนั่นเอง

              ทำ Marketing Automation อย่างไรให้ได้ผล?

              การใช้งาน Marketing Automation ไม่ใช่เพียงแค่ “ตั้งแล้วลืม” แต่ต้องมีการออกแบบ Customer Journey และปรับแต่งแคมเปญให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งเครื่องมืออย่าง Connect X ช่วยให้คุณ:

              • สร้าง Workflow อัตโนมัติ ได้หลากหลาย

              • ส่งข้อความแบบ Personalized ได้แม่นยำ

              • เก็บข้อมูลลูกค้าทั้ง Known & Unknown ได้ในฐานเดียว (CDP)

              • เชื่อมต่อกับทุกแพลตฟอร์มหลัก เช่น LINE, Facebook, Email, Website

              Marketing Automation ทำงานอย่างไร?

              การตลาดอัตโนมัตินั้นสามารถเริ่มใช้งานได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรก Marketing Funnel หรือก็คือเมื่อลูกค้ารับรู้ถึงสินค้าหรือบริการ (Awareness) ยกตัวอย่างเช่น

              คุณ A ได้เข้ามาดูสินค้าของแบรนด์ท่านมากถึง 3 ครั้ง ทั้งบนเว็บไซต์  Facebook และ Instagram แต่ยังไม่มีการติดต่อเข้ามา ท่านสามารถตั้งค่าให้ Marketing Automation ให้ทำการส่งคอนเทนต์ แคมเปญ หรือโปรโมชันต่างๆ ไปให้คุณ A ผ่านทางอีเมล และหากยังไม่สนใจเหมือนเดิม ก็อาจเปลี่ยนช่องทางเป็น ข้อความ SMS หรืออีกนัยหนึ่งก็คือสามารถทำ Personalized Marketing กับลูกค้าแต่ละคน พร้อมทำ Remarketing กับฐานลูกค้าเดิมด้วย

              สำหรับแพลตฟอร์ม Connect X ท่านสามารถ ส่ง Personalized Message  ผ่าน Line Message, Facebook Message, Email เป็นต้น สร้างประสบการณ์เฉพาะตัวให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจได้มากกว่า อีกทั้งยังเป็น CDP (Customer Data Platform)  เก็บข้อมูลลูกค้าได้ตั้งแต่ยังเป็น Unknown Data จนเป็น Known จะเป็นลูกค้าหน้าใหม่ก็สามารถส่งโปรโมชันที่ตรงใจได้ตลอด

              ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

              *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                Yearly Budget

                How do you know us?

                ห้ามพลาด! รวม 8 คำถามน่ารู้เกี่ยวกับ พรบ PDPA ที่ทุกคนควรเข้าใจ

                พรบ-PDPA

                ห้ามพลาด! รวม 8 คำถามน่ารู้เกี่ยวกับ พรบ PDPA ที่ทุกคนควรเข้าใจ

                ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินของธุรกิจ และความเป็นส่วนตัวคือสิทธิ์ของผู้บริโภค การรู้จักและเข้าใจ พรบ PDPA (พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562) จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริโภค เจ้าของธุรกิจ หรือแม้แต่องค์กรขนาดใหญ่

                ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา กฎหมาย PDPA ได้บังคับใช้อย่างเป็นทางการ และเริ่มส่งผลจริงจังทั้งในแง่ของสิทธิ์ทางกฎหมาย และการดำเนินงานของภาคธุรกิจ

                วันนี้ Connect X ขอรวบรวม 8 คำถามยอดฮิต ที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับ พรบ PDPA พร้อมคำตอบแบบเข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะในฐานะเจ้าของข้อมูลหรือผู้ที่มีหน้าที่ดูแลข้อมูลเหล่านี้

                1. พรบ PDPA คืออะไร?

                พรบ PDPA หรือชื่อเต็มว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act) คือกฎหมายที่ถูกตราขึ้นเพื่อคุ้มครอง “ข้อมูลส่วนบุคคล” ของประชาชนจากการถูกเก็บ ใช้ หรือเปิดเผย โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจน

                กฎหมายนี้ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในประเทศไทยให้เทียบเท่าสากล เช่น GDPR ของสหภาพยุโรป โดยกำหนดให้ทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน ที่มีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลใดก็ตาม ต้องมีหน้าที่ในการ:

                • ขอ ความยินยอม จากเจ้าของข้อมูลอย่างโปร่งใส

                • แจ้งวัตถุประสงค์ในการใช้งานอย่างชัดเจน

                • ให้สิทธิ์เจ้าของข้อมูลในการควบคุม แก้ไข ถอนความยินยอม หรือลบข้อมูลของตน

                พรบ PDPA มีผลบังคับใช้กับการจัดการข้อมูลทั้งในรูปแบบ ออนไลน์ (Online) และ ออฟไลน์ (Offline) ครอบคลุมตั้งแต่เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ระบบ CRM ไปจนถึงการเก็บข้อมูลจากฟอร์มเอกสาร หรือบันทึกกล้องวงจรปิด

                ที่สำคัญคือ กฎหมายนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะองค์กรภายในประเทศเท่านั้น หากเป็นองค์กรต่างชาติที่มีการเก็บหรือใช้ข้อมูลของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทย เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือบริการออนไลน์ที่ให้บริการคนไทย ก็ต้องปฏิบัติตาม พรบ PDPA เช่นเดียวกัน

                2. กฎหมาย PDPA มีผลกับใครบ้าง?

                พรบ PDPA ไม่ใช่กฎหมายเฉพาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ หรือธุรกิจที่เก็บข้อมูลปริมาณมหาศาลเท่านั้น แต่เป็นกฎหมายที่ มีผลกระทบต่อ “ทุกคน” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม

                ผู้ที่อยู่ภายใต้กฎหมายนี้ประกอบด้วยทั้ง:

                • บุคคลทั่วไป ที่อาจถ่ายภาพหรือโพสต์ข้อมูลของผู้อื่นลงบนโซเชียลมีเดีย

                • ผู้ประกอบการรายย่อย (SME / เจ้าของกิจการส่วนตัว) ที่เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อการสั่งซื้อ สมัครสมาชิก หรือทำการตลาด

                • บริษัทและองค์กรขนาดใหญ่ ที่ใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือดำเนินธุรกิจในระดับระบบ

                • หน่วยงานภาครัฐ ที่จัดเก็บข้อมูลประชาชนเพื่อใช้ในบริการสาธารณะ

                ในระบบของ PDPA จะมีการระบุบทบาทหลักของผู้เกี่ยวข้องไว้ 3 กลุ่ม ได้แก่:

                • เจ้าของข้อมูล (Data Subject): บุคคลที่ข้อมูลนั้นเป็นของเขา เช่น ลูกค้า พนักงาน สมาชิก หรือผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งมีสิทธิ์ในการควบคุม แก้ไข ถอน หรือร้องเรียนเกี่ยวกับข้อมูลของตน

                • ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller): องค์กรหรือบุคคลที่มีอำนาจในการตัดสินใจว่าจะเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น บริษัทที่เก็บข้อมูลลูกค้าหรือจัดทำฐานข้อมูลสมาชิก

                • ผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Processor): บุคคลหรือหน่วยงานที่ดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลตามคำสั่งของผู้ควบคุมข้อมูล เช่น ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ บริษัทเอาท์ซอร์ส หรือเอเจนซี่การตลาด

                ไม่ว่าคุณจะอยู่ในบทบาทใด หากมีการเข้าถึงหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นในบริบทของธุรกิจหรือกิจกรรมสาธารณะ ก็ต้อง ปฏิบัติตามกฎหมาย พรบ PDPA อย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมายและรักษาความไว้วางใจจากผู้เกี่ยวข้อง

                3. PDPA คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้านไหน?

                ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) ที่กฎหมาย PDPA จะครอบคลุมนั้นมีอยู่มากมาย ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐานไปจนถึงข้อมูลที่มีความอ่อนไหว ซึ่งประกอบไปด้วย ชื่อ – นามสกุล, เลขประจำตัวประชาชน, เลขหนังสือเดินทาง, เลขใบอนุญาตขับขี่, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, วันเกิด, อีเมล, การศึกษา, เพศ, อาชีพ, รูปถ่าย, ข้อมูลทางการเงิน, ทะเบียนรถยนต์, โฉนดที่ดิน, ทะเบียนบ้าน

                ในส่วนของข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ครอบคลุมไปถึงข้อมูลที่สามารถใช้ระบุตัวตนได้ อาทิ Username/Password, Cookies IP Address, GPS Location เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน (Sensitive Personal Data) อย่างข้อมูลทางการแพทย์หรือสุขภาพ, ข้อมูลทางพันธุกรรมและไบโอเมทริกซ์, เชื้อชาติ, ความคิดเห็นทางการเมือง, ความเชื่อทางศาสนาหรือปรัชญา, พฤติกรรมทางเพศ, ประวัติอาชญากรรม, ข้อมูลสหภาพแรงงาน เป็นต้น

                เห็นได้ว่า PDPA นั้นเป็นกฎหมายที่สามารถคุ้มครองข้อมูลด้านต่างๆ ของแต่ละบุคคลได้อย่างครอบคลุมเลยทีเดียว

                4. ในเมื่อ PDPA มีผลอย่างเป็นทางการแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

                ข้อเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างแรกคือ ผู้ที่เป็นเจ้าของข้อมูลจะได้รับการคุ้มครองมากขึ้น และมีสิทธิ์ในการควบคุมการประมวลผลข้อมูล รวมถึงสามารถเรียกร้องหรือฟ้องร้องได้ หากได้รับความเสียหายในกรณีที่มีบุคคลหรือหน่วยงานนำข้อมูลของตนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

                ส่วนผู้ที่นำข้อมูลไปใช้ อย่างภาคธุรกิจ องค์กร หน่วยงาน และบุคคล จะต้องขออนุญาตและระมัดระวังในการใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด และไม่ทำให้เจ้าของข้อมูลเสียหายหรือเสื่อมเสียชื่อเสียง

                ผู้ที่นำข้อมูลไปใช้จะต้องทำตามข้อกำหนด ดังนี้

                • ต้องจำกัดการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพียงเท่าที่จำเป็น
                • การประมวลผลข้อมูลต้องมีวัตถุประสงค์ ซึ่งมีฐานกฎหมายตามที่ พรบ. กำหนดรองรับ เช่น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา สิทธิ์อันชอบธรรม และหากเป็นการประมวลผลด้วยฐานความยินยอมต้องได้รับความยินยอมก่อน
                • ต้องอธิบายและแจ้งรายละเอียดการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้เจ้าของข้อมูลทราบ
                • ต้องมีการรับประกันความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูล
                • หากมีข้อมูลรั่วไหลต้องทำการแจ้งเตือนให้เจ้าของข้อมูลทราบ รวมถึงแจ้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะมีการประเมินความเสียหาย และวิธีการเยียวยาเจ้าของข้อมูล

                5. ถ่ายภาพหรือวิดีโอแล้วติดบุคคลอื่นผิดหรือไม่?

                ถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการถ่ายภาพหรือวิดีโอที่มีหน้าของบุคคลอื่นติดมาด้วยนั้น สามารถแยกได้เป็น 3 กรณี ดังนี้

                1. กรณีที่ถ่ายภาพและวิดีโอติดบุคคลอื่นโดยไม่เจตนาหรือไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย – ถือว่าสามารถทำได้หากใช้เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว และหากมีการนำไปโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ต้องไม่ใช้เพื่อการแสวงหากำไรทางการค้าและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
                2. กรณีภาพของกล้องวงจรปิดถ่ายติดบุคคลอื่น – หากติดภายในบ้าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอาชญากรรมและรักษาความปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องมีป้ายแจ้งเตือน แต่หากเป็นกรณีที่ติดตั้งในที่สาธารณะ หน่วยงาน องค์กร ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า จะต้องติดป้ายประกาศหรือสติกเกอร์เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีกล้องวงจรปิดและมีการบันทึกข้อมูล เพื่อเป็นการแจ้งให้ผู้คนรับทราบ
                3. กรณีของกล้องหน้ารถยนต์ – ไม่จำเป็นต้องติดประกาศแจ้งให้ทราบ หากนำภาพหรือวิดีโอที่มีบุคคลอื่นไปใช้โดยไม่ส่งผลกระทบหรือความเสียหายต่อบุคคลในภาพ/วิดีโอนั้นสามารถทำได้ แต่ไม่สามารถนำไปใช้ทางการค้า สร้างรายได้ สร้างความอับอาย ความเสียหาย หรือใช้ในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์ส่วนตัว

                6. เจ้าของข้อมูลต้องให้ความยินยอมทุกครั้งก่อนนำข้อมูลไปใช้หรือไม่?

                โดยปกติหากนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้จะต้องขออนุญาตเจ้าของข้อมูลก่อนทุกครั้ง แต่ PDPA มีข้อยกเว้นที่สามารถนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ต้องขอความยินยอม ซึ่งเป็นกรณีดังนี้

                • เป็นการทำตามสัญญา เช่น เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน E-Commerce ที่ต้องใช้ชื่อและที่อยู่ในการส่งพัสดุให้ลูกค้า หรือเป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำงาน เช่น การเป็นสมาชิกหรือ Subscription Service ที่ต้องใช้ข้อมูลบัตรเครดิต เป็นต้น
                • เป็นการใช้ที่มีกฎหมายให้อำนาจ
                • เป็นการใช้เพื่อรักษาชีวิตและ/หรือ ร่างกายของบุคคล รวมถึงป้องกันอันตราย และการป้องกันโรคระบาด
                • เป็นการใช้เพื่อการค้นคว้าวิจัยทางสถิติ
                • เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ
                • เป็นการใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์หรือสิทธิ์ของตนเอง
                • เป็นการใช้เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารประวัติศาสตร์
                • เป็นการใช้เพื่อประมวลผลเชิงเนื้อหาสำหรับสื่อมวลชน ซึ่งต้องเป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพหรือเป็นประโยชน์สาธารณะเท่านั้น

                ทั้งนี้ หลักการข้างต้น อาจเปลี่ยนแปลงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นกรณีๆ ไป ถึงไม่ต้องขอความยินยอม แต่ผู้ควบคุมข้อมูลยังต้องรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและคำนึงถึงสัดส่วนความจำเป็นของการใช้ข้อมูล และผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล

                7. เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล มีสิทธิ์อะไรเกี่ยวกับข้อมูลของตนบ้าง?

                • สิทธิ์ในการถอดถอนความยินยอมในกรณีที่ได้ให้ความยินยอมไว้
                • สิทธิ์ได้รับการแจ้งให้ทราบรายละเอียด (Privacy Notice)
                • สิทธิ์การขอเข้าถึงและการขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล
                • สิทธิ์ขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคล
                • สิทธิ์คัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้งาน หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
                • สิทธิ์ขอให้ลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้
                • สิทธิ์ขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
                • สิทธิ์ขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล
                • สิทธิ์ในการร้องเรียนต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในกรณีที่มีการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือประกาศที่ออกตามกฎหมาย PDPA

                8. หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA จะเป็นอย่างไร?

                สำหรับผู้ที่นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) และผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Processor) จะมีโทษทางกฎหมาย โดยมีรายละเอียดดังนี้

                • ความรับผิดทางแพ่ง ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และอาจต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้นอีก โดยสูงสุดไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหายที่แท้จริง
                • โทษทางอาญา จำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                • โทษทางปกครอง ปรับสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท

                จากที่ Connect X ได้พาเจอคำตอบของคำถามต่างๆ เกี่ยวกับกฎหมาย PDPA กันให้มากยิ่งขึ้นจากคำถามทั้ง 8 ข้อกันไปแล้ว น่าจะช่วยตอบข้อสงสัยของใครหลายๆ คน และช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับ PDPA มากขึ้น รวมถึงตระหนักถึงความสำคัญของการนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไปใช้กันมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมุมของประชาชนทั่วไปที่เป็นผู้บริโภคหรือภาคธุรกิจก็ตาม

                หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย มีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือผิดวัตถุประสงค์ ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล และส่งผลกระทบต่อองค์กรเป็นวงกว้าง

                นอกจากนี้ องค์กรหรือธุรกิจที่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด จะช่วยเสิรมสร้างน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรได้อีกด้วย สำหรับใครกำลังมองหาตัวช่วยที่ปลอดภัยและสะดวกสบายอยู่นั้น Connect X เป็นแพลตฟอร์ม Customer Data Platform (CDP) ที่รองรับกฎหมาย PDPA และได้รับมาตรฐานการเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย มีมาตรฐาน ISO27001 ซึ่งสามารถช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน และยังมี Marketing Automation ที่ช่วยทำการตลาดแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ธุรกิจนำข้อมูลมาใช้ได้อย่างสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมความปลอดภัยและมีขั้นตอนการขออนุญาตเก็บข้อมูลที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างแน่นอน

                ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                  Yearly Budget

                  How do you know us?

                  สรุป กฎหมาย PDPA : 3 เรื่องที่คนเข้าใจผิด!

                  สรุป-กฎหมาย-PDPA

                  ในยุคที่ข้อมูลคือหัวใจของการทำธุรกิจ ทั้งผู้บริโภคและเจ้าของกิจการต่างต้องเกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคลแทบทุกวัน แต่แม้กฎหมาย PDPA จะมีผลบังคับใช้แล้ว หลายคนก็ยังคงมีความเข้าใจผิดหรือรู้สึกสับสนเกี่ยวกับรายละเอียดของกฎหมายฉบับนี้อยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเก็บข้อมูล การใช้ข้อมูล หรือแม้แต่การขอความยินยอมที่ถูกต้อง ดังนั้นวันนี้ Connect X จะมาช่วย สรุป กฎหมาย PDPA ให้เข้าใจง่าย พร้อมอธิบายหลักการสำคัญ ไปจนถึงแนวทางการนำไปใช้จริงในธุรกิจ หากคุณเพิ่งเริ่มต้นศึกษา หรืออยากทบทวนความเข้าใจเกี่ยวกับ PDPA บทความนี้คือจุดเริ่มต้นที่ไม่ควรพลาด!

                  3 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ PDPA ต้องเคลียร์ ไม่ให้สับสน

                  ข้อมูลส่วนบุคคลถือเป็นทรัพยากรสำคัญในยุคดิจิทัลที่ทุกธุรกิจต่างพยายามเก็บรวบรวมเพื่อนำไปใช้ในการสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ามากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำสินค้า โปรโมชั่นเฉพาะบุคคล หรือการสื่อสารที่แม่นยำมากขึ้น แต่ด้วยความสำคัญของข้อมูลเหล่านี้เอง ทำให้เกิด กฎหมาย PDPA หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ขึ้นมาเพื่อควบคุมการจัดการข้อมูลให้อยู่ภายใต้กรอบที่ปลอดภัยและเป็นธรรม โดยเฉพาะเรื่องของการเก็บ ใช้ และเปิดเผยข้อมูลที่ต้องได้รับความยินยอมอย่างชัดเจน

                  อย่างไรก็ตาม ถึงแม้กฎหมายนี้จะมีผลบังคับใช้แล้ว แต่ก็ยังมีความเข้าใจผิดจำนวนไม่น้อยในสังคม ทั้งจากฝั่งเจ้าของธุรกิจและผู้บริโภคเอง วันนี้ Connect X จะมาไขข้อข้องใจและชี้แจง และช่วย สรุป กฎหมาย PDPA ที่ควรเคลียร์ให้ชัด เพื่อให้คุณสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันหรือธุรกิจได้อย่างถูกต้อง

                  1. PDPA มีผลเฉพาะกับธุรกิจหรือองค์กรเท่านั้น

                  หลายคนเข้าใจว่า พ.ร.บ. ฉบับนี้มีผลเฉพาะกับบริษัทหรือผู้ประกอบการที่มีการเก็บข้อมูลลูกค้า แต่จริงๆ แล้ว PDPA ครอบคลุม “ทุกฝ่าย” ที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ เอกชน หรือแม้แต่บุคคลทั่วไป หากมีการเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนได้ เช่น ชื่อ-สกุล เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ เลขบัญชีธนาคาร ฯลฯ ก็เข้าข่ายทั้งหมด

                  ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น คุณซื้อของออนไลน์แล้วต้องส่งข้อมูลสำหรับจัดส่งให้พ่อค้าแม่ค้า เช่น ชื่อ เบอร์โทร ที่อยู่ แม้เป็นการติดต่อแบบส่วนตัว แต่ข้อมูลที่ส่งให้เหล่านั้นก็ถือเป็น “ข้อมูลส่วนบุคคล” ซึ่งผู้ขายก็ควรจัดเก็บอย่างระมัดระวัง และไม่นำไปใช้ต่อโดยไม่ได้รับอนุญาต

                  2. ธุรกิจต้องได้รับความยินยอม (Consent) จากเจ้าของข้อมูลทุกครั้ง

                  สำหรับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับหลักการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมาย PDPA ในมาตรา 24 ซึ่งมีหลักการเกี่ยวกับเรื่องความยินยอม (Consent) ก่อนที่แบรนด์หรือนักการตลาดจะนำข้อมูลไปเก็บในระบบ CRM หรือนำไปประกอบแคมเปญต่างๆ ก็ต้องขอความยินยอมก่อน เช่น การขอ Cookie Consent เพื่อจัดเก็บไฟล์คุกกี้และข้อมูลของผู้เข้าชมเว็บไซต์ แต่ไม่ได้แปลว่าธุรกิจจะต้องขออนุญาตทุกครั้งที่ต้องเก็บข้อมูล

                  ในความจริงแล้ว เจ้าของข้อมูลต้องให้ความยินยอม (Consent) ต่อผู้ควบคุมข้อมูลตามที่แจ้งไว้ตั้งแต่แรกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อาทิ เมื่อสมัครสมาชิกผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน หลังจากกรอกรายละเอียดแล้ว จะมีข้อความหรือเอกสารให้อ่านพร้อมปุ่มกด “ยินยอม” หรือ “ยอมรับ” เพื่ออนุญาตให้ธุรกิจเก็บรวบรวมข้อมูลนั่นเอง ซึ่งจะเป็นการทำเพียงครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องกดยินยอมทุกครั้งเมื่อเข้าสู่ระบบ สำหรับมุมมองของธุรกิจนั้น การขอความยินยอมเพียงครั้งเดียวนี้ก็เป็นการอำนวยความสะดวกให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งานหรือลูกค้าได้ต่อเนื่องและมีฐานข้อมูลครบถ้วน สามารถใช้ในการทำการตลาดหรือเพื่อปรับปรุง Marketing Automation ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้นั่นเอง

                  นอกจากนี้ ยังมีกรณีต่างๆ ที่ข้อมูลจะถูกเก็บรวบรวมได้ โดยได้รับข้อยกเว้น PDPA หรือไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมดังนี้

                  • กรณีป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของเจ้าของข้อมูล รวมไปถึงการใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น ป้องกันโรคระบาด ซึ่งผู้ควบคุมสามารถเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอม
                  • การปฏิบัติตามสัญญา ไม่ต้องขอความยินยอม
                  • ปฏิบัติภารกิจของรัฐ ตามมาตรา 24(4) หากจำเป็นต่อการดำเนินภารกิจของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเป็นการใช้อำนาจรัฐ การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อการนั้น ไม่ต้องขอความยินยอม อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ต้องขอความยินยอม แต่ผู้ควบคุมยังคงมีหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และคำนึงถึงความได้สัดส่วนความจำเป็นในการใช้ข้อมูล และผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล
                  • ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ต้องขอความยินยอม มาตรา 24(6)

                  3. การโพสต์รูปโซเชียลโดยมีใบหน้าผู้อื่นติดมาด้วย ถือว่าผิดกฎหมาย PDPA

                  ใจความสำคัญของ PDPA คือการปกป้องความเป็นส่วนตัว ซึ่งก็รวมไปถึงรูปถ่ายหรือวิดีโอที่มีใบหน้าของเจ้าของข้อมูลด้วย หลายคนเข้าใจว่าการที่ใครสักคนโพสต์รูปบนโซเชียลแล้วมีใบหน้าเราติดไปถือว่าเป็นการละเมิดพ.ร.บ. ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ “ผิด” จนกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียลกันไปแล้ว

                  จริงๆ แล้ว การที่ผู้ถ่ายรูปหรือคลิปวิดีโอบังเอิญถ่ายติดใบหน้าของคนอื่นไปโดยไม่ได้เจตนา หรือไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถูกถ่ายก็สามารถทำได้โดยไม่ผิดหลัก PDPA ส่วนในกรณีที่ได้นำรูปถ่ายหรือคลิปไปโพสต์บนโซเชียลก็สามารถทำได้ ถ้าเป็นการทำเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว ไม่นำไปใช้เพื่อผลประโยชน์หรือทำกำไร และทำให้เจ้าของข้อมูลเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือทำให้เกิดอันตราย

                  เรื่องการติดตั้งกล้องวงจรปิด ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนกังวลว่า หากถ่ายติดใบหน้าคนอื่นจะเป็นการทำผิดพ.ร.บ. หรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นการติดภายในบริเวณบ้านเพื่อรักษาความปลอดภัย ก็ไม่จำเป็นต้องทำป้ายแจ้งเตือน หมดห่วงได้เพราะไม่ผิดต่อข้อกฎหมายแน่นอน

                  ทั้งหมดนี้ก็เป็นข้อสงสัยหลักๆ ที่หลายคนยังมีอยู่ หวังว่าบทความนี้จะสามารถไขข้อสงสัยได้ไม่มากก็น้อย สำหรับธุรกิจและเจ้าของแบรนด์ทุกท่านต้องไม่ลืมที่จะค้นหา “เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล” หรือ “Data Protection Officer (DPO)” เพื่อเข้ามาดูแลกฎหมาย PDPA ภายในองค์กรและตรวจสอบนโยบายการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า

                  ที่สำคัญ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แบรนด์ควรมีระบบ CDP หรือระบบ CRM ที่เป็นไปตาม PDPA เพื่อรักษาและปกป้องข้อมูลของลูกค้า รวมถึงเป็นการหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องที่อาจเกิดขึ้นได้หากเกิดข้อผิดพลาดขึ้นนั่นเอง

                  สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM หรือต้องการคำปรึกษา ทาง Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

                  ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                  *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                    Yearly Budget

                    How do you know us?