Category Archives: other

GDPR ต่างจาก PDPA อย่างไร? กฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลที่แบรนด์ไทยต้องรู้

GDPR-PDPA

เจ้าของธุรกิจออนไลน์ทุกท่านอาจเคยได้ยินหรือทราบถึง PDPA ซึ่งคือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ที่ถูกบังคับใช้ในประเทศไทยตั้งแต่ปี พ.ศ. 2562 ถือเป็นหนึ่งในกฎหมายที่เกิดขึ้นเพื่อตอบรับการเติบโตของเทคโนโลยีสารสนเทศและการจัดเก็บข้อมูลในยุคดิจิทัล อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจยังเกิดคำถามว่า “PDPA กับ GDPR ต่างกันอย่างไร?” และแบรนด์ไทยจำเป็นต้องรู้เรื่อง GDPR หรือไม่?

ในบทความนี้ Connect X จะพาเจ้าของธุรกิจทุกท่านไปรู้จักกับ PDPA อย่างละเอียด พร้อมอธิบายความสัมพันธ์กับ GDPR เพื่อให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมั่นใจและถูกต้องตามกฎหมาย

กฎหมาย PDPA คืออะไร?

PDPA (Personal Data Protection Act) คือกฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อคุ้มครอง “ข้อมูลส่วนบุคคล” ที่สามารถระบุตัวบุคคลได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยมีชื่อภาษาไทยว่า “พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562” ซึ่งได้รับการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2562 และเริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565

PDPA เป็นกฎหมายที่แบรนด์ไทยทุกแห่งต้องให้ความสำคัญอย่างมาก เพราะไม่เพียงแต่มีผลบังคับใช้กับข้อมูลออนไลน์ แต่ยังครอบคลุมถึงข้อมูลออฟไลน์ เช่น การเก็บข้อมูลลูกค้าผ่านใบสมัคร การจดบันทึก หรือแม้แต่การใช้กล้องวงจรปิดในพื้นที่ขององค์กร

PDPA ครอบคลุมข้อมูลด้านใดบ้าง?

กฎหมาย PDPA เป็นกฎหมายที่มาพร้อมกับการก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสาร ซึ่งแน่นอนว่าครอบคลุมข้อมูลบนสื่อออนไลน์ เช่น การเก็บข้อมูลผ่านระบบ CRM ไปจนถึงข้อมูลออฟไลน์อย่างการจดบันทึกอีกด้วย ทั้งยังเป็นกฎหมายที่ป้องกันการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data Violation) แบบรอบด้าน ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ ที่อยู่ อีเมล รูปภาพใบหน้า ข้อมูลเสียง ลายนิ้วมือ ฯลฯ

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะ PDPA นั้นครอบคลุมไปถึง Sensitive Data หรือข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความอ่อนไหวด้วย อาทิ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ ความเห็นทางการเมือง ความเชื่อ ลัทธิ ศาสนา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลทางด้านสุขภาพ ข้อมูลทางพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ Cookies ID หรือ Device ID

จะเห็นได้ว่า PDPA นั้นครอบคลุมข้อมูลของผู้บริโภคแบบรอบด้านเลยทีเดียว ซึ่งการที่นิติบุคคล กิจการ หรือแบรนด์ต่างๆ จะเก็บรวบรวมข้อมูลได้นั้น ต้องได้รับการยินยอมจากเจ้าของข้อมูลเสียก่อน

GDPR มีข้อแตกต่างอย่างไร?

กฎหมาย GDPR นั้นย่อมาจาก General Data Protection Regulation ที่จริงๆ แล้วอาจไม่เกี่ยวข้องกับประเทศไทยมากนัก เนื่องจากเป็นข้อบังคับในกฎหมายของสหภาพยุโรป (European Union หรือ EU) จะคุ้มครองข้อมูลของส่วนบุคคลของประชากรในสหภาพยุโรปและบุคคลสัญชาติยุโรปที่อยู่ในต่างประเทศ เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลจะไม่ถูกนำไปใช้ในทางมิชอบ และได้เริ่มบังคับใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2561 เป็นที่เรียบร้อย หากท่านมีกิจการระหว่างประเทศ (International Business) อยู่ในสหภาพยุโรป ก็ควรพึงปฏิบัติตามข้อกฎหมายนี้ด้วย

GDPR ในยุโรปนั้นได้ถูกร่างและบังคับใช้มาก่อน PDPR ของไทย หรือพูดในอีกนัยหนึ่งว่า GDPR เป็นต้นแบบของ PDPR ก็ว่าได้ และมีข้อกำหนดที่มากกว่าด้วย แต่ในไม่ช้า พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้จะมีการร่างข้อบังคับเพิ่มเติมและประกาศใช้ภายหลัง เจ้าของธุรกิจทุกท่านควรศึกษาและปรับธุรกิจให้อยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้

ผู้ประกอบการต้องปรับตัวอย่างไรเมื่อมีกฎหมาย PDPA และ GDPR?

สิ่งแรกๆ ที่ผู้ประกอบการและแบรนด์ควรให้ความสำคัญคือ การสร้าง Privacy Policy หรือนโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อ “แจ้ง” รายละเอียดเกี่ยวกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล เช่น เก็บข้อมูลอะไร ใช้ทำอะไร ลบข้อมูลเมื่อใด เป็นต้น

นอกเหนือจากนั้น ในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2565 พ.ร.บ คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลนี้ จะมีการบังคับใช้ให้ผู้ที่เก็บรวบรวมข้อมูลต้องทำ Privacy Policy ด้วยนั่นเอง เพื่อเป็นการป้องกันการถูกฟ้องร้อง แบรนด์ควรขอความยินยอมในการเก็บข้อมูล การใช้หรือการเปิดเผยข้อมูลเสียก่อน หรือที่เรียกว่า Consent Management นั่นเอง

การใช้ระบบเก็บข้อมูลอย่างระบบ CRM หรือ ระบบ CDP ที่ได้มาตรฐานและสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างชาญฉลาด เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการทุกท่าน

ดังนั้นการบริหารข้อมูลส่วนบุคคลจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์โดยตรง และจำเป็นต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพราะหากไม่มี “ข้อมูล” แล้ว การทำการตลาด เช่น Personalized Marketing หรือ Remarketing จะเป็นไปไม่ได้เลย

บทลงโทษหากไม่ปฏิบัติตาม PDPA

การละเมิดกฎหมาย PDPA ไม่ใช่เพียงแค่การกระทบต่อภาพลักษณ์องค์กรเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่บทลงโทษทางกฎหมายที่รุนแรง ซึ่งอาจสร้างผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจทั้งในด้านการดำเนินงานและความเชื่อมั่นของลูกค้า โดยบทลงโทษของ PDPA แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่ โทษทางแพ่ง โทษทางอาญา และโทษทางปกครอง

1. โทษทางแพ่ง
หากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลได้รับความเสียหายจากการกระทำที่ละเมิด PDPA พวกเขาสามารถยื่นฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลได้โดยตรง และศาลมีอำนาจในการพิจารณาชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติม โดยอาจสั่งให้ชดใช้สูงสุดถึงสองเท่าของมูลค่าความเสียหายที่แท้จริง ขึ้นอยู่กับระดับของความเสียหายและพฤติการณ์แห่งคดี

2. โทษทางอาญา
ในกรณีที่มีการละเมิด PDPA โดยเจตนา เช่น การเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล หรือการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวโดยมิชอบ ผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษทางอาญา ซึ่งรวมถึงโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ขึ้นอยู่กับระดับของความรุนแรงและผลกระทบที่เกิดขึ้นกับเจ้าของข้อมูล

3. โทษทางปกครอง
คณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลมีอำนาจในการกำหนดโทษทางปกครองกับหน่วยงานหรือองค์กรที่ไม่ปฏิบัติตาม PDPA ได้อย่างเด็ดขาด ซึ่งรวมถึงการสั่งปรับทางปกครองเป็นจำนวนเงินสูงสุดไม่เกินห้าล้านบาท นอกจากนี้ คณะกรรมการยังสามารถสั่งระงับการเก็บ รวบรวม หรือประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลได้ทันที และในบางกรณีอาจกำหนดให้ดำเนินมาตรการแก้ไขให้แล้วเสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดด้วย

แน่นอนว่าไม่มีผู้ประกอบการท่านไหนต้องการที่จะเสียค่าปรับหรือจำคุก การนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้ในทางที่เหมาะสมและการเข้าใจขอบเขตในการเข้าถึงข้อมูลจึงเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบทุกครั้ง ไม่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าในระยะยาว

หากคุณกำลังมองหาโซลูชันที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างปลอดภัยและเป็นไปตามข้อกำหนดของ PDPA Connect X พร้อมช่วยคุณวางระบบที่สอดคล้องกับกฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในด้านการจัดการความยินยอม การจัดเก็บ และการเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล เพื่อให้ธุรกิจของคุณเดินหน้าต่อได้อย่างมั่นใจและยั่งยืนในยุคดิจิทัล

ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

*รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

    Yearly Budget

    How do you know us?

    ทำไมธุรกิจ SME ขนาดเล็กถึงควรมีระบบ CRM Platforms ติดตัว?

    SME-CRM-Platforms

    ในยุคที่การแข่งขันด้านการตลาดและการขายเข้มข้นมากกว่าที่เคย ธุรกิจ SME ที่ต้องการเติบโตอย่างมั่นคงจึงไม่สามารถพึ่งพาแค่สินค้าและบริการที่ดีได้อีกต่อไป สิ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตอบสนองความต้องการได้ตรงจุด และเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น ก็คือ ระบบ CRM Platforms หรือ Customer Relationship Management ที่เข้ามาทำหน้าที่จัดเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ พร้อมทั้งช่วยบริหารความสัมพันธ์ในทุกๆ จุดที่ลูกค้ามีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์

    เพราะ “ลูกค้า” คือหัวใจของธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขนาดเล็กหรือใหญ่ ทำตลาดแบบ B2B หรือ B2C ต่างก็ต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้า ยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงของโลกดิจิทัลทำให้ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากขึ้น มีพฤติกรรมที่ซับซ้อนและคาดหวังประสบการณ์ที่เฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น ระบบ CRM จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถเข้าใจและติดตามลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของพฤติกรรม ความต้องการ และศักยภาพในการซื้อซ้ำ

    อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ้าของกิจการ SME ที่ยังมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ เวลา หรือทรัพยากร อาจเกิดคำถามตามมาว่า การลงทุนในระบบ CRM จะคุ้มค่าหรือไม่ และจะให้ผลลัพธ์ที่จับต้องได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งความจริงแล้ว ระบบ CRM ไม่ได้มีไว้เพื่อธุรกิจขนาดใหญ่เท่านั้น หากเลือกใช้ระบบที่เหมาะสมกับขนาดธุรกิจ ก็สามารถช่วยเปลี่ยนข้อมูลลูกค้าให้กลายเป็นโอกาสทางการขายได้ไม่ยาก

    ในบทความนี้ Connect X จะพาคุณไปสำรวจข้อดีต่างๆ ของระบบ CRM ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยเหลือธุรกิจ SME โดยเฉพาะ พร้อมอธิบายให้เห็นภาพชัดเจนว่า ทำไมธุรกิจที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก จึงควรมีระบบนี้เป็นหนึ่งในเครื่องมือหลักของการเติบโตในยุคดิจิทัล

    ระบบ CRM Platforms เพื่อสร้างความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้า

    ทุกธุรกิจที่ต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนล้วนเข้าใจดีว่า “ลูกค้า” ไม่ได้เป็นแค่คนที่ซื้อของเพียงครั้งเดียว แต่คือคนที่อาจกลับมาซื้อซ้ำ บอกต่อ และกลายเป็นกระบอกเสียงสำคัญให้แบรนด์ ดังนั้นการดูแลลูกค้าจึงต้องลึกไปกว่าการขายสินค้า ระบบ CRM หรือ Customer Relationship Management จึงถือกำเนิดขึ้นมาเพื่อเป็นผู้ช่วยมือขวาในการบริหารความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอย่างมีระบบ

    โดยพื้นฐานแล้ว ระบบ CRM คือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อรวบรวม จัดการ และวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าจากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโซเชียลมีเดียอย่าง Facebook, Instagram, LINE หรือแม้แต่เว็บไซต์ของธุรกิจเอง ทุกการคลิก การซื้อ หรือการกรอกฟอร์มสมัคร ล้วนสามารถกลายเป็นข้อมูลอันมีค่า ที่จะถูกดึงมาใช้เพื่อสร้างกลยุทธ์การตลาดแบบ Personalization ได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากระบบตรวจพบว่าลูกค้าคนหนึ่งมักซื้อสินค้าช่วงปลายเดือน แบรนด์ก็สามารถส่งโปรโมชั่นเฉพาะบุคคลให้ตรงเวลา หรือแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เขาสนใจได้อย่างแม่นยำ

    ข้อดีของ CRM ไม่ได้มีเพียงแค่การเก็บข้อมูล แต่ยังสามารถช่วยวิเคราะห์และต่อยอดกิจกรรมทางการตลาดได้อย่างชาญฉลาด เปลี่ยนการสื่อสารแบบกว้างๆ ให้กลายเป็นข้อความที่ “พูดกับลูกค้าแต่ละคนโดยตรง” ซึ่งสิ่งนี้คือหัวใจของการทำ Personalized Marketing ที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ใส่ใจในตัวเขา ไม่ได้มองเขาแค่ตัวเลขยอดขาย และเมื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีต่อเนื่อง ความพึงพอใจและความภักดีต่อแบรนด์ก็จะเพิ่มขึ้นตามมาอย่างเป็นธรรมชาติ

    จากสถิติที่น่าสนใจของ Salesforce ระบุว่า การใช้ระบบ CRM อย่างมีประสิทธิภาพสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายได้มากถึง 29% เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าจับตามอง โดยเฉพาะสำหรับธุรกิจ SME ที่ต้องการเพิ่มรายได้โดยไม่ต้องขยายทีมการตลาดหรือทุ่มงบประมาณมหาศาล

    แน่นอนว่าการเก็บข้อมูลลูกค้าต้องกระทำภายใต้กรอบของกฎหมายความเป็นส่วนตัว เช่น พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจต้องให้ความสำคัญควบคู่ไปกับการทำตลาด เพราะแม้การใช้ข้อมูลจะช่วยเพิ่มยอดขายได้ แต่หากละเลยเรื่องความถูกต้องตามกฎหมาย ก็อาจกลายเป็นปัญหาในระยะยาว ดังนั้นระบบ CRM ที่ดีควรมีฟีเจอร์รองรับการจัดการข้อมูลให้สอดคล้องกับกฎหมาย PDPA ด้วยเช่นกัน

    ข้อดีของระบบ CRM Platforms ที่ธุรกิจ SME ไม่ควรมองข้าม

    ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจดุเดือดขึ้นทุกวัน ธุรกิจ SME จำเป็นต้องยกระดับการให้บริการลูกค้า เพื่อสร้างฐานลูกค้าที่มั่นคงและยั่งยืน ซึ่งระบบ CRM หรือ Customer Relationship Management คือหนึ่งในเครื่องมือที่เข้ามาช่วยตอบโจทย์ในจุดนี้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยมีข้อดีที่โดดเด่นดังต่อไปนี้

    1. รวมศูนย์ข้อมูลลูกค้าไว้ในที่เดียว

    หลายธุรกิจยังคงจัดเก็บข้อมูลลูกค้าแบบกระจัดกระจาย บ้างอยู่ในไฟล์ของแอดมิน บ้างอยู่กับเซลล์ ทำให้การเข้าถึงและใช้ข้อมูลกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก เสี่ยงต่อความผิดพลาดและการสูญหายของข้อมูล ระบบ CRM เข้ามาช่วยรวบรวมข้อมูลจากทุก Touch Point ไว้ในศูนย์กลางเดียว ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ ช่องทางโซเชียล หรือข้อมูลจากการลงทะเบียนของลูกค้า ช่วยให้ทีมงานทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกและแม่นยำ

    2. ติดตามสถานะลูกค้าได้แบบเรียลไทม์

    ด้วยระบบที่จัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ธุรกิจสามารถติดตามสถานะของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าเก่า ลูกค้าที่กำลังพิจารณาสินค้า หรือผู้ที่อยู่ระหว่างการต่อรอง ทีมขายจึงสามารถวางแผนการติดต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น

    3. สร้างแคมเปญการตลาดได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย

    ข้อมูลที่ได้จาก CRM ไม่เพียงแต่บอกว่าใครคือลูกค้า แต่ยังเผยให้เห็นถึงพฤติกรรม ความสนใจ และความต้องการเฉพาะตัวของลูกค้าแต่ละราย สิ่งนี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถออกแบบแคมเปญการตลาดที่ตรงจุด ส่งโปรโมชันหรือข้อเสนอที่เหมาะสมไปยังลูกค้าที่มีแนวโน้มจะซื้อจริงๆ ซึ่งสำคัญมากสำหรับธุรกิจ SME ที่มีงบประมาณจำกัด

    4. ลดต้นทุนในระยะยาว

    ระบบ CRM ช่วยลดความสิ้นเปลืองจากการทำการตลาดแบบหว่านแห เพราะสามารถโฟกัสไปที่ลูกค้ากลุ่มที่มีโอกาสซื้อจริง ไม่เพียงเท่านั้น ยังช่วยรักษาฐานลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำ สร้างรายได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องทุ่มงบโฆษณาใหม่อยู่ตลอดเวลา

    5. ยกระดับการบริการลูกค้าแบบใกล้ชิด

    ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า เช่น อายุ ความสนใจ หรือประวัติการซื้อ สามารถนำมาใช้สร้างประสบการณ์ที่ตรงใจ สร้างความรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและใส่ใจ ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแลอย่างพิเศษ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการสร้าง Brand Loyalty และยังช่วยกระตุ้นให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากที่มีพลังมากที่สุดในการตลาด

    ระบบ CRM ที่ดีต้องมาคู่กับระบบ CDP

    คำว่า CRM อาจเป็นศัพท์ที่ใช้อย่างแพร่หลายจนหลายๆ คนเริ่มชิน และมองว่าเป็นซอฟต์แวร์ที่รวมทุกสิ่ง แต่นี่อาจเป็นความเชื่อที่ผิดไป เพราะแม้ระบบ CRM จะสามารถเก็บข้อมูลได้ดี แต่ยังคงต้องการอาศัยบุคคลในการนำข้อมูลเหล่านั้นไปต่อยอด ในหลายกรณี หลายธุรกิจจึงไม่สามารถทำการตลาดได้เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นการนำ CDP (Customer Data Platform) ที่มีการทำงานร่วมกับ CRM เข้ามาปรับใช้กับธุรกิจจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่าในหลายๆ แง่มุม

    ยกตัวอย่าง Connect X ที่เป็นทั้งแพลตฟอร์ม CDP และ Marketing Automation ที่มีฟังก์ชันหลากหลาย สามารถช่วยสนับสนุนธุรกิจ SME ได้มากกว่า เช่น

    • 360° Customer Insights – รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลลูกค้าได้แบบ 360 องศา ไม่ว่าจะติดต่อมาทาง Facebook Messenger, LINE หรืออื่นๆ ระบบจะจัดการข้อมูลอย่างชาญฉลาด คาดการณ์พฤติกรรมหรือความต้องการของลูกค้าเฉพาะบุคคลได้
    • Omni Channel – รวมทุกช่องทางการแชท การติดต่อที่เกิดขึ้นไว้บนแพลตฟอร์ม รวมไปถึงระบบ API ต่างๆ ทีมขายจึงสามารถประสานงานได้แบบไร้รอยต่อ ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งแบบไม่มีสะดุด
    • ระบบ AI ช่วยสนับสนุน – Connect X มีระบบ AI สุดฉลาดที่ช่วยในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก ทำนายและจัดอันดับผู้ที่มีแนวโน้มเป็นลูกค้า (Predictive Lead Scoring) พร้อมวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อ ตอบโจทย์การสื่อสารด้านการตลาดอย่างแม่นยำกว่าเดิม
    • Marketing Automation – ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้แบบ Real-Time ช่วยยิงโฆษณาที่ตรงใจลูกค้า ในเวลาที่ใช่ ผ่านช่องทางที่เหมาะสมกับลูกค้ามากที่สุด

    นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์อีกเพียบที่สามารถสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ SME ท่ามกลางยุคแห่งการแข่งขันทางตลาดที่ดุเดือดนี้ได้

    พูดได้เต็มปากเลยว่าหากธุรกิจ SME มีระบบ CRM ที่ดี มีฟีเจอร์และฟังก์ชันครบครัน ก็สามารถยกระดับธุรกิจเล็กๆ ให้เติบโตอย่างมั่นคง แข่งขันในตลาดได้อย่างมีชั้นเชิง และมีโอกาสก้าวขึ้นเป็นผู้นำในตลาดของตัวเองได้ไม่ยาก เพราะ CRM ที่ดีไม่ใช่แค่เครื่องมือจัดเก็บข้อมูล แต่คือหัวใจสำคัญของการเข้าใจลูกค้า สื่อสารได้ตรงจุด และสร้างประสบการณ์ที่ประทับใจอย่างยั่งยืน

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

      Yearly Budget

      How do you know us?

      Email Marketing ตัวอย่าง 5 เทคนิคจากแบรนด์ดังระดับโลก

      Connect X ขอเผยเคล็ดลับกับ 5 เทคนิค Email Marketing ตัวอย่าง ของแบรนด์ดังระดับโลกที่รับรองว่าเวิร์คสุดๆ ให้เหล่านักธุรกิจนำไปปรับใช้ได้ง่ายๆ

      หากพูดถึง Digital Marketing หลายคนอาจนึกถึงการตลาดบนสื่อโซเชียล (Social Media Marketing) มาเป็นอันดับแรกๆ เพราะเป็นช่องทางที่สามารถเพิ่มโอกาสในการซื้อขายและขยายตลาดได้สะดวกและเห็นผลไวที่สุด จึงเกิดคำถามว่า “แล้วการตลาดรูปแบบอื่น อย่าง Email Marketing ยังเหมาะสมกับการตลาดในยุคปัจจุบันอยู่หรือไม่?” เพราะหลายคนเชื่อว่าเป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมน้อยกว่าสื่อโซเชียล แต่รู้หรือไม่ว่า แบรนด์ดังระดับโลกยังคงใช้ Email Marketing ในการกระตุ้นยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้เป็นอย่างดี

      Email Marketing ยังเป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพอย่างมาก เพราะข้อดีของ Email Marketing คือสามารถทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized)  ที่ช่วยสร้างความรู้สึกพิเศษหรือ Customer Journey ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า ซึ่งธุรกิจสามารถส่งข้อความหรือข้อมูลข่าวสารซ้ำๆ (Auto Resend) ได้อย่างไม่จำกัด และส่งไปถึงเป้าหมายได้ 100% นอกจากนี้ ยังสามารถต่อยอดไปยังการตลาดรูปแบบอื่นๆ ได้ง่ายดาย พร้อมผสานการทำงานกับระบบอื่นๆ อย่างระบบ CRM, Marketing Automation และ CDP (Customer Data Platform) ได้อีกด้วย

      วันนี้ Connect X จะมาแนะนำ Email Marketing ตัวอย่างใช้ยังอย่างไรให้มีประสิทธิภาพสูงสุดด้วย 5 เทคนิคที่แบรนด์ระดับโลกใช้แล้วเวิร์คสุดๆ

      Email Marketing คืออะไร?

      Email Marketing หรือ “การตลาดผ่านอีเมล” นั้นมีความหมายที่ตรงตัว เป็นการตลาดออนไลน์รูปแบบหนึ่งที่ใช้อีเมลเป็นช่องทางในการสื่อสาร โดยจะเน้นการส่งข้อมูลข่าวสาร แนะนำสินค้าและโปรโมชัน ประกาศสำคัญต่างๆ ของแบรนด์ เพื่อเป็นการเพิ่มยอด Engagement สู่เว็บไซต์หรือขยายช่องทางการขายหลักของร้านได้ กล่าวคือจุดประสงค์ในการทำ Email Marketing คือการกระตุ้นยอดขายให้ลูกค้ากลับมาซื้ออีกครั้ง (Remarketing)

      นอกเหนือจากนั้น Email Marketing ยังสามารถใช้สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับกลุ่มลูกค้า ช่วยรักษากลุ่มลูกค้าเก่า พร้อมกับมัดใจลูกค้ารายใหม่ได้ง่ายๆ โดยผู้ใช้งานสามารถเลือกกลุ่มฐานลูกค้าที่ต้องการส่งอีเมลได้ ตลอดจนการทำการตลาดแบบรายบุคคล (Personalized Marketing) เพื่อแสดงความใส่ใจต่อลูกค้าแต่ละคนได้อีกด้วย

      รวม 5 เทคนิค Email Marketing ตัวอย่าง ที่แบรนด์ระดับโลกใช้แล้วเวิร์คสุดๆ

      1. สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ

      แบรนด์ต้องไม่ปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้าเกิดระยะห่างขึ้น ซึ่งแบรนด์ชื่อดังอย่าง Adidas ได้มอบการบริการด้วยความใส่ใจในทุกเวลาไม่ว่าจะเป็น Welcome Email สำหรับผู้ติดตามคนใหม่ๆ โดยจะส่งอีเมลให้ลูกค้าสามารถปรับแต่งผลิตภัณฑ์ที่สนใจได้ พร้อมสอบถามความพึงพอใจหลังซื้อสินค้า และส่งโปรโมชันพิเศษเฉพาะของสาขาที่ลูกค้าลงทะเบียนเอาไว้ นอกจากนี้ Adidas ยังมอบความรู้สึกพิเศษให้กับลูกค้า ด้วยการมอบโอกาสการเป็นเจ้าของรองเท้าแบบปรับแต่งได้ด้วยตัวเอง จากการสะสมแต้มเพื่อปลดล็อกสิทธิ์ดังกล่าว

      2. สร้างความดึงดูดด้วยวิดีโอหรือภาพเคลื่อนไหว

      เพราะอีเมลจะมีแค่ตัวหนังสือหรือภาพธรรมดาๆ ไม่ได้อีกต่อไป เนื่องจากไม่อาจดึงความสนใจลูกค้าได้อย่างเต็มที่ ดังนั้น ลองดูตัวอย่างเทคนิคการใช้ Email Marketing ­ของแบรนด์คอมพิวเตอร์ชั้นนำอย่าง DELL เพราะไม่เพียงแค่แนบไฟล์ทั่วไปๆ เท่านั้น แต่ DELL ยังได้แนบภาพ .GIF ที่มีการเคลื่อนไหว สื่อถึงภาพลักษณ์ของแบรนด์และผลิตภัณฑ์ ด้วยภาพคอมพิวเตอร์ค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นแท็บเล็ต ซึ่งแคมเปญดังกล่าวช่วยเพิ่มยอดขายให้กับ DELL ได้ถึง 109% เลยทีเดียว ผลลัพธ์นี่พิสูจน์ได้ว่า การใช้ภาพเคลื่อนไหวหรือวิดีโอช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงข้อความที่แบรนด์ต้องการจะสื่อสาร เพิ่มความน่าดึงดูดได้อย่างรวดเร็ว และช่วยเพิ่ม Click Rate ที่นำไปสู่โอกาสในการซื้อสินค้าได้อย่างเห็นผล

      3. ชนะใจด้วยการออกแบบที่แปลกใหม่อย่างโดนใจ

      ปฏิเสธไม่ได้ว่าดีไซน์สวยๆ หรือสินค้าที่สะดุดตาสามารถช่วยดึงความสนใจของผู้บริโภคได้มาก แบรนด์ Dropbox ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ชื่อดัง ก็ได้ใช้การออกแบบด้วยตัวการวาดการ์ตูนน่ารักๆ พร้อมข้อความที่สื่อสารไปถึงสมาชิกได้อย่างโดนใจ เช่น

      “Recently your Dropbox has been feeling kind of lonely :-(”

      แปลเป็นไทยได้ว่า “ช่วงนี้ Dropbox ­ของคุณกำลังรู้สึกเหงามากเลย” พร้อมภาพกล่องที่ว่างเปล่าที่ให้ความรู้สึกเศร้าๆ และภาพกล่องที่สดใสภายในมีเอกสารอยู่ เป็นต้น ซึ่งการออกแบบที่แปลกใหม่นี้ นอกจากจะสร้างความประทับใจให้กับสมาชิกแล้ว ยังสามารถช่วยกระตุ้นให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ในแนวทางที่ดี และสามารถปรับเปลี่ยนการตัดสินใจให้ใช้บริการได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย

      4. สร้างประสบการณ์แบบ Personalize อย่างเหนือชั้น

      จุดเด่นของ Email Marketing คือสามารถทำการตลาดแบบ Personalize ได้ ซึ่งไม่เพียงแต่การใส่ชื่อของลูกค้าเข้าไปเท่านั้น แต่การลงรายละเอียดเฉพาะรายบุคคล จะช่วยสร้างความรู้สึกพิเศษได้มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับ Spotify แอปพลิเคชันสตรีมมิ่งเพลงชื่อดัง ที่ในทุกสิ้นปีจะมีการส่งอีเมลสรุปสถิติการใช้งานของผู้ใช้งาน รวมถึงได้มีการรวบรวม Playlist เพลงที่ผู้ใช้งานฟังมากที่สุดประจำปีนั้นๆ ซึ่งแคมเปญดังกล่าวได้รับผลตอบรับและสร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้งานได้เป็นอย่างมากเลยทีเดียว

      5. มอบการบริการสุดพิเศษที่ต่อยอดจากผลิตภัณฑ์

      ธุรกิจการให้บริการที่พักชื่อดังอย่าง Airbnb ได้มอบบริการสุดพิเศษภายหลังจากที่ลูกค้าได้จองที่พัก หรือระบุตำแหน่งที่ตั้งของเมืองที่ต้องการไปเที่ยว ด้วยการส่งอีเมลแนะนำสถานที่ท่องเที่ยวเพิ่มเติมในเมืองนั้นๆ ให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นการต่อยอดจากผลิตภัณฑ์ ผสมผสานกับการแนะนำข้อมูลด้วยความใส่ใจต่อลูกค้าแบบรายบุคคล รวมทั้งหากลูกค้าได้เลือก Keyword ที่ต้องการ เช่น เลือกคำว่าโรแมนติก อีเมลที่คัดสรรสถานที่ท่องเที่ยวสุดโรแมนติกก็ได้ถูกส่งให้ลูกค้าอย่างรวดเร็ว แคมเปญดังกล่าวทำให้ Airbnb ได้รับความเชื่อใจและเป็นที่นิยมที่เหล่าผู้ใช้บริการเลือกใช้จนกลายเป็นที่รู้จักเป็นวงกว้าง

      สำหรับ 5 เทคนิค Email Marketing ตัวอย่างที่ได้รวบรวมมาจากแบรนด์ดังทั่วโลกนี้ หากธุรกิจของคุณได้นำไปปรับใช้ ก็จะสามารถดึงจุดเด่นที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ไม่ยาก พร้อมโน้มน้าวให้กลับมาซื้อซ้ำหรือใช้บริการต่อเนื่องได้แน่นอน

      หากใครกำลังมองหาว่าจะเริ่มต้นใช้งาน Email Marketing จากตรงไหน? ต้องมีเครื่องมืออะไร? Connect X มีบริการ CDP หรือ Customer Data Platform โปรแกรมที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน พร้อมตัวช่วยที่นักการตลาดไม่ควรพลาด ช่วยให้สามารถจัดการข้อมูลเพื่อจัดทำแคมเปญ Email Marketing ส่งอีเมลไปถึงลูกค้าได้แบบรายบุคคล อีกทั้งยังสามารถตั้งค่า Customer Journey แบบ Cross Channel ได้ ทำให้สามารถส่งโปรโมชันผ่านช่องทางอื่นได้พร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็น SMS, LINE หรือ Facebook เป็นต้น และนอกจากนี้ยังคงมีฟีเจอร์สุดล้ำมากมายที่เกิดมาเพื่อช่วยนักการตลาดยุคดิจิทัล

      ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

      *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

        Yearly Budget

        How do you know us?

        มารู้จักกับ Marketing Automation Tool ว่าคืออะไร และดีอย่างไร?

        marketing-automation-tool

        ในช่วงสองถึงสามปีที่ผ่านมา หลายคนอาจจะเคยเห็นคำว่า “Marketing Automation” ผ่านตากันมาบ้าง ไม่ว่าจะในบทความการตลาด การสัมมนา หรือแม้แต่ในแพลตฟอร์มที่เราใช้งานอยู่ทุกวัน คำนี้ไม่ได้เป็นแค่กระแสชั่วคราว แต่กลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักการตลาดดิจิทัลและเจ้าของธุรกิจอีคอมเมิร์ซทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น วันนี้ ConnectX พาไปรู้จัก Marketing Automation Tool ระบบช่วยทำการตลาดแบบอัตโนมัติ

        Marketing Automation Tool คืออะไร และทำไมถึงสำคัญในยุคนี้

        ในยุคที่ธุรกิจต้องแข่งขันกันบนความเร็ว ความแม่นยำ และประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า Marketing Automation หรือระบบอัตโนมัติทางการตลาด กลายเป็นเครื่องมือที่แทบทุกแบรนด์ควรมีไว้ในมือ เพราะมันคือผู้ช่วยที่คอยทำงานด้านการตลาดซ้ำๆ ให้เราแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมลแจ้งโปรโมชั่น การแจ้งเตือนผ่าน SMS หรือการแสดงข้อความอัตโนมัติในแชทของ Facebook หรือ LINE OA ทุกอย่างถูกตั้งค่าไว้ล่วงหน้าเพื่อทำงานแทนเราในเวลาที่เหมาะสมที่สุด

        เครื่องมือนี้ไม่ได้แค่ “ช่วยประหยัดเวลา” เท่านั้น แต่มันยังช่วยลดต้นทุนของทีมการตลาด เพิ่มประสิทธิภาพของแคมเปญ และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างแบรนด์กับลูกค้า เพราะสามารถสื่อสารแบบตรงจุด ตรงกลุ่ม และตรงช่วงเวลา เรียกได้ว่าเป็นการ “ยิงตรงใจ” โดยไม่ต้องเสียเวลาหรือพลังงานซ้ำๆ กับงานเดิมๆ นั่นเอง

        อีกหนึ่งเหตุผลที่ Marketing Automation สำคัญมากคือ การทำงานร่วมกับฐานข้อมูล (CRM หรือ CDP) ที่สามารถรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้า และนำมาวิเคราะห์เพื่อสร้างแคมเปญแบบเฉพาะเจาะจง เช่น หากลูกค้ารายหนึ่งชอบซื้อสินค้าประเภทสกินแคร์ในช่วงปลายเดือน ระบบก็สามารถตั้งเวลาโปรโมชันเฉพาะสินค้าสกินแคร์ในช่วงเวลานั้นให้กับลูกค้าคนนี้โดยเฉพาะโดยไม่ต้องส่งแบบเดียวกันให้กับทุกคน

        Marketing Automation มีหน้าตาเป็นอย่างไร และทำงานอย่างไร ?

        การใช้งาน Marketing Automation เริ่มต้นจากการ “ตั้งค่า Flow” หรือการกำหนดเส้นทางการทำงานที่เราต้องการให้ระบบดำเนินไปตามลำดับขั้นอย่างอัตโนมัติ ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น หากมีลูกค้าใหม่กรอกแบบฟอร์มสมัครสมาชิกในเว็บไซต์ ระบบสามารถส่งอีเมลต้อนรับทันที และตั้งค่าให้อีก 7 วันถัดไปส่งอีเมลเสนอส่วนลดพิเศษ พร้อมทั้งอีก 14 วันถัดไปส่งข้อความผ่าน LINE OA เพื่อสอบถามความพึงพอใจ หรือเสนอข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติม—all แบบอัตโนมัติ โดยที่ไม่ต้องทำเองทีละรายการให้เสียเวลา

        ระบบนี้จะประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ ได้แก่:

        • Trigger: จุดเริ่มต้นของกระบวนการ เช่น เมื่อลูกค้าลงทะเบียน

        • Action: สิ่งที่ระบบจะดำเนินการ เช่น ส่งอีเมล, SMS หรือข้อความผ่าน LINE OA

        • Condition/Filter: เงื่อนไขหรือการคัดกรอง เช่น เลือกเฉพาะลูกค้าที่เคยซื้อสินค้า A

        • Wait: การกำหนดเวลารอ เช่น รอ 3 วันก่อนดำเนินการถัดไป

        ในระบบที่มีความสามารถสูง ผู้ใช้งานสามารถตั้งค่าทั้งชุดนี้ให้เป็นเส้นทางหรือ Marketing Automation Journey ซึ่งมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับแต่งให้เหมาะกับเป้าหมายทางการตลาดได้ทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะต้องการส่งข้อความเพียงครั้งเดียว หรือสร้างแคมเปญที่ต่อเนื่องกันเป็นสัปดาห์หรือเดือน โดยช่องทางที่สามารถใช้ได้มีทั้ง Email, SMS, Facebook Messenger และ LINE OA ที่ตอบโจทย์ลูกค้าแต่ละกลุ่มได้อย่างแม่นยำ

        จุดเด่นอีกอย่างของระบบนี้คือความง่ายในการตั้งค่า แม้ผู้ใช้งานจะไม่มีพื้นฐานด้านเทคนิคมาก่อนก็สามารถเรียนรู้ได้ในเวลาไม่นาน ด้วยหน้าตาการใช้งานที่เป็นแบบ Visual หรือ “ลาก-วาง” ผู้ใช้สามารถจัดลำดับขั้นตอนต่างๆ ได้เองโดยตรง เช่น หากเราต้องการส่ง SMS ไปหาลูกค้า 200 คนในตอนนี้ และรอจนถึงเดือนหน้าค่อยตามด้วยข้อความผ่าน LINE OA ก็สามารถใช้ฟังก์ชัน “Wait until” เพื่อให้ระบบหยุดรอในช่วงเวลาที่กำหนดก่อนดำเนินการต่อได้ทันที

        ด้วยความยืดหยุ่นสูงและประหยัดเวลาแบบนี้เอง ทำให้ Marketing Automation กลายเป็นเครื่องมือยอดนิยมในหมู่นักการตลาดยุคใหม่ ที่ต้องรับมือกับงานซ้ำซากแต่ยังต้องการความแม่นยำและประสิทธิภาพในการสื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

        https://ortto.com/blog/what-is-marketing-automation/

        Marketing Automation กับผู้บริโภค

        จุดเด่นที่ทำให้ Marketing Automation แตกต่างจากการทำการตลาดแบบเดิมๆ คือการสร้าง “ประสบการณ์เฉพาะบุคคล” หรือที่เรียกว่า Personalized Marketing ซึ่งเกิดจากการที่ระบบสามารถวิเคราะห์และแบ่งกลุ่มลูกค้าได้อย่างละเอียด เรียกว่า Segmentation เช่น แบ่งกลุ่มตามเพศ อายุ ความสนใจ หรือพฤติกรรมการซื้อ

        ตัวอย่างเช่น หากเรามีลูกค้าช่วงอายุ 18-24 ปี ที่ชื่นชอบสินค้าแฟชั่น เราก็สามารถส่งโปรโมชันหรือคอนเทนต์เฉพาะด้านแฟชั่นไปยังกลุ่มนี้เท่านั้น ขณะที่ลูกค้าอายุ 30+ ที่ชอบอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ก็จะได้รับข้อเสนอที่แตกต่างกันออกไป ส่งผลให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและใส่ใจในสิ่งที่เขาต้องการ ไม่ใช่แค่ส่งข้อความโฆษณาแบบเดียวให้ทุกคน

        นอกจากนี้ Marketing Automation ยังช่วยให้เราวัดผลได้ง่ายขึ้น เช่น เราสามารถดูว่าอีเมลที่ส่งไปมีอัตราการเปิดเท่าไร มีคนกดลิงก์หรือไม่ หรือแคมเปญที่ส่งผ่าน LINE OA ได้ผลตอบรับมากน้อยแค่ไหน ทำให้เราปรับปรุงกลยุทธ์ได้แบบเรียลไทม์ และสร้างแคมเปญที่ดีขึ้นในรอบถัดไป

        ทิ้งท้าย

        Marketing Automation ไม่ได้เป็นแค่เทคโนโลยีใหม่ที่น่าสนใจ แต่เป็นเครื่องมือที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจในยุคที่ลูกค้าคาดหวังความรวดเร็วและแม่นยำจากทุกการสื่อสาร สำหรับแบรนด์หรือเจ้าของกิจการที่ต้องการลดภาระงาน เพิ่มยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า ระบบนี้คือคำตอบ

        หากคุณกำลังมองหาแนวทางเริ่มต้นหรือยังไม่แน่ใจว่าจะใช้ Marketing Automation อย่างไรดี ทีมงานของ ConnectX พร้อมให้คำปรึกษาฟรี พร้อมมอบส่วนลดพิเศษสำหรับผู้ที่อยากเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงการตลาดให้อัตโนมัติมากขึ้นตั้งแต่วันนี้

        ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

        *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

          Yearly Budget

          How do you know us?

          Marketing Automation มีอะไรบ้าง ? เปิดกรณีศึกษาจากแบรนด์ดังระดับโลก

          Marketing-Automation-มีอะไรบ้าง

          Marketing Automation มีอะไรบ้าง ? เปิดกรณีศึกษาจากแบรนด์ดังระดับโลก

          Connect X ขอนำเสนอเคล็ดลับเด็ดจาก 3 แบรนด์ระดับโลกที่ใช้ Marketing Automation ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นแนวทางให้ธุรกิจไทยสามารถนำไปปรับใช้ เพิ่มยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างยั่งยืน

          ในยุคที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นหนึ่งในปัจจัยพื้นฐานของชีวิต ผู้คนสามารถเชื่อมต่อถึงกันได้จากทุกมุมโลก ภาคธุรกิจเองก็ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน การแข่งขันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในพื้นที่เดียวหรือประเทศเดียวอีกต่อไป แต่กลายเป็นการแข่งขันในระดับโลก ลูกค้าในวันนี้มีทางเลือกมากมาย และสามารถเข้าถึงสินค้าหรือบริการจากที่ไหนก็ได้ ทำให้ธุรกิจต้องหาวิธีเข้าถึงและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นระบบมากขึ้น

          หนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความได้เปรียบอย่างชัดเจนคือ “การตลาดแบบอัตโนมัติ” หรือ Marketing Automation ซึ่งสามารถเปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายให้กลายเป็นลูกค้าตัวจริง และส่งมอบประสบการณ์ที่ตอบโจทย์แบบเฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ

          Marketing Automation มีอะไรบ้าง และทำงานอย่างไร?

          Marketing Automation คือการใช้ซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มเข้ามาช่วยบริหารกิจกรรมทางการตลาดให้เป็นระบบและแม่นยำมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลลูกค้า การวิเคราะห์พฤติกรรม ไปจนถึงการส่งแคมเปญหรือข้อเสนอให้ลูกค้าแต่ละรายในช่วงเวลาที่เหมาะสม ผ่านช่องทางต่างๆ เช่น Email, SMS, Social Media หรือเว็บไซต์

          แพลตฟอร์ม Marketing Automation ส่วนใหญ่มักมาพร้อมระบบเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากพฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า เช่น การเข้าชมหน้าเว็บไซต์ การคลิกดูสินค้า การเพิ่มของลงตะกร้า หรือการสมัครรับข่าวสาร จากข้อมูลเหล่านี้ ระบบจะคำนวณเป็นคะแนนที่เรียกว่า Lead Score เพื่อประเมินความสนใจของลูกค้าในแต่ละราย

          เมื่อคะแนนถึงเกณฑ์ ระบบจะเริ่มทำงานโดยอัตโนมัติ เช่น การส่งอีเมลพร้อมโปรโมชันเฉพาะบุคคล การนำเสนอสินค้าแนะนำ หรือแม้แต่การทักแชทแบบ Real-time เพื่อปิดการขาย ซึ่งเป็นตัวอย่างของการทำ Personalized Marketing ที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการเปลี่ยน “ผู้สนใจ” ให้กลายเป็น “ลูกค้า” ได้มากขึ้น และทำให้ประสบการณ์ของผู้บริโภคในแต่ละขั้นตอนมีความราบรื่นและตรงใจมากยิ่งขึ้น

          เคล็ดลับ Marketing Automation จากแบรนด์ดังระดับโลก

          เมื่อรู้แล้วว่า Marketing Automation คืออะไร ถ้าอย่างนั้นขอพาเจ้าของแบรนด์ทุกท่านมาดูกันว่าแบรนด์ยอดนิยมระดับโลกใช้งานระบบนี้เพื่อเอาใจลูกค้าได้อย่างไรบ้าง โดย Connect X ได้คัดมาให้แล้ว 3 แบรนด์ดัง ได้แก่

          1. Netflix

          กรณีศึกษา Marketing Automation ที่ดีแบรนด์หนึ่งคือ Netflix เว็บสตรีมมิ่งที่มียอดผู้ใช้งานเป็นอันดับ 1 ของโลก ที่พัฒนาจากร้านเช่าวิดีโอเล็กๆ จนกลายเป็นแอปฯ ติดมือถือของคนทั่วโลก ตัวช่วยสำคัญให้ Netflix สร้างความประทับใจให้กับผู้ใช้งานในทุกวันนี้ได้ คงหนีไม่พ้น Marketing Automation ที่ช่วยเก็บข้อมูล วิเคราะห์ และประมวลผล ไปสู่การสร้างเนื้อหาแบบเฉพาะเจาะจงแบบรายบุคคล (Personalized Content) ได้เป็นอย่างดี เคล็ดลับของ Netflix คือ

          • การสร้างประสบการณ์เหนือระดับ Netflix ได้สร้างประสบการณ์ที่มีเฉพาะ “คุณ” เท่านั้น ด้วยการใช้ Marketing Automation รวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลด้วย AI ขั้นสูง มีการใช้อัลกอริทึมที่ปรับแต่งมาอย่างดี เพื่อให้ผู้ชมได้รับประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากที่อื่น สังเกตเห็นได้จากฟีเจอร์แนะนำหนังที่ผู้ชมน่าจะชอบ ซึ่งเป็นสิ่งที่สร้างความประทับใจให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก เพราะมีความแม่นยำสูงและตรงใจ โดยระบบนี้ส่งผลให้มีการรับชมเนื้อหามากถึง 80% บนแพลตฟอร์ม การสร้างประสบการณ์แบบเฉพาะแบบรายบุคคลอย่างละเอียดรูปแบบนี้ เกิดขึ้นจากการสร้างโปรไฟล์โดยการให้ผู้ชมเลือกประเภทของความชอบ ที่หลากหลาย ด้วยตัวกรองที่มีความยืดหยุ่นสูง เมื่อผู้ชมเลือกประเภทของหนังและตัวอย่างหนังที่ชอบ จะทำให้มีการจัดประเภทของความชอบที่เหมาะสมได้อย่างตรงจุด นอกจากนี้ทุกกิจกรรมไม่ว่าจะเป็นประวัติการเข้าชม รายการที่ชื่นชอบ และการตั้งค่าแจ้งเตือน ทั้งหมดจะถูกนำมาประมวลผล เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับผู้ชมที่ดียิ่งขึ้น
          • มีปฏิสัมพันธ์กับผู้ชมด้วย Email Marketing เคล็ดไม่ลับที่เหล่าแบรนด์ดังใช้กันอย่างแพร่หลาย และยังคงได้ผลดีคือการใช้ Email Marketing ไม่ว่าจะเป็นขั้นตอนตั้งแต่การสมัครสมาชิกเสร็จสิ้น ด้วยการส่งอีเมลต้อนรับ หลังจากนั้น Netflix จะทำการจัดแบ่งกลุ่มของผู้ชม แล้วจึงส่งเนื้อหาที่แนะนำและข้อมูลข่าวสารต่างๆ ไปให้ โดยอ้างอิงจากความชอบของผู้ชมแต่ละบุคคล นอกจากนี้ยังมีการส่งเนื้อหาแนะนำที่ดึงดูดผู้คนด้วยเนื้อหาที่ติดเทรนด์ของภายในประเทศและติดเทรนด์ทั่วโลก รวมถึงการแนะนำเนื้อหาที่สอดคล้องกับเทศกาลต่างๆ เช่น คริสต์มาส ฮาโลวีน วาเลนไทน์ และอื่นๆ ซึ่งวิธีนี้ช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมที่ห่างหายไปกลับมารับชมใหม่ได้อย่างเห็นผล

          2. Panasonic

          แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง Panasonic ที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ไม่เพียงแต่การมียอดขายจำนวนมากจากรูปแบบ B2C (Business-to-Customer) เท่านั้น แต่ยังมียอดขายจากบริษัทกว่า 300,000 แห่งทั่วโลกในรูปแบบ B2B (Business-to-Business) อีกด้วย ซึ่ง Panasonic ก็ได้ใช้กลยุทธ์ Marketing Automation โดยเริ่มจากสาขาในฝั่งของยุโรปและนำไปปรับใช้กับสาขาทั่วโลก ซึ่งผลจากการใช้ Marketing Automation ทำให้มียอดขายเพิ่มขึ้นจาก 10% ไปถึง 26% และยังมีการประสานงานกับระบบ CRM (Customer Relationship Management) อีกทั้งยังเพิ่มจำนวนแคมเปญได้อีก 5 เท่า ซึ่งสิ่งที่ Panasonic ทำได้เป็นอย่างดี ได้แก่

          • การติดต่ออย่างเหมาะสมและถูกจังหวะ การที่มีระบบ Marketing Automation นั้นจะช่วยให้ธุรกิจส่งข้อมูลได้อย่างไม่จำกัดและยังสามารถส่งได้ตลอดเวลา แต่หากใช้เครื่องมือนี้อย่างไม่เหมาะสมด้วยการส่งข้อมูลจำนวนมากให้กับคู่ค้าหรือลูกค้าบ่อยเกินไป อาจส่งผลเสียต่อแบรนด์ได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ทีมการตลาดของ Panasonic จึงมีการควบคุมการติดต่อสื่อสารให้ไม่เกิน 3 ครั้งต่อไตรมาส โดยมีฐานข้อมูลที่มีความละเอียดที่แบ่งตามภาษา ประเทศ ประเภทธุรกิจ และอื่นๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมกับสถานการณ์แก่ลูกค้า ซึ่งถือเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีงามกับลูกค้าได้รูปแบบหนึ่ง
          • เพิ่มโอกาสใหม่ๆ ด้วยช่องทางที่หลากหลาย จากรูปแบบการทำงานของระบบ Marketing Automation ทำให้แบรนด์สามารถเพิ่มช่องทางการสื่อสารได้ง่าย พร้อมการจัดการที่เป็นระบบ ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้นตามด้วยการเพิ่ม Lead ของระบบ Marketing Automation ถึงแม้ Panasonic จะเป็นแบรนด์ระดับโลกที่มียอดขายสูงอยู่แล้ว แต่ยังมีการปรับตัวเข้าสู่ยุคสมัยอยู่ตลอด ไม่เพียงแค่การมีแพลตฟอร์มหรือเว็บไซต์ของตัวเองเท่านั้น ยังมีการเพิ่มช่องทางบนสื่อสังคมออนไลน์อื่นๆ อีกด้วย ตัวอย่างที่ดีของ Panasonic คือ หลังจากเริ่มโปรโมทแบรนด์ผ่าน LinkedIn เพียง 18 เดือน มีผู้ติดตามถึง 3,000 คน และในแคมเปญที่มีการเผยแพร่จำนวนหนึ่งมีอัตราการมีส่วนร่วมสูงถึง 5% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของแพลตฟอร์มปกติ 2 – 3% เลยทีเดียว

          3. McAfee

          แน่นอนว่าหลายๆ คนคงเคยได้ยินชื่อหรือรู้จักบริษัทซอฟต์แวร์ป้องกันและกำจัดไวรัสบนคอมพิวเตอร์ชื่อดังอย่าง McAfee อยู่แล้ว ซึ่งปัจจุบันยังได้ให้บริการด้านความปลอดภัยของเครือข่ายและระบบคอมพิวเตอร์ที่ได้รับการยอมรับจากผู้ใช้งานทั่วโลก บริษัท McAfee มีการใช้ Marketing Automation เพื่อรวบรวมคนที่มีศักยภาพในการเป็นลูกค้า (Lead) และเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมใช้เพื่อปรับปรุงการให้บริการที่ดียิ่งขึ้น จึงทำให้ McAfee มีอัตราของลูกค้าเก่าต่ออายุการใช้งานเพิ่มขึ้น 50% รวมทั้งยังได้ลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นอีก 50% โดยเคล็ดลับของ McAfee คือ

          • กำหนด Lead Score อย่างเหนือชั้น จุดแข็งของ Marketing Automation คือระบบ Lead Scoring แต่ปัญหาคือเมื่อมีการเพิ่ม Lead ได้จำนวนมากแล้ว แต่ Lead เหล่านั้นอาจไม่มีคุณภาพมากพอ กล่าวคือ Lead ไม่ได้พัฒนาสู่การเป็นลูกค้าที่มีการซื้อสินค้าและปิดการขายได้จริง ส่งผลให้เกิดปัญหาระหว่างทีมการตลาดและทีมขายเป็นอย่างมาก แต่ McAfee ได้ทำการแก้ปัญหาโดยการยกระดับเรื่องการจัดแบ่งหมวดหมู่ลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมาย เพื่อติดตามและดูแล รวมถึงเพื่อให้คะแนนแบบรายบุคคล ซึ่งการจัดหมวดหมู่ Lead เพื่อติดตามและดูแลรายบุคคลนี้จะช่วยสร้างความประทับใจ และให้บริการที่ครอบคลุมได้มากกว่ารูปแบบเดิม ถึงแม้ว่าจำนวน Lead ในภาพรวมจะลดลงไป แต่ McAfee ก็ได้ Lead ที่มีคุณภาพมากขึ้นแทน จนปิดการขายได้สำเร็จ โดยมีอัตรา Conversion Rate มากขึ้นเป็น 4 เท่า กระบวนการดังกล่าวช่วยให้ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น และลดปัญหาที่เกิดตามมาได้อีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยให้สามารถให้คำปรึกษาที่เหมาะสม และมีการบริการที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้น ทั้งยังช่วยในด้านการจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
          • รวมทุกอย่างไว้ในแพลตฟอร์มเดียว ปัจจุบันนี้เครื่องมือทางการตลาดที่เข้ามาช่วยธุรกิจในด้านต่างๆ นั้นมีจำนวนมาก หากภายในบริษัทหนึ่งมีการใช้งานแพลตฟอร์มที่มีความแตกต่างกันมากกว่า 1 แพลตฟอร์ม จะสร้างความสับสน ส่งผลให้เกิดความล่าช้าและเกิดความผิดพลาดต่อภาพรวมของธุรกิจได้ ซึ่ง McAfee ก็เคยพบปัญหาเหล่านั้น ทำให้เมื่อเกิดปัญหาขึ้น ต้องใช้เวลาถึง 3 วัน จึงจะรวบรวมข้อมูลทั้งหมดและพร้อมแก้ไขปัญหาได้ แต่เมื่อ McAfee เลือกใช้แพลตฟอร์มที่มี Marketing Automation ที่มีฟีเจอร์หลากหลายและให้พนักงานทุกแผนกใช้แพลตฟอร์มเดียวกันทั้งหมด ทำให้สามารถเชื่อมโยงข้อมูลและประสานงานกันได้อย่างสะดวกรวดเร็วมากขึ้น แพลตฟอร์มดังกล่าวได้ช่วยเก็บรวบรวม ประมวล และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกอย่างเป็นระบบ สามารถเข้าถึงได้ง่าย และมี UI (User Interface) ที่เป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน เพื่อให้พนักงานทุกคนสามารถทำงานได้เต็มที่ นอกจากนี้แพลตฟอร์มดังกล่าวยังช่วยให้ฝ่ายขายสามารถติดต่อกับผู้ใช้งานได้โดยตรงอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้คำแนะนำและการบริการที่เหนือระดับ

          จากที่ Connect X ได้แนะนำเคล็ดลับต่างๆ จาก 3 แบรนด์ดัง จะเห็นได้ว่าธุรกิจนั้นควรใช้ Marketing Automation ให้เหมาะสมกับรูปแบบและวิธีทำงาน และพร้อมที่จะทดลองและก้าวข้ามสิ่งใหม่ๆ อยู่เสมอ อีกทั้งยังมีจุดมุ่งหมายในการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ประสบความสำเร็จได้ สำหรับ Marketing Automation นั้นเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่ได้รับความนิยม จนทำให้หลายๆ องค์กรนำมาใช้งานกันอย่างแพร่หลาย หากลองนำเคล็ดลับต่างๆ ไปปรับใช้รับรองว่าจะสามารถเพิ่มประสิทธิภาพให้กับการทำงานในปัจจุบัน และมุ่งสู่การเป็นผู้นำทางการตลาดได้อย่างแน่นอน

          สำหรับใครที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มที่มี Marketing Automation ในตัว Connect X คือแพลตฟอร์ม Customer Data Platform (CDP) ที่รวมฟีเจอร์เด็ดๆ ไว้ในที่เดียว พร้อมการใช้งานที่ง่ายเพียงปลายนิ้ว พร้อมช่วยเหลือธุรกิจของคุณให้ Connect เข้าหาลูกค้าได้แบบไร้รอยต่อ

          ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

          *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

            Yearly Budget

            How do you know us?

            ที่สุดของ Marketing Platform ที่นักการตลาดยุคนี้ขาดไม่ได้

            Marketing-Platform

            Marketing Platform อาวุธลับของนักการตลาดยุคใหม่ ที่มากกว่าแค่ส่งข้อความ

            ในปี 2025 โลกของการตลาดไม่ได้หมุนรอบแค่การโฆษณาหรือสร้าง Awareness อีกต่อไป แบรนด์ที่อยู่รอดได้ในยุคนี้คือแบรนด์ที่เข้าใจลูกค้า รู้ว่าลูกค้าคือใคร ต้องการอะไร และต้อง “ส่งมอบ” ประสบการณ์ที่ตรงใจที่สุดเท่าที่จะทำได้ นี่คือเหตุผลที่ “Marketing Platform” กลายเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจทุกขนาด ทุกอุตสาหกรรม

            แต่ Platform ที่ดีไม่ได้วัดกันแค่จำนวนฟีเจอร์เท่านั้น ความสามารถในการปรับให้เข้ากับแต่ละแบรนด์ และการเชื่อมต่อทุกมิติของข้อมูลลูกค้าเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ (Seamless) คือมาตรฐานใหม่ที่นักการตลาดต้องมองหา

            ConnectX ในฐานะ Marketing Platform สัญชาติไทยที่เข้าใจตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคเอเชียอย่างลึกซึ้ง จึงออกแบบระบบให้รองรับความต้องการแบบครบวงจร ตั้งแต่การเก็บ วิเคราะห์ ไปจนถึงการสื่อสารกับลูกค้าแบบเรียลไทม์ ด้วยฟีเจอร์ที่ทรงพลัง 4 ด้านนี้

            4 เหตุผลที่นักการตลาดยุคนี้ ต้องมี Connect X

            1. Customer Data Platform (CDP): แพลตฟอร์มที่เก็บข้อมูลแบบ 360°

            โลกการตลาดในปี 2025 ขับเคลื่อนด้วย “ข้อมูล” แต่ไม่ใช่แค่การเก็บข้อมูลให้มากที่สุด แบรนด์ต้องสามารถเข้าใจบริบทของข้อมูลด้วย ซึ่ง CDP ของ ConnectX ช่วยให้คุณ:

            • รวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียว (Unified Profile)

            • วิเคราะห์ Customer Journey อย่างละเอียดตั้งแต่เริ่มรู้จักแบรนด์จนถึงกลายเป็นลูกค้าประจำ

            • เชื่อมต่อกับระบบ POS, CRM, ERP ผ่าน API เพื่อสร้างมุมมองข้อมูลที่ครอบคลุมที่สุด

            ด้วย Global ID ที่เป็นเอกลักษณ์ของ ConnectX แบรนด์จะเห็นลูกค้าในมุมเดียวกันทั่วทั้งองค์กร ไม่ว่าจะเข้ามาผ่านแอป เว็บไซต์ หรือหน้าร้านก็ตาม นี่คือกุญแจสำคัญของการสร้างประสบการณ์แบบไร้รอยต่อที่แท้จริง

            2. Marketing Automation: ส่งแคมเปญแบบรู้ใจ เรียลไทม์ และตรงจังหวะ

            การส่งแคมเปญแบบสุ่มหรือ Mass Marketing กำลังจะกลายเป็นอดีต Marketing Automation ของ ConnectX จึงช่วยให้แบรนด์ทำแคมเปญได้แม่นยำขึ้น ทั้งในด้านเวลา ช่องทาง และเนื้อหา เช่น

            • สร้าง Segment ลูกค้าด้วยเงื่อนไขที่หลากหลาย เช่น พฤติกรรมการคลิก ประวัติการซื้อ ความสนใจ

            • วาง Triggers ที่เหมาะสม เช่น ทิ้งตะกร้า ซื้อซ้ำ แจ้งเตือนโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่ม

            • ส่งแคมเปญผ่าน Email, SMS, Line OA, Facebook Messenger หรือ Push Notification แบบ Cross-channel

            ความสามารถนี้ไม่เพียงช่วยประหยัดเวลา แต่ยังเพิ่ม Engagement และ Conversion ได้จริง โดยไม่ต้องอาศัยทีมงานขนาดใหญ่

            3. Dashboard & Optimization: รู้ทุกแคมเปญแบบเรียลไทม์ วิเคราะห์ ROI ได้ในคลิกเดียว

            หนึ่งในปัญหาหลักของนักการตลาดคือการดูผลลัพธ์แบบแยกกันในแต่ละแพลตฟอร์ม ConnectX แก้ปัญหานี้ด้วย Dashboard เดียวที่สามารถ:

            • Monitor ทุกแคมเปญแบบเรียลไทม์

            • วิเคราะห์รายได้จากแต่ละแคมเปญเปรียบเทียบแบบ Side-by-side

            • สร้าง Dashboard แบบ Customize ให้ตรงกับ KPI ที่แต่ละทีมต้องการ

            เมื่อทุกการตัดสินใจสามารถทำได้จากข้อมูลจริง และมีหลักฐานยืนยันในมือ ทีมการตลาดก็สามารถทำงานได้เร็วขึ้น พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของพฤติกรรมผู้บริโภค

            4. AI-Driven Marketing: ไม่ใช่แค่ช่วยคิด แต่ช่วยแนะนำแผนการตลาดที่ดีที่สุด

            AI ในปี 2025 ไม่ใช่แค่ช่วยวิเคราะห์ แต่ต้องสามารถ “แนะนำ” ได้ด้วย และ AI ของ ConnectX ทำได้มากกว่านั้น:

            • วิเคราะห์แคมเปญที่มีผลตอบแทนสูงสุด

            • แนะนำช่องทางการสื่อสารที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละ Segment

            • ทำนายพฤติกรรมผู้บริโภค เช่น โอกาสในการซื้อซ้ำ การเลิกใช้แบรนด์ หรือความภักดีที่เปลี่ยนไป

            ไม่ว่าคุณจะเป็นนักการตลาดสายวิเคราะห์ หรือสายสร้างสรรค์ AI ของ ConnectX จะเป็นคู่คิดที่ช่วยให้คุณทำงานได้แม่นยำและรวดเร็วยิ่งขึ้น

            Marketing Platform ที่เข้าใจนักการตลาดไทยที่สุด ต้อง ConnectX

            โลกของการตลาดในปี 2025 ไม่มีที่ว่างสำหรับการสื่อสารแบบเดิมอีกต่อไป แบรนด์ที่ต้องการเติบโตต้องมีเครื่องมือที่พร้อมทั้งเก็บ วิเคราะห์ และสื่อสารกับลูกค้าในแบบที่เป็น “มนุษย์” ที่สุดเท่าที่เทคโนโลยีจะทำได้

            ConnectX คือ Marketing Platform ที่รวมทุกอย่างไว้ในที่เดียว พร้อมปรับให้เหมาะกับแต่ละธุรกิจแบบเฉพาะตัว และเชื่อมต่อได้กับทุกช่องทางการตลาดที่คุณใช้ ลองเปิดประสบการณ์ใหม่ของการทำการตลาดด้วย ConnectX แล้วคุณจะรู้ว่า การรู้ใจลูกค้า ไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิด

            ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

            *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

              Yearly Budget

              How do you know us?

              Email Marketing Examples เทคนิคการสร้างยอดขายด้วยเครื่องมือนี้อย่างไร?

              Email Marketing Examples วันนี้เราจะมาดูตัวอย่างการทำ Emails Marketing ให้ประสบความสำเร็จ การมาถึงของโซเชียลมีเดียและแพลตฟอร์มสื่อสารต่างๆ อาจทำให้หลายท่านสงสัยว่า Email Marketing ยังจำเป็นต่อการเข้าถึงลูกค้าหรือไม่? Connect X จะมาตอบคำถามนั้นให้ทุกท่านกันครับ การตลาดดิจิทัลในปัจจุบันมีวิธีการใช้งานและเครื่องมือการเข้าถึงที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณาผ่าน Google Ads, การทำ SEM (Search Engine Marketing) หรือแม้กระทั่ง Social Media Marketing ที่ได้รับความนิยมในหมู่ธุรกิจมากขึ้นทุกวัน แต่อย่างไรก็ตามยังมีอีกเครื่องมือหนึ่งที่มักถูกมองข้ามก็คือ Email Marketing 

              Email Marketing ยังสำคัญอยู่ไหม?

              Email นั้นได้กำเนิดมาตั้งแต่ปี 1971 ปัจจุบันก็มีอายุ 50 ปีแล้วครับ ซึ่งหลายๆ ท่านและเจ้าของธุรกิจบางคนก็อาจคิดว่าอีเมลนั้นได้ตายไปพร้อมกับการมาถึงของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียต่างๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อีเมลยังคงเป็นช่องทางที่ผู้คนนิยมใช้กันอยู่ โดยเฉพาะการติดต่อสื่อสารระหว่างธุรกิจและองค์กร

              จากสถิติของ Mailchimp ได้แสดงค่าเฉลี่ย Open Rate (การเปิดอีเมล) อยู่ที่ 20-25% และค่าเฉลี่ย Click Rate อยู่ที่ประมาณ 2-3% ซึ่งสถิติเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าอีเมลนั้นยังเป็นช่องทางการสื่อสารที่ยังมีประสิทธิภาพอยู่พอสมควรเลยครับ

              นอกจากนั้น ธุรกิจ B2B ต่างๆ ก็ยังสามารถสร้าง Lead จากการทำ Email Marketing ได้อยู่ แต่อย่างไรก็ตามการทำ Email Marketing ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็ต้องมีเทคนิคที่ดีด้วย

              ประโยชน์ในการทำ Email Marketing

              สิ่งแรกที่แน่นอนได้เลยก็ในการทำ Email Marketing คือ ท่านมั่นใจได้เลยว่าอีเมลที่ถูกส่งออกไปจะถึงผู้รับซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายของคุณได้ 100% (แต่จะเปิดอีเมลหรือไม่นั้นอีกอีกเรื่องหนึ่ง) นอกจากนั้น Email Marketing สามารถรักษาฐานลูกค้าเก่า โดยการอัปเดตข่าวสารดีๆ สร้างความสัมพันธ์อย่างสม่ำเสมอ หรือที่เรียกว่า Customer Relationship Management และสร้างลูกค้าใหม่ผ่านการนำเสนอโปรโมชันใหม่ๆ หรือสิทธิพิเศษแบบ Exclusive จนเกิดเป็น Brand Loyalty นั่นเองครับ

              [/col]

              เทคนิคการทำ Email Marketing ให้มีประสิทธิภาพ

              แน่นอนว่าหาก Email Marketing ของท่านไม่น่าสนใจหรือทำออกมาไม่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย อีเมลของท่านก็จะตกไปอยู่ในโฟลเดอร์ Spam ได้ง่ายๆ ซึ่งวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพของอีเมลจะมีอะไรบ้างนั้น? มาดูกันเลยครับ

              1. กำหนดรูปแบบในการทำ Email Marketing ต้องการส่งอีเมลให้ลูกค้าเนื่องจากอะไร?

              เป็นหนึ่งคำถามที่ท่านควรมีคำตอบก่อน โดยการกำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งอีเมลนั้น ซึ่ง Email Marketing นั้นมีอยู่ด้วยกัน 5 รูปแบบด้วยกัน ได้แก่

              1. Behavioral Email – มีเป้าหมายในการเชิญชวน กระตุ้นและตอบสนองต่อพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย เช่น การตอบสนองต่อความเห็น การทำ Consumer Survey ซึ่งควรมีดีไซน์อีเมลแบบกระชับ เข้าใจได้ง่าย
              2. Inaugural Emails – เป้าหมายของอีเมลนี้คือการทำการแสดงความยินดีและต้อนรับที่ลูกค้าได้รับสิ่งใหม่ๆ ครับ อาทิ อีเมลที่ยินดีในการได้รางวัล ยินดีในการสมัครสมาชิก ที่จะตามมาด้วย Call To Action หลายๆ แบบอยู่ด้านใน เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่รับอีเมลตัดสินใจทำอะไรบางอย่างไม่ว่าจะเป็นการให้เข้าไปดูหน้าเว็บไซต์ ดูแคตตาล็อกสินค้าและบริการ เป็นต้น
              3. Promotional Emails – เป็นการประกาศให้กับกลุ่มเป้าหมายเกี่ยวกับโปรโมชันหรือกิจกรรมต่างๆ ของแบรนด์นั่นเอง ที่หลายท่านน่าจะคุ้นเคยเป็นอย่างดี เช่น เชิญชวนทำกิจกรรม การลดราคา การสมนาคุณ รวมถึงการประกาศสินค้าใหม่ ซึ่งมักจะมาควบคู่กับ Visual Stunning นั้นคือการที่ต้องมีภาพใหญ่ๆ ตัวอักษรเน้นๆ มีสีที่กระตุ้นความต้องการเพื่อดึงดูดความสนใจ
              4. Punctual Emails –  อีเมลประเภทมีเป้าหมายเฉพาะตัว เช่น เมื่อเกิดเหตุการณ์สำคัญๆ ต่อธุรกิจ และเพื่อชี้แจงข้อมูลที่มีความอ่อนไหวสูง ยกตัวอย่างเช่น Newsletter ประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบาย การชี้แจงข้อมูลความปลอดภัย ฯลฯ
              5. Notification Emails – อีเมลสำหรับแจ้งเตือนลูกค้าในเรื่องต่างๆ เช่น กิจกรรมที่ทำไปของผู้บริโภค ข้อผิดพลาดในการใช้งาน ข้อมูลยืนยันการซื้อสินค้า หรือการแจ้งการรีเซตรหัสผ่านต่างๆ ซึ่งควรเป็นอีเมลที่ชัดเจน และมีรายละเอียดครบถ้วน

              2. ตั้งชื่อหัวข้อให้ดี

              ขั้นตอนนี้สำคัญเป็นอย่างมาก เพราะหากชื่ออีเมลของคุณไม่ดี ไม่น่าดึงดูด คนก็จะไม่คลิกเข้าไป อีเมลที่ส่งไปให้นั้นก็จะไม่มีความหมายครับ เทคนิคเบื้องต้นที่ผมอยากจะแนะนำสำหรับการตั้งชื่อหัวข้ออีเมลก็คือเทคนิคเดียวกับการตั้งชื่อบทความครับ เช่น การใช้ประโยคคำถาม ใช้ตัวเลข คำพูดน่าสนใจ (เจ๋ง! หายาก! ฟรี!) เล่นกับความกลัวหรือ Scarcity

              นอกจากนี้ก็ควรมีการใส่ชื่อของผู้รับอีเมลลงไปในหัวข้อด้วย เพื่อแสดงความเป็น Personalized Marketing Email ให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ของท่านกำลังพูดกับเขาจริงๆ และเป็นอีกวิธีที่แสดงความใส่ใจต่อลูกค้า ซึ่งการตอบโจทย์ของลูกค้าแต่ละคนเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะลูกค้าอาจมีความต้องการที่ไม่เหมือนกัน จึงต้องมีการส่งโปรโมชันที่ไม่ซ้ำกันในแต่ละคนนั่นเอง

              3. โฟกัสกับเป้าหมายทีละจุด

              ในการส่ง Email Marketing นั้นทางแบรนด์ควรที่จะมีเป้าหมายเพียงหนึ่งหรือสองอย่างเท่านั้น เนื่องจากการกำหนดเป้าหมายหลายๆ อย่างอาจทำให้ลูกค้านั้นเกิดความสับสนว่าอีเมลนั้นต้องการสื่อสารในด้านไหน หรือลังเลที่จะทำ Action อะไรสักอย่างหนึ่ง เช่น หากในหนึ่งอีเมลมีปุ่ม Call To Action ให้ เข้าชมเว็บไซต์ เข้าไปซื้อของ บอกโปรโมชัน บอกการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย ทั้งหมดด้วยกัน ซึ่งจะส่งผลให้ลูกค้าหรือผู้รับอีเมลสับสน ตัดสินใจไม่ถูก จนในที่สุดอาจจะกด Unsubscribe ไปเลยก็เป็นได้

              4. Auto Resend อันทรงพลัง

              ระบบ CRM หรือระบบ CDP อย่าง Connect X จะสามารถกำหนด Flow ในการส่งอีเมลให้เป็นแบบ Auto Resend ได้ เช่น ตั้งค่าไว้ว่าหากลูกค้าไม่เปิดอีเมลอ่านหรือไม่คลิกปุ่ม/ข้อความในอีเมลแรก ให้ระบบทำการส่งอีเมลซ้ำอีกรอบ ซึ่งหากวางระบบไว้ได้เป็นอย่างดี โอกาสที่ลูกค้าที่พลาดอีเมลในครั้งแรก จะกลับมาอ่านอีเมลที่ส่งมาในรอบที่สองนั้นจะสูงขึ้น ทำให้แบรนด์มีโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น

              5. เลือกเครื่องมือที่ใช่ มีชัยไปกว่าครึ่ง

              เทคนิคทั้งหมดที่กล่าวไปข้างต้นนั้นอาจเป็นไปไม่ได้เลยหากท่านขาด Marketing Platform ที่มีฟีเจอร์ครอบคลุม สามารถทำให้ Email Marketing กลายเป็นเรื่องง่ายๆ ได้ อย่างเช่น Connect X ที่เป็น CDP หรือ Customer Data Platform โปรแกรมที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน

              Connect X นั้นสามารถเซ็ต Customer Journey แบบ Cross Channel ได้ เช่น ถ้าลูกค้าไม่อ่านอีเมล ก็สามารถเซ็ตให้ส่งโปรโมชั่นผ่านช่องทางอื่นได้ทันที ไม่ว่าจะเป็น SMS, LINE หรือ Facebook เป็นต้น และนอกจากนี้ยังคงมีฟีเจอร์สุดล้ำที่เกิดมาเพื่อช่วยนักการตลาดยุคดิจิทัล

              สร้างประสบการณ์ดีๆ ผ่าน Email ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

              ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

              *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                Yearly Budget

                How do you know us?

                [/row]

                Social Chats คืออะไร พร้อม 3 ข้อดีที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์เพิ่มยอดขาย

                Social-Chats

                ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การแข่งขันจึงทวีความเข้มข้นมากขึ้น โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการชาวไทยจำนวนมากต่างเข้าสู่ตลาดออนไลน์ ทั้งผ่านช่องทาง Facebook, Line, Instagram หรือเว็บไซต์ ซึ่งไม่ใช่เพียงแค่การมีสินค้าและบริการที่ดีเท่านั้น แต่ยังต้องมีกลยุทธ์ในการทำตลาด และการตอบแชทที่รวดเร็วเพื่อรักษาโอกาสในการปิดการขายให้ได้มากที่สุด Connect X ขอแนะนำให้คุณรู้จักกับ ระบบรวมแชท (Social Chats) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถจัดการข้อความจากลูกค้าได้ในที่เดียว ไม่ต้องสลับหน้าจอไปมาระหว่างหลายแพลตฟอร์ม ลดโอกาสผิดพลาดในการสื่อสาร และเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลลูกค้าอย่างรอบด้าน

                ความท้าทายของธุรกิจออนไลน์ในยุคปัจจุบัน

                ธุรกิจค้าขายออนไลน์เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะร้านค้าที่เริ่มมีฐานลูกค้าจำนวนมาก ย่อมต้องรับมือกับข้อความจำนวนมากจากหลายช่องทางพร้อมกัน ไม่ว่าจะเป็นคำถามเกี่ยวกับสินค้า คำสั่งซื้อ หรือการติดตามสถานะจัดส่ง หากร้านค้าไม่สามารถจัดการแชทได้อย่างมีระบบ อาจทำให้ลูกค้าไม่พอใจ และส่งผลต่อยอดขายในที่สุด

                การตอบแชทผิดช่อง หรือปล่อยให้ลูกค้ารอนานเกินไป อาจดูเป็นเรื่องเล็ก แต่ในโลกของธุรกิจออนไลน์ที่การตัดสินใจซื้อเกิดขึ้นเพียงไม่กี่วินาที ความล่าช้าหรือความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยก็อาจทำให้พลาดโอกาสทางธุรกิจที่มีคุณค่า

                Social Chats คืออะไร?

                Social Chats คือระบบที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการจัดการการสื่อสารระหว่างร้านค้าหรือธุรกิจออนไลน์กับลูกค้า โดยสามารถรวบรวมข้อความจากทุกช่องทางยอดนิยม เช่น Facebook Messenger, Line Official Account (LINE OA), Instagram Direct Message และระบบ Live Chat บนเว็บไซต์ ให้อยู่ในหน้าจอเดียว ช่วยให้แอดมินสามารถตอบกลับลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และลดความซับซ้อนในการทำงานที่เกิดจากการต้องสลับหลายแพลตฟอร์ม

                ก่อนหน้านี้ การบริหารแชทจากหลายช่องทางพร้อมกันถือเป็นเรื่องยุ่งยาก ร้านค้าอาจต้องเปิดหลายแอปพลิเคชัน เช่น Facebook Page Manager, LINE OA หรือ Instagram บนมือถือ ซึ่งไม่เพียงทำให้เสียเวลา แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงในการพลาดข้อความหรือพิมพ์ผิดช่องแชท ระบบ Social Chat เข้ามาแก้ปัญหาเหล่านี้โดยการรวมข้อความทั้งหมดไว้ในแดชบอร์ดเดียว พร้อมจัดระเบียบข้อมูลลูกค้าโดยอัตโนมัติ และแบ่งงานให้แอดมินแต่ละคนดูแลแชทได้ตามความเหมาะสม

                ที่สำคัญ ระบบ Social Chat ในปัจจุบันยังมาพร้อมกับฟีเจอร์เสริมที่ช่วยยกระดับการสื่อสารกับลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ดังนี้

                ฟีเจอร์เด่นของระบบ Social Chats

                1. Ticket Management ทุกข้อความที่เข้ามาจะถูกจัดระเบียบเป็น “Ticket” หรือเคสงานอย่างชัดเจน เพื่อให้ทีมสามารถติดตามสถานะการดำเนินการได้ตั้งแต่ต้นจนจบ ลดความเสี่ยงในการหลงลืมหรือพลาดข้อความสำคัญ ร้านค้าสามารถกำหนดระดับความสำคัญของเคสแต่ละรายการ มอบหมายให้แอดมินที่เกี่ยวข้องได้ทันที และยังสามารถดูประวัติการดำเนินงานย้อนหลัง รวมถึงวิเคราะห์ระยะเวลาการตอบกลับเพื่อวัดประสิทธิภาพของทีมได้อย่างครบถ้วน

                2. Agent Routing ฟีเจอร์นี้ช่วยให้การส่งต่อแชทเป็นไปอย่างชาญฉลาด ระบบสามารถตั้งเงื่อนไขได้ว่า ลูกค้าคนเดิมควรได้รับการดูแลจากแอดมินคนเดิมทุกครั้ง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการสื่อสาร หรือหากข้อความนั้นเกี่ยวข้องกับการขาย การบริการหลังการขาย หรือปัญหาทางเทคนิค ระบบสามารถส่งต่อเคสไปยังทีมที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทางได้โดยอัตโนมัติ ช่วยลดระยะเวลารอ และเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการ

                3. Order Management ร้านค้าสามารถเริ่มต้นและจบกระบวนการขายภายในห้องแชทเดียวได้ทันที โดยแอดมินสามารถสร้างออเดอร์ ส่งลิงก์ชำระเงิน และยืนยันคำสั่งซื้อแบบเรียลไทม์ได้ภายในระบบเดียว ไม่ต้องสลับไปใช้งานระบบอื่น ๆ และยังสามารถเชื่อมต่อกับระบบชำระเงิน (Payment Gateway) ที่ร้านค้าใช้อยู่แล้วได้อย่างราบรื่น ทำให้ข้อมูลการสั่งซื้อถูกจัดเก็บครบถ้วน สะดวกต่อการวิเคราะห์ยอดขายหรือประสิทธิภาพของแคมเปญต่าง ๆ ภายหลัง

                4. AI Chatbot เป็นผู้ช่วยอัตโนมัติที่สามารถตอบคำถามลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง เหมาะอย่างยิ่งในกรณีที่ลูกค้าทักเข้ามานอกเวลาทำการ หรือสอบถามข้อมูลที่ซ้ำกันเป็นประจำ เช่น วิธีสั่งซื้อ วิธีชำระเงิน หรือติดตามสถานะสินค้า ผู้ดูแลระบบสามารถตั้งค่าคำตอบได้ด้วยตนเอง และระบบยังสามารถเรียนรู้จากคำถามจริงที่ลูกค้าใช้งาน เพื่อพัฒนาให้ตอบได้แม่นยำยิ่งขึ้น นอกจากนี้ หากระบบพบคำถามที่ซับซ้อนเกินความสามารถ Chatbot จะส่งต่อให้เจ้าหน้าที่ดูแลได้ทันทีโดยไม่ให้ลูกค้ารู้สึกสะดุดหรือเสียเวลา

                ด้วยคุณสมบัติเหล่านี้ Social Chats จึงเป็นมากกว่าระบบตอบข้อความทั่วไป แต่เป็น เครื่องมือบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า (Customer Engagement Tool) ที่ช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดี เพิ่มโอกาสในการปิดยอดขาย และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ได้ในระยะยาว

                3 ข้อดีของการใช้ระบบ Social Chats ที่ธุรกิจออนไลน์ไม่ควรมองข้าม

                1. รวมข้อความจากทุกช่องทางไว้ในระบบเดียว

                ธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันมักต้องสื่อสารกับลูกค้าผ่านหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น Facebook, LINE OA, Instagram หรือ Live Chat บนเว็บไซต์ การต้องสลับไปมาระหว่างหลายแพลตฟอร์มส่งผลให้การทำงานยุ่งยาก และเสี่ยงต่อการลืมหรือพลาดข้อความสำคัญ ระบบ Social Chat เข้ามาช่วยจัดการปัญหานี้โดยรวมทุกข้อความไว้ในระบบกลางเพียงจุดเดียว ทำให้แอดมินสามารถตอบลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ลดความผิดพลาด และไม่จำเป็นต้องเปิดหลายระบบพร้อมกัน นอกจากนี้ ระบบยังสามารถจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ ทั้งชื่อ เบอร์โทร อีเมล และประวัติการสั่งซื้อ ซึ่งช่วยให้ทีมงานสามารถติดตามการขายหรือให้บริการลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง และลดภาระในการจดจำข้อมูลรายบุคคลของลูกค้าแต่ละราย

                2. ยกระดับความสัมพันธ์กับลูกค้า

                ระบบรวมแชทที่มีประสิทธิภาพไม่ได้เพียงแค่ทำให้ร้านค้าตอบกลับได้รวดเร็วเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ร้านสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างใกล้ชิดและเป็นส่วนตัวมากขึ้น เมื่อมีข้อมูลย้อนหลังเกี่ยวกับลูกค้า เช่น ประวัติการสั่งซื้อ หรือคำถามที่เคยสอบถามไว้ แอดมินสามารถใช้ข้อมูลเหล่านี้ในการตอบกลับอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น การเรียกชื่อ การแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้อง หรือการให้สิทธิพิเศษตามพฤติกรรมการซื้อที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้สะท้อนถึงความใส่ใจในรายละเอียด และเป็นตัวช่วยสำคัญในการสร้างความประทับใจให้ลูกค้ารู้สึกว่าได้รับการดูแลเป็นรายบุคคล ความสัมพันธ์ที่ดีนี้ยังช่วยให้ลูกค้ามีแนวโน้มจะกลับมาซื้อซ้ำ และเกิดการบอกต่อได้ง่ายยิ่งขึ้น

                3. ทำงานร่วมกับระบบ CRM และ CDP ได้อย่างลงตัว

                ในยุคที่ข้อมูลเป็นหัวใจของการตลาด ระบบ Social Chats ที่สามารถเชื่อมต่อกับระบบ CRM และ CDP ได้อย่างมีประสิทธิภาพจะเป็นประโยชน์อย่างมากต่อร้านค้าออนไลน์ ระบบ CRM จะช่วยให้ร้านค้าบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าได้อย่างเป็นระบบ ทั้งในแง่ของประวัติการซื้อ พฤติกรรมการใช้งาน และความสนใจ ในขณะที่ระบบ CDP จะรวบรวมข้อมูลจากหลากหลายแหล่งมาใช้วิเคราะห์และทำความเข้าใจลูกค้าในภาพรวม การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่าง Social Chat กับระบบเหล่านี้ทำให้ร้านค้าสามารถส่งข้อความที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าแบบเรียลไทม์ เสนอโปรโมชั่นที่เหมาะสม หรือแนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องได้อย่างแม่นยำ ส่งผลให้สามารถปิดการขายได้รวดเร็วขึ้น และสร้างกลยุทธ์ทางการตลาดที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น

                ระบบรวม Social Chat ตัวช่วยจาก Connect X

                หากใครที่กำลังถามหาระบบตอบแชทลูกค้าที่สามารถตอบกลับได้ทุกแพลตฟอร์มพ่วงด้วยฟีเจอร์ที่ครอบคลุมการขายของออนไลน์ Connect X คือคำตอบที่เหมาะสมในทุกประการ เพราะระบบรวม Social Chat ของ Connect X คือระบบที่เก็บข้อมูลและติดตามลูกค้าได้จากทุกช่องทาง สามารถระบุได้ว่าแชทแต่ละแชทมาจากแพลตฟอร์มไหน กำลังมีความสนใจสินค้าอะไร พูดง่ายๆ ว่า สามารถจัดการแชทได้อย่างมีประสิทธิภาพ การันตีได้เลยว่าร้านสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้ง่ายมากขึ้น

                ฟีเจอร์เด่นบน Connect X

                • รองรับระบบ Live Chat ในทุกแพลตฟอร์มยอดนิยมของคนไทย ไม่ว่าจะเป็น Messenger, LINE OA, Instagram ไปจนถึงระบบ Live Chat บนเว็บไซต์
                • ระบบการจัดการแบบ Ticket Management สามารถจัดแบ่งหน้าที่ให้แอดมิน แต่ละคนสามารถรับผิดชอบได้ มั่นใจได้ว่าทุกข้อความที่ส่งเข้ามาจะไม่มีการตกหล่น
                • สามารถทำงานร่วมกับระบบ CRM และ CDM ของ Connect X ได้เป็นอย่างดี เพิ่มประสิทธิภาพในการวิเคราะห์และติดตามลูกค้า และนำข้อมูลต่างๆ ไปต่อยอดการทำการตลาดออนไลน์ในอนาคตได้

                ในยุคที่ผู้บริโภคมีความคาดหวังสูงต่อการให้บริการ ความสำเร็จของธุรกิจไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่คุณภาพของสินค้าเท่านั้น แต่ยังขึ้นอยู่กับ การบริหารจัดการประสบการณ์ลูกค้า ให้ได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และต่อเนื่อง ระบบรวม Social Chat จาก Connect X จึงกลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถทำงานได้คล่องตัวมากขึ้น สื่อสารได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้อย่างแท้จริง

                หากคุณกำลังมองหาระบบแชทที่พร้อมสนับสนุนธุรกิจทุกด้าน ทั้งในแง่ของการตอบแชท การขาย การวิเคราะห์ข้อมูล และการดูแลลูกค้า Connect X พร้อมให้คำปรึกษาและร่วมเป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยผลักดันให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว

                ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                  Yearly Budget

                  How do you know us?

                  มัดใจลูกค้าเก่า เข้าถึงลูกค้าใหม่ได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมด้วย Marketing Automation Examples

                  marketing-automation-examples

                  ในยุคที่ผู้บริโภคมีความต้องการเฉพาะตัวและคาดหวังบริการแบบเรียลไทม์ เครื่องมืออย่าง Marketing Automation จึงกลายเป็นสิ่งที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากต้องการ รักษาฐานลูกค้าเดิมให้เหนียวแน่น พร้อมกับการ เข้าถึงลูกค้าหน้าใหม่อย่างแม่นยำ วันนี้เราจะพาทุกท่านมาดู marketing automation examples ที่แบรนด์สามารถนำไปใช้ได้จริง

                  การตลาด + เทคโนโลยี = Marketing Automation

                  หากจะให้คำจำกัดความสั้นๆ Marketing Automation คือการตลาดอัตโนมัติ โดยการนำเทคโนโลยีในรูปแบบต่างๆ เข้ามาช่วยทำกิจกรรมการตลาด อาทิ AI ในการวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของลูกค้า, Big Data เก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้า ไปจนกระทั่งการนำซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มการตลาดอย่างระบบ CRM  มาทำการตลาดในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Remarketing, Personalized Marketing, Content Marketing, Email Marketing, SMS Marketing หรือกลยุทธ์การตลาดรูปแบบอื่นๆ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้จะช่วยให้แบรนด์บรรลุเป้าหมายทางการตลาดและการขายสินค้าได้ดียิ่งขึ้น

                  ทำไมต้องใช้ Marketing Automation กับทั้งลูกค้าเก่าและใหม่?

                  การดูแลลูกค้าเก่าให้กลับมาซื้อซ้ำ และการเข้าถึงลูกค้าใหม่ด้วยข้อความหรือโปรโมชันที่ตรงจุด เป็นเรื่องที่แบรนด์ต้องบริหารจัดการอย่างชาญฉลาด การใช้ระบบ Marketing Automation จะช่วยให้คุณสามารถสื่อสารแบบเฉพาะบุคคล (Personalized) และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวได้อย่างยั่งยืน

                  Marketing Automation Examples ที่ช่วยมัดใจลูกค้าเก่า

                  1. ระบบแจ้งเตือนการซื้อซ้ำ (Replenishment Reminder)

                  สำหรับธุรกิจที่ขายสินค้าซื้อซ้ำได้ เช่น เครื่องสำอาง วิตามิน หรืออาหารสัตว์ สามารถตั้งระบบเตือนอัตโนมัติให้ลูกค้าทราบว่าถึงเวลาซื้อใหม่แล้ว เช่น
                  “สกินแคร์ตัวโปรดของคุณใกล้หมดหรือยัง? เรามีส่วนลดพิเศษให้คุณ!”

                  2. โปรแกรมสะสมแต้มอัตโนมัติ (Loyalty Program Integration)

                  ผสานระบบ CRM และ Marketing Automation เพื่อแจ้งเตือนลูกค้าเกี่ยวกับสถานะคะแนนสะสม เช่น
                  “คุณมีแต้มสะสม 1,200 คะแนน ใช้แลกส่วนลด 15% ได้ทันทีวันนี้!”

                  3. การส่งโปรโมชันวันเกิดหรือวันพิเศษ

                  ระบบสามารถตั้งค่าอัตโนมัติให้ส่งข้อความพร้อมส่วนลดในวันเกิดหรือวันครบรอบ เช่น
                  “สุขสันต์วันเกิดคุณสมชาย! รับโค้ดส่วนลด 20% ภายใน 3 วันนี้เท่านั้น”

                  Marketing Automation Examples ที่ช่วยเข้าถึงลูกค้าใหม่

                  1. ระบบ Follow-Up หลังจากลูกค้าเยี่ยมชมเว็บไซต์

                  หากมีผู้เข้าชมเว็บไซต์แต่ยังไม่ซื้อ ระบบสามารถส่งอีเมลหรือข้อความแจ้งเตือนอัตโนมัติ เช่น
                  “เห็นคุณกำลังดูรองเท้าคู่นั้นอยู่ สนใจรับส่วนลด 10% ไหม?”

                  2. Personalized Content ผ่านหลายช่องทาง (Omnichannel Experience)

                  ระบบสามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า แล้วส่งคอนเทนต์หรือข้อเสนอเฉพาะบุคคลผ่านช่องทางที่ลูกค้าชอบ เช่น LINE, Facebook, Email หรือ SMS

                  ตัวอย่าง: หากลูกค้าชอบดูสินค้าใน Instagram ระบบจะยิงโฆษณาหรือส่ง DM พร้อมข้อเสนอเฉพาะบุคคลไปทางนั้น

                  3. Welcome Flow สำหรับลูกค้าใหม่

                  เมื่อมีลูกค้าใหม่ลงทะเบียนหรือสมัครสมาชิก ระบบสามารถเริ่มต้นแคมเปญอัตโนมัติได้ทันที เช่น

                  • Email แนะนำสินค้า

                  • ข้อเสนอพิเศษสำหรับการสั่งซื้อครั้งแรก

                  • คอนเทนต์ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้งานสินค้า

                  ผู้บริโภคนั้นยุคนี้ต้องการแบรนด์ที่รู้ใจและสามารถต้องสนองความต้องการได้อย่างตรงจุด (Personalize Marketing) รวมไปถึงการให้บริการแบบเรียลไทม์ (Real-Time) ที่สำคัญคือ ต้องทำได้ตลอดทุกช่องทางออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นบนเว็บไซต์ สื่อโซเชียลมีเดีย (Facebook, Instagram, LINE) หรือช่องทางอื่นๆ

                   

                  ทำไมธุรกิจต้องมี Marketing Automation?

                  1. ทำความเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

                  ก่อนที่จะทำการตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าที่ใช่ ในเวลาที่ดี และในช่องทางเหมาะสม คุณจะต้องเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าของคุณก่อน และการทำความเข้าใจลูกค้านั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีข้อมูล

                  อย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ การเก็บข้อมูลลูกค้าคือรากฐานที่สำคัญของ Marketing Automation เพราะซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มที่ดี (อย่าง Connect X)  จะช่วยให้ท่านสามารถเก็บข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าของคุณแบบรายบุคคลได้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดูสินค้าที่คนคนนั้นสนใจ หรือมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ของท่านอย่างไร

                  2. ตัวเชื่อมระหว่าง Marketing และ Sale

                  หนึ่งในหน้าที่หลักของ Marketing Automation คือ “การฟูมฟัก” ให้ผู้คนที่เข้ามายังช่องทางการตลาดของท่านนั้นพร้อมสำหรับการถูกขาย ซึ่งเมื่อไหร่ก็ตามที่คนคนนั้นพร้อมซื้อ ข้อมูลต่างๆ ถึงค่อยถูกส่งไปให้ฝ่ายขายอีกที และเมื่อฝ่ายขายทำการติดต่อหรือทำการเสนอขายกับลูกค้าแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ข้อมูลต่างๆ ที่ได้มาจากปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าจะนำมาวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าต่อด้วย

                  Marketing Automation ช่วยให้ฝ่ายการตลาดและฝ่ายขายสามารถทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาแบรนด์และธุรกิจได้อย่างทรงประสิทธิภาพมากขึ้น

                  3. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน

                  การนำเครื่องมือ Marketing Automation เข้ามาปรับใช้ จะช่วยให้แบรนด์สามารถดำเนินธุรกิจได้ราบรื่นยิ่งขึ้น ลดภาระงาน เช่น การใส่ข้อมูลซ้ำซ้อน หรือ การส่ง กิจกรรมทางการตลาดและการขายไปยังผู้ที่สนใจอีกครั้ง นอกจากนี้ยังช่วยลดข้อผิดพลาดที่เกิดจากบุคคล (Human Error) ได้ด้วยนั่นเอง

                  ทำ Marketing Automation อย่างไรให้ได้ผล?

                  การใช้งาน Marketing Automation ไม่ใช่เพียงแค่ “ตั้งแล้วลืม” แต่ต้องมีการออกแบบ Customer Journey และปรับแต่งแคมเปญให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งเครื่องมืออย่าง Connect X ช่วยให้คุณ:

                  • สร้าง Workflow อัตโนมัติ ได้หลากหลาย

                  • ส่งข้อความแบบ Personalized ได้แม่นยำ

                  • เก็บข้อมูลลูกค้าทั้ง Known & Unknown ได้ในฐานเดียว (CDP)

                  • เชื่อมต่อกับทุกแพลตฟอร์มหลัก เช่น LINE, Facebook, Email, Website

                  Marketing Automation ทำงานอย่างไร?

                  การตลาดอัตโนมัตินั้นสามารถเริ่มใช้งานได้ตั้งแต่ขั้นตอนแรก Marketing Funnel หรือก็คือเมื่อลูกค้ารับรู้ถึงสินค้าหรือบริการ (Awareness) ยกตัวอย่างเช่น

                  คุณ A ได้เข้ามาดูสินค้าของแบรนด์ท่านมากถึง 3 ครั้ง ทั้งบนเว็บไซต์  Facebook และ Instagram แต่ยังไม่มีการติดต่อเข้ามา ท่านสามารถตั้งค่าให้ Marketing Automation ให้ทำการส่งคอนเทนต์ แคมเปญ หรือโปรโมชันต่างๆ ไปให้คุณ A ผ่านทางอีเมล และหากยังไม่สนใจเหมือนเดิม ก็อาจเปลี่ยนช่องทางเป็น ข้อความ SMS หรืออีกนัยหนึ่งก็คือสามารถทำ Personalized Marketing กับลูกค้าแต่ละคน พร้อมทำ Remarketing กับฐานลูกค้าเดิมด้วย

                  สำหรับแพลตฟอร์ม Connect X ท่านสามารถ ส่ง Personalized Message  ผ่าน Line Message, Facebook Message, Email เป็นต้น สร้างประสบการณ์เฉพาะตัวให้ลูกค้ารู้สึกประทับใจได้มากกว่า อีกทั้งยังเป็น CDP (Customer Data Platform)  เก็บข้อมูลลูกค้าได้ตั้งแต่ยังเป็น Unknown Data จนเป็น Known จะเป็นลูกค้าหน้าใหม่ก็สามารถส่งโปรโมชันที่ตรงใจได้ตลอด

                  ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                  *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                    Yearly Budget

                    How do you know us?

                    ห้ามพลาด! รวม 8 คำถามน่ารู้เกี่ยวกับ พรบ PDPA ที่ทุกคนควรเข้าใจ

                    พรบ-PDPA

                    ห้ามพลาด! รวม 8 คำถามน่ารู้เกี่ยวกับ พรบ PDPA ที่ทุกคนควรเข้าใจ

                    ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพย์สินของธุรกิจ และความเป็นส่วนตัวคือสิทธิ์ของผู้บริโภค การรู้จักและเข้าใจ พรบ PDPA (พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562) จึงไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้บริโภค เจ้าของธุรกิจ หรือแม้แต่องค์กรขนาดใหญ่

                    ตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2565 เป็นต้นมา กฎหมาย PDPA ได้บังคับใช้อย่างเป็นทางการ และเริ่มส่งผลจริงจังทั้งในแง่ของสิทธิ์ทางกฎหมาย และการดำเนินงานของภาคธุรกิจ

                    วันนี้ Connect X ขอรวบรวม 8 คำถามยอดฮิต ที่หลายคนสงสัยเกี่ยวกับ พรบ PDPA พร้อมคำตอบแบบเข้าใจง่าย ใช้งานได้จริง ไม่ว่าจะในฐานะเจ้าของข้อมูลหรือผู้ที่มีหน้าที่ดูแลข้อมูลเหล่านี้

                    1. พรบ PDPA คืออะไร?

                    พรบ PDPA หรือชื่อเต็มว่า พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act) คือกฎหมายที่ถูกตราขึ้นเพื่อคุ้มครอง “ข้อมูลส่วนบุคคล” ของประชาชนจากการถูกเก็บ ใช้ หรือเปิดเผย โดยไม่ได้รับอนุญาตหรือความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจน

                    กฎหมายนี้ถือเป็นการยกระดับมาตรฐานด้านความเป็นส่วนตัวของข้อมูลในประเทศไทยให้เทียบเท่าสากล เช่น GDPR ของสหภาพยุโรป โดยกำหนดให้ทุกหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐหรือเอกชน ที่มีการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคลของบุคคลใดก็ตาม ต้องมีหน้าที่ในการ:

                    • ขอ ความยินยอม จากเจ้าของข้อมูลอย่างโปร่งใส

                    • แจ้งวัตถุประสงค์ในการใช้งานอย่างชัดเจน

                    • ให้สิทธิ์เจ้าของข้อมูลในการควบคุม แก้ไข ถอนความยินยอม หรือลบข้อมูลของตน

                    พรบ PDPA มีผลบังคับใช้กับการจัดการข้อมูลทั้งในรูปแบบ ออนไลน์ (Online) และ ออฟไลน์ (Offline) ครอบคลุมตั้งแต่เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน ระบบ CRM ไปจนถึงการเก็บข้อมูลจากฟอร์มเอกสาร หรือบันทึกกล้องวงจรปิด

                    ที่สำคัญคือ กฎหมายนี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะองค์กรภายในประเทศเท่านั้น หากเป็นองค์กรต่างชาติที่มีการเก็บหรือใช้ข้อมูลของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทย เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ หรือบริการออนไลน์ที่ให้บริการคนไทย ก็ต้องปฏิบัติตาม พรบ PDPA เช่นเดียวกัน

                    2. กฎหมาย PDPA มีผลกับใครบ้าง?

                    พรบ PDPA ไม่ใช่กฎหมายเฉพาะสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ หรือธุรกิจที่เก็บข้อมูลปริมาณมหาศาลเท่านั้น แต่เป็นกฎหมายที่ มีผลกระทบต่อ “ทุกคน” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเก็บ ใช้ หรือเผยแพร่ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่น ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม

                    ผู้ที่อยู่ภายใต้กฎหมายนี้ประกอบด้วยทั้ง:

                    • บุคคลทั่วไป ที่อาจถ่ายภาพหรือโพสต์ข้อมูลของผู้อื่นลงบนโซเชียลมีเดีย

                    • ผู้ประกอบการรายย่อย (SME / เจ้าของกิจการส่วนตัว) ที่เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อการสั่งซื้อ สมัครสมาชิก หรือทำการตลาด

                    • บริษัทและองค์กรขนาดใหญ่ ที่ใช้ข้อมูลเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือดำเนินธุรกิจในระดับระบบ

                    • หน่วยงานภาครัฐ ที่จัดเก็บข้อมูลประชาชนเพื่อใช้ในบริการสาธารณะ

                    ในระบบของ PDPA จะมีการระบุบทบาทหลักของผู้เกี่ยวข้องไว้ 3 กลุ่ม ได้แก่:

                    • เจ้าของข้อมูล (Data Subject): บุคคลที่ข้อมูลนั้นเป็นของเขา เช่น ลูกค้า พนักงาน สมาชิก หรือผู้ใช้งานทั่วไป ซึ่งมีสิทธิ์ในการควบคุม แก้ไข ถอน หรือร้องเรียนเกี่ยวกับข้อมูลของตน

                    • ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller): องค์กรหรือบุคคลที่มีอำนาจในการตัดสินใจว่าจะเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น บริษัทที่เก็บข้อมูลลูกค้าหรือจัดทำฐานข้อมูลสมาชิก

                    • ผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Processor): บุคคลหรือหน่วยงานที่ดำเนินการเกี่ยวกับข้อมูลตามคำสั่งของผู้ควบคุมข้อมูล เช่น ผู้ให้บริการระบบคลาวด์ บริษัทเอาท์ซอร์ส หรือเอเจนซี่การตลาด

                    ไม่ว่าคุณจะอยู่ในบทบาทใด หากมีการเข้าถึงหรือใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นในบริบทของธุรกิจหรือกิจกรรมสาธารณะ ก็ต้อง ปฏิบัติตามกฎหมาย พรบ PDPA อย่างเคร่งครัด เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทางกฎหมายและรักษาความไว้วางใจจากผู้เกี่ยวข้อง

                    3. PDPA คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลด้านไหน?

                    ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal Data) ที่กฎหมาย PDPA จะครอบคลุมนั้นมีอยู่มากมาย ตั้งแต่ข้อมูลพื้นฐานไปจนถึงข้อมูลที่มีความอ่อนไหว ซึ่งประกอบไปด้วย ชื่อ – นามสกุล, เลขประจำตัวประชาชน, เลขหนังสือเดินทาง, เลขใบอนุญาตขับขี่, ที่อยู่, เบอร์โทรศัพท์, วันเกิด, อีเมล, การศึกษา, เพศ, อาชีพ, รูปถ่าย, ข้อมูลทางการเงิน, ทะเบียนรถยนต์, โฉนดที่ดิน, ทะเบียนบ้าน

                    ในส่วนของข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตก็ครอบคลุมไปถึงข้อมูลที่สามารถใช้ระบุตัวตนได้ อาทิ Username/Password, Cookies IP Address, GPS Location เป็นต้น นอกจากนี้ยังรวมถึงข้อมูลส่วนบุคคลที่มีความละเอียดอ่อน (Sensitive Personal Data) อย่างข้อมูลทางการแพทย์หรือสุขภาพ, ข้อมูลทางพันธุกรรมและไบโอเมทริกซ์, เชื้อชาติ, ความคิดเห็นทางการเมือง, ความเชื่อทางศาสนาหรือปรัชญา, พฤติกรรมทางเพศ, ประวัติอาชญากรรม, ข้อมูลสหภาพแรงงาน เป็นต้น

                    เห็นได้ว่า PDPA นั้นเป็นกฎหมายที่สามารถคุ้มครองข้อมูลด้านต่างๆ ของแต่ละบุคคลได้อย่างครอบคลุมเลยทีเดียว

                    4. ในเมื่อ PDPA มีผลอย่างเป็นทางการแล้ว จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง?

                    ข้อเปลี่ยนแปลงสำคัญอย่างแรกคือ ผู้ที่เป็นเจ้าของข้อมูลจะได้รับการคุ้มครองมากขึ้น และมีสิทธิ์ในการควบคุมการประมวลผลข้อมูล รวมถึงสามารถเรียกร้องหรือฟ้องร้องได้ หากได้รับความเสียหายในกรณีที่มีบุคคลหรือหน่วยงานนำข้อมูลของตนไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

                    ส่วนผู้ที่นำข้อมูลไปใช้ อย่างภาคธุรกิจ องค์กร หน่วยงาน และบุคคล จะต้องขออนุญาตและระมัดระวังในการใช้ข้อมูลดังกล่าว เพื่อประโยชน์ตามที่กฎหมายกำหนด และไม่ทำให้เจ้าของข้อมูลเสียหายหรือเสื่อมเสียชื่อเสียง

                    ผู้ที่นำข้อมูลไปใช้จะต้องทำตามข้อกำหนด ดังนี้

                    • ต้องจำกัดการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลเพียงเท่าที่จำเป็น
                    • การประมวลผลข้อมูลต้องมีวัตถุประสงค์ ซึ่งมีฐานกฎหมายตามที่ พรบ. กำหนดรองรับ เช่น เป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ปฏิบัติหน้าที่ตามสัญญา สิทธิ์อันชอบธรรม และหากเป็นการประมวลผลด้วยฐานความยินยอมต้องได้รับความยินยอมก่อน
                    • ต้องอธิบายและแจ้งรายละเอียดการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้เจ้าของข้อมูลทราบ
                    • ต้องมีการรับประกันความมั่นคงและความปลอดภัยของข้อมูล
                    • หากมีข้อมูลรั่วไหลต้องทำการแจ้งเตือนให้เจ้าของข้อมูลทราบ รวมถึงแจ้งสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะมีการประเมินความเสียหาย และวิธีการเยียวยาเจ้าของข้อมูล

                    5. ถ่ายภาพหรือวิดีโอแล้วติดบุคคลอื่นผิดหรือไม่?

                    ถือเป็นหนึ่งในประเด็นที่ได้รับความสนใจค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งการถ่ายภาพหรือวิดีโอที่มีหน้าของบุคคลอื่นติดมาด้วยนั้น สามารถแยกได้เป็น 3 กรณี ดังนี้

                    1. กรณีที่ถ่ายภาพและวิดีโอติดบุคคลอื่นโดยไม่เจตนาหรือไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหาย – ถือว่าสามารถทำได้หากใช้เพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว และหากมีการนำไปโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ก็สามารถทำได้เช่นเดียวกัน แต่ต้องไม่ใช้เพื่อการแสวงหากำไรทางการค้าและไม่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล
                    2. กรณีภาพของกล้องวงจรปิดถ่ายติดบุคคลอื่น – หากติดภายในบ้าน โดยมีจุดประสงค์เพื่อป้องกันอาชญากรรมและรักษาความปลอดภัย ไม่จำเป็นต้องมีป้ายแจ้งเตือน แต่หากเป็นกรณีที่ติดตั้งในที่สาธารณะ หน่วยงาน องค์กร ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า จะต้องติดป้ายประกาศหรือสติกเกอร์เพื่อแจ้งให้ทราบว่ามีกล้องวงจรปิดและมีการบันทึกข้อมูล เพื่อเป็นการแจ้งให้ผู้คนรับทราบ
                    3. กรณีของกล้องหน้ารถยนต์ – ไม่จำเป็นต้องติดประกาศแจ้งให้ทราบ หากนำภาพหรือวิดีโอที่มีบุคคลอื่นไปใช้โดยไม่ส่งผลกระทบหรือความเสียหายต่อบุคคลในภาพ/วิดีโอนั้นสามารถทำได้ แต่ไม่สามารถนำไปใช้ทางการค้า สร้างรายได้ สร้างความอับอาย ความเสียหาย หรือใช้ในรูปแบบอื่นๆ ที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์ส่วนตัว

                    6. เจ้าของข้อมูลต้องให้ความยินยอมทุกครั้งก่อนนำข้อมูลไปใช้หรือไม่?

                    โดยปกติหากนำข้อมูลส่วนบุคคลไปใช้จะต้องขออนุญาตเจ้าของข้อมูลก่อนทุกครั้ง แต่ PDPA มีข้อยกเว้นที่สามารถนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ต้องขอความยินยอม ซึ่งเป็นกรณีดังนี้

                    • เป็นการทำตามสัญญา เช่น เว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน E-Commerce ที่ต้องใช้ชื่อและที่อยู่ในการส่งพัสดุให้ลูกค้า หรือเป็นข้อมูลที่จำเป็นต่อการทำงาน เช่น การเป็นสมาชิกหรือ Subscription Service ที่ต้องใช้ข้อมูลบัตรเครดิต เป็นต้น
                    • เป็นการใช้ที่มีกฎหมายให้อำนาจ
                    • เป็นการใช้เพื่อรักษาชีวิตและ/หรือ ร่างกายของบุคคล รวมถึงป้องกันอันตราย และการป้องกันโรคระบาด
                    • เป็นการใช้เพื่อการค้นคว้าวิจัยทางสถิติ
                    • เป็นการใช้เพื่อประโยชน์สาธารณะ
                    • เป็นการใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์หรือสิทธิ์ของตนเอง
                    • เป็นการใช้เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับเอกสารประวัติศาสตร์
                    • เป็นการใช้เพื่อประมวลผลเชิงเนื้อหาสำหรับสื่อมวลชน ซึ่งต้องเป็นไปตามจริยธรรมแห่งการประกอบวิชาชีพหรือเป็นประโยชน์สาธารณะเท่านั้น

                    ทั้งนี้ หลักการข้างต้น อาจเปลี่ยนแปลงตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นกรณีๆ ไป ถึงไม่ต้องขอความยินยอม แต่ผู้ควบคุมข้อมูลยังต้องรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและคำนึงถึงสัดส่วนความจำเป็นของการใช้ข้อมูล และผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล

                    7. เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล มีสิทธิ์อะไรเกี่ยวกับข้อมูลของตนบ้าง?

                    • สิทธิ์ในการถอดถอนความยินยอมในกรณีที่ได้ให้ความยินยอมไว้
                    • สิทธิ์ได้รับการแจ้งให้ทราบรายละเอียด (Privacy Notice)
                    • สิทธิ์การขอเข้าถึงและการขอสำเนาข้อมูลส่วนบุคคล
                    • สิทธิ์ขอให้โอนข้อมูลส่วนบุคคล
                    • สิทธิ์คัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้งาน หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล
                    • สิทธิ์ขอให้ลบหรือทำลาย หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวบุคคลได้
                    • สิทธิ์ขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล
                    • สิทธิ์ขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล
                    • สิทธิ์ในการร้องเรียนต่อคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญในกรณีที่มีการฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามกฎหมายหรือประกาศที่ออกตามกฎหมาย PDPA

                    8. หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA จะเป็นอย่างไร?

                    สำหรับผู้ที่นำข้อมูลไปใช้ประโยชน์โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลนั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) และผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Processor) จะมีโทษทางกฎหมาย โดยมีรายละเอียดดังนี้

                    • ความรับผิดทางแพ่ง ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และอาจต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มขึ้นอีก โดยสูงสุดไม่เกิน 2 เท่าของค่าเสียหายที่แท้จริง
                    • โทษทางอาญา จำคุกสูงสุดไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
                    • โทษทางปกครอง ปรับสูงสุดไม่เกิน 5 ล้านบาท

                    จากที่ Connect X ได้พาเจอคำตอบของคำถามต่างๆ เกี่ยวกับกฎหมาย PDPA กันให้มากยิ่งขึ้นจากคำถามทั้ง 8 ข้อกันไปแล้ว น่าจะช่วยตอบข้อสงสัยของใครหลายๆ คน และช่วยให้เข้าใจเกี่ยวกับ PDPA มากขึ้น รวมถึงตระหนักถึงความสำคัญของการนำข้อมูลส่วนบุคคลของผู้อื่นไปใช้กันมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในมุมของประชาชนทั่วไปที่เป็นผู้บริโภคหรือภาคธุรกิจก็ตาม

                    หากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย มีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือผิดวัตถุประสงค์ ก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล และส่งผลกระทบต่อองค์กรเป็นวงกว้าง

                    นอกจากนี้ องค์กรหรือธุรกิจที่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด จะช่วยเสิรมสร้างน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กรได้อีกด้วย สำหรับใครกำลังมองหาตัวช่วยที่ปลอดภัยและสะดวกสบายอยู่นั้น Connect X เป็นแพลตฟอร์ม Customer Data Platform (CDP) ที่รองรับกฎหมาย PDPA และได้รับมาตรฐานการเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย มีมาตรฐาน ISO27001 ซึ่งสามารถช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน และยังมี Marketing Automation ที่ช่วยทำการตลาดแบบอัตโนมัติ เพื่อให้ธุรกิจนำข้อมูลมาใช้ได้อย่างสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมความปลอดภัยและมีขั้นตอนการขออนุญาตเก็บข้อมูลที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างแน่นอน

                    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                      Yearly Budget

                      How do you know us?