Author Archives: connectx

ถอดบทเรียน 3 ธุรกิจชื่อดังที่ใช้ระบบ CRM จนประสบความสำเร็จ!

Connect X พาทุกท่านมาถอดบทเรียนเกี่ยวกับ 3 ธุรกิจชื่อดังระดับโลก ที่ได้นำระบบ CRM มาใช้จนประสบความสำเร็จ เพื่อเป็นแนวทางนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณพร้อมตัวอย่าง CRM

ทุกวันนี้ การบริหารจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าหรือ Customer Relationship Management (CRM) เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้อย่างเห็นผลแก่ธุรกิจแทบทุกรูปแบบ โดยจากสถิติพบว่า 75% ของธุรกิจต่างๆ กล่าวว่า ระบบ CRM เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้สามารถปิดการขายได้มากเป็นอันดับต้นๆ ของผลประกอบการทั้งหมดเลยทีเดียว ระบบ CRM จึงเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เหล่าธุรกิจชื่อดังประสบความสำเร็จ เพราะการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าให้เป็นไปได้ด้วยดี จะนำไปสู่การสร้างโอกาสให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าหรือใช้บริการใหม่อีกครั้ง เกิดความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) พร้อมยังแนะนำให้คนอื่นๆ มาซื้อสินค้าจากแบรนด์ของคุณด้วยเช่นกัน

วันนี้ Connect X จะพามาถอดบทเรียน 3 ธุรกิจชื่อดังที่ใช้ระบบ CRM จนประสบความสำเร็จ เพื่อให้ธุรกิจของคุณได้เห็นตัวอย่าง CRM และลองนำไปปรับใช้ได้ง่ายๆ ไม่ว่าธุรกิจของคุณมีขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ก็สามารถใช้งานได้ แต่ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับ CRM เบื้องต้นกันก่อน

ระบบ CRM หรือ Customer Relationship Management คืออะไร?

เครื่องมือที่ใช้ในการบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าขององค์กรหรือธุรกิจนั้นๆ ให้สามารถรักษาลูกค้าเอาไว้ได้นานที่สุด ผ่านการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและสร้างการปฏิสัมพันธ์แบบเฉพาะบุคคลอย่างมีความหมาย ให้ลูกค้ารู้สึกพิเศษ

นอกจากนี้ ยังสร้างโอกาสให้เกิดการซื้อจากบุคคลที่มีศักยภาพเป็นลูกค้า (Potential Customer) เพราะสามารถนำเสนอสินค้าได้อย่างถูกที่ถูกเวลา ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะต้องอาศัยการเก็บข้อมูลของผู้บริโภคมาวิเคราะห์ เพื่อหากลยุทธ์ที่จะสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด จึงมีการรวบรวมข้อมูลของลูกค้าอย่างเป็นระบบระเบียบ ให้สามารถได้ข้อมูลลูกค้าตั้งแต่ก่อนเริ่มขายไปจนถึงการบริการหลังการขายได้ง่ายๆ ทำให้ธุรกิจเข้าถึงและรู้ความต้องการของลูกค้าได้อย่างแม่นยำ ซึ่งการเก็บข้อมูลดังกล่าวต้องได้รับการยินยอมจากลูกค้าก่อน ตามกฎหมาย PDPA หรือ พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.​ 2562 เหล่าธุรกิจจึงสบายใจได้ว่ามีกระบวนการที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างแน่นอน

ตัวอย่าง CRM จาก 3 ธุรกิจที่ใช้ระบบ CRM จนประสบความสำเร็จ

เมื่อคุ้นเคยกับคำว่า CRM แล้ว มาดูตัวอย่าง CRM กันว่ามีธุรกิจยักษ์ใหญ่อะไรบ้างที่ได้นำระบบนี้มาใช้บริหารความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้า จนประสบความสำเร็จอย่างในปัจจุบัน

1. McDonald’s

[/col]
mcdonald-crm

ปัจจุบัน McDonald’s (แมคโดนัล) เป็นธุรกิจฟาสต์ฟู้ดแนวหน้าในบ้านเรา ซึ่งอยู่คู่คนไทยมานานกว่า 35 ปี และยังคงได้รับความนิยมเรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระดับโลกนั้น แมคโดนัลได้ให้บริการลูกค้ากว่า 69 ล้านคนทั่วโลก และก้าวเป็นเชนร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งหนึ่งในกลยุทธ์ที่ทำให้แบรนด์แมคโดนัลประสบความสำเร็จได้คือการใช้ระบบ CRM

แมคโดนัลใช้แพลตฟอร์ม CRM ที่เก็บข้อมูลของลูกค้า รวบรวมความคิดเห็น ระดับความและความพึงพอใจที่มีต่อสาขาในภูมิภาคต่างๆ ได้ และยังมีข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้าแบบรายบุคคลอีกด้วย ซึ่งแมคโดนัลได้ให้ความสำคัญกับปัญหาด้านความสัมพันธ์กับลูกค้าที่อาจเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว การมีระบบ CRM จะช่วยให้สามารถเพิ่มความพึงพอใจ และแก้ไขปัญหาได้ก่อนที่จะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ในอนาคต

ตัวอย่าง CRM ของแมคโดนัลสามารถรวมข้อมูลของทุกสาขาทั่วโลกมาเก็บเอาไว้ที่ศูนย์กลาง ให้แฟรนไชส์และผู้จัดการสาขาสามารถเข้าถึงข้อมูลของลูกค้าแบบเรียลไทม์ (Real-Time) ช่วยรายงานและแจ้งเตือนปัญหาได้อย่างแม่นยำ จนสามารถทำให้สามารถตัดสินใจได้ชาญฉลาดและทันท่วงที อีกทั้งช่วยให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมมีระบบสมาชิกที่คอยส่งข้อมูลข่าวสาร แนะนำสินค้า และโปรโมชันอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีลูกค้าขาประจำที่เข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง

2. Zara

zara-crm

หลายคนอาจรู้จักกับ Zara อยู่แล้ว ซึ่งเป็นแบรนด์เสื้อผ้าจากประเทศสเปน สู่แบรนด์ชั้นนำของยุโรปที่มีสาขากว่า 1,700 สาขาทั่วโลก ที่น่าสนใจคือเป็นแบรนด์แรกๆ ที่ใช้เทคโนโลยี “Personal Digital Assistants” หรืออุปกรณ์สำหรับจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าแบบเรียลไทม์ เพื่อเข้ามาช่วยพัฒนาการบริการและพัฒนาสินค้า ซึ่งนำมาใช้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีเครื่องมือทางการตลาดที่หลากหลายอย่างทุกวันนี้ และเมื่อระบบ CRM ถือกำเนิดขึ้น Zara จึงได้นำข้อมูลลูกค้าเหล่านั้นมาต่อยอดและสนับสนุนการขายได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังสามารถดึงดูดให้ลูกค้ามาซื้อสินค้าจากการจัดแคมเปญ และแจกส่วนลดสินค้าได้อย่างแพร่พลาย

สำหรับความน่าสนใจอีกประการภายหลังจากที่ Zara ได้นำระบบ CRM มาใช้นั้น คือการทำให้แบรนด์สามารถระบุสไตล์และคาดการณ์พฤติกรรมในอนาคตของลูกค้าทั่วโลกได้ ทำให้เกิดการออกแบบสินค้าใหม่ๆ ที่ตรงความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ และยังทำให้แบรนด์สามารถรักษาราคาอยู่ในระดับที่สามารถเข้าถึงได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องนำสินค้ามาลดราคาเป็นประจำเพื่อล้างสต๊อกอีกต่อไป นอกจากนี้ยังช่วยให้พนักงานของ Zara สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะสามารถนำเสนอสินค้าได้ตรงตามความต้องการ และทำให้เกิดความภักดีต่อแบรนด์ได้ในที่สุด

3. Activision

activision-crm

บริษัทค่ายเกมยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกา ที่มีต้นกำเนิดมาจากนักศึกษามหาวิทยาลัย ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2522 และปัจจุบันมีสำนักงานกว่า 15 ประเทศ โดยมีซีรีส์เกมที่ฮิตไปทั่วโลกอย่างเกม Warcraft, Guitar Hero หรือ Call of Duty เป็นต้น

Activision เป็นผู้บุกเบิกในอุตสาหกรรมเกมที่ใช้ระบบ CRM มาเชื่อมต่อกับเกมเมอร์ผ่านโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์, Facebook และ Twitter โดยเชื่อมต่อข้อมูลผ่านระบบคลาวด์ (Cloud) และหลังจากที่นำระบบดังกล่าวมาใช้แล้ว พบว่าช่วยให้บริษัทลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการบริการลูกค้าลงถึง 25% สามารถประเมินและแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับการบริการได้อีก 82% และนำไปสู่การสร้างความพึงพอใจของลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังช่วยให้สามารถสื่อสารกับเกมเมอร์ในคอมมูนิตี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังติดต่อแชทหรือข้อความเพื่อคุยโต้ตอบกับลูกค้าได้แบบเรียลไทม์ (Real-Time) อีกด้วย

หลังจากที่ Connect X ได้แนะนำตัวอย่าง CRM จากธุรกิจเจ้าดังที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยและระดับโลกกันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าระบบ CRM มีประโยชน์อย่างมากในการปรับปรุงการให้บริการเพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า นอกจากนี้เรายังสามารถนำข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งาน ประวัติการเข้าชม หรือการปฏิสัมพันธ์ต่างๆ ของลูกค้าไปต่อยอด เพื่อสร้างกิจกรรมและกลยุทธ์ทางการตลาดได้อีกมาก ไม่ว่าธุรกิจของคุณจะอยู่ในรูปแบบใด จะมีขนาดเล็กหรือใหญ่ก็สามารถนำระบบ CRM ไปปรับใช้ให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย

หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่มีระบบ CRM ในตัวที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพสูง Connect X คือแพลตฟอร์มที่พร้อมรองรับ PDPA และมีเครื่องมือเก็บข้อมูลลูกค้าเอาไว้ในที่เดียวกัน (CDP) นอกจากนี้ยังมี Marketing Automation กับ AI อัจฉริยะที่คอยช่วยเรื่องการตลาดแบบอัตโนมัติด้วย ทุกคนจึงสามารถมั่นใจได้ว่า Connect X มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และพร้อมที่จะช่วยให้คุณทำการตลาดได้ง่ายขึ้น

บทความอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ระบบ CRM (Customer Relationship Management)

สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

    Yearly Budget

    How do you know us?

    Loyalty Program คือ อะไร? มีความสำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ?

    loyalty program คืออะไร

    Loyalty program คือ การที่เราให้รางวัลหรือสิ่งตอบแทนแก่ลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ซ้ำๆบ่อยๆหรือใช้บริการมาอย่างยาวนาน ตัวอย่างเช่นแบรนด์มีการแจกของสัมมนาคุณให้กับลูกค้าเก่าที่เป็นสามาชิกไม่ต่ำกว่า 3 ปีขึ้นไปเคยซื้อกับแบรนด์หรือใช้บริการซ้ำ จากตัวอย่างจะเห็นว่า Loyalty program  เป็นกลยุทธ์การรักษาลูกค้าที่กระตุ้นให้ลูกค้ากลับมาซื้อหรือใช้บริการซ้ำจากเราแทนที่จะไปใช้บริการจากคู่แข่งหรือเจ้าอื่นๆ ยิ่งลูกค้าซื้อหรือมีส่วนร่วมกับแบรนด์มากเท่าไร ลูกค้าก็ยิ่งได้รับผลตอบแทนมากขึ้นเท่านั้น สิ่งนี้นั้นจะทำให้ลูกค้ามองเห็นว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับลูกค้าเองรู้สึกตนเองพิเศษกว่าการไปซื้อสินค้าที่อื่นๆ

    Loyalty program ได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว ว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการเพิ่มรายได้และสร้างความภักดีของลูกค้า ผู้บริโภคมากถึง 84% กล่าวว่าพวกเขามักจะยึดติดกับแบรนด์ที่เสนอ Loyalty program และ 66% ของผู้บริโภคกล่าวไว้ว่าเมื่อมี Loyalty program แล้วทำให้พฤติกรรมการใช้จ่ายซื้อสินค้าหรือใช้บริการนั้นเปลี่ยนไป ลูกค้าต้องการใช้จ่ายมากขึ้นเพราะมองว่าของสัมมนาคุณที่ทางแบรนด์หรือร้านค้าได้นำมาแจกนั้นรู้สึกเป็นของที่หายากของพรีเมี่ยมที่มีเฉพาะทางแบรนด์เท่านั้น

    “As many as 84% of consumers say they’re more apt to stick with a brand that offers a loyalty program”

    https://www.nielsen.com/insights

    ในปัจจุบันกลุ่มอุตสาหกรรมเช่น Telco ในช่วงปีที่ผ่านมานั้นได้ถูกร้องเรียนโดยผู้บริโภคเก่าอย่างล้นหลามเนื่องจากไม่ค่อยที่จะสนใจลูกค้าเก่า เท่าที่ควรมีแต่โปรโมชั่นเพื่อเรียกลูกค้าใหม่จึงทำให้เรื่องนี้ถูกร้องเรียนเยอะอย่างเช่นบนเว็บไซต์ชื่อดังอย่าง Pantip ซึ่งอันที่จริงแล้วทุกธุรกิจในปัจจุบันแข่งขันกันเพื่อความไว้วางใจของลูกค้า วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการสร้างความไว้วางใจนี้คือการมอบประสบการณ์ที่ผู้บริโภคไม่สามารถหาได้จากที่อื่นแทนที่จะใช้เวลาไปกับการหาลูกค้าใหม่ เราสามารถเริ่ม Loyalty program คือ เพื่อขยายความสัมพันธ์กับลูกค้าที่มีอยู่และสิ่งสิ่งนี้เองจะพัฒนาต่อยอดไปเป็น Word-of-mouth marketing ลูกค้าจะมีการบอกต่อกันเองจนกระทั่งมีผู้บริโภคที่สนใจจะซื้อหรือใช้สินค้าบริการของเราในที่สุด

    pantip

    https://pantip.com/topic/41615373

    และในปี 2022 มีรายงานจาก Cheetah Digital ว่า ผู้บริโภคต้องการ Loyalty program มากไปกว่าที่พวกเราคิด มากไปกว่านั้น ประมาณ 1 ใน 3 ของผู้บริโภคจะรู้สึกหงุดหงิดเมื่อได้รับข้อความที่ไม่รู้จักประวัติการซื้อของหรือLoyalty program ที่มีการสะสมแต้มหรือคะแนนอยู่โดยอ้างอิงจากตามรายงาน

    จึงเกิดเป็นการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค

    ผู้บริโภค 7 ใน 10 คนที่สำรวจตามรายงานกล่าวว่าพวกเขามีแบรนด์ที่ชื่นชอบอยู่แล้ว ในขณะที่แบรนด์อื่นๆก็พยายามพัฒนาความสัมพันธ์กับลูกค้าเช่นเดียวกับแบรนด์ที่ลูกค้าเกิดความภักดี

    ดังนั้นการสื่อสารจึงเป็นสิ่งที่สำคัญในแง่นี้ เราจะต้องทราบให้ได้ว่าลูกค้าของเรานั้นกลุ่มไหนชอบให้สื่อสารทางอีเมล์ กลุ่มไหนชอบให้สื่อสารผ่านทาง Line กลุ่มไหนชอบสื่อสารเองจากข่าวสารผ่าน Facebook เป็นต้น ซึ่งในตัว ConnectX ของทางแพลตฟอร์มเราก็สามารถที่จะทำการแบ่งกลุ่มลูกค้าได้โดยการทำ Audience Segmentation ของผู้บริโภคเมื่อได้กลุ่มที่เราต้องการแล้ว เราสามารถที่จะยิงแคมเปญที่เกี่ยวกับ Loyalty Program คือไปหาลูกค้าได้โดยการใช้ฟังชั่นที่เรียกว่า Automation ผ่านบนแพลตฟอร์มของเรา โดยท่านที่อ่านอยู่สามารถที่จะขอรับตัวอย่าง Demo จากทางทีมงานได้ผ่านฟอร์มด้านล่างได้เลย

    รูปแบบของ Loyalty Program ที่ได้รับความนิยม

    เพื่อให้ Loyalty Program มีประสิทธิภาพสูงสุด ธุรกิจควรออกแบบรูปแบบรางวัลหรือสิ่งตอบแทนที่สอดคล้องกับพฤติกรรมลูกค้าและลักษณะธุรกิจ โดยสามารถแบ่งประเภทได้ดังนี้:

    1. Point-based Program (สะสมแต้มแลกของรางวัล)

    ระบบคลาสสิกที่ลูกค้าได้รับแต้มจากการซื้อสินค้า/ใช้บริการ แล้วนำมาแลกรางวัล เช่น ส่วนลด ของพรีเมี่ยม หรือสิทธิพิเศษต่าง ๆ

    2. Tier-based Program (ระบบระดับสมาชิก)

    ยิ่งลูกค้าใช้จ่ายมาก ยิ่งได้เลื่อนระดับสมาชิกสูงขึ้น พร้อมสิทธิพิเศษที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ เช่น Silver, Gold, Platinum

    3. Cashback Program (เงินคืน)

    ลูกค้าจะได้รับเงินคืนจากการใช้จ่าย ซึ่งสามารถนำกลับมาใช้ในครั้งถัดไปได้ เป็นแรงจูงใจที่ทำให้ลูกค้า “กลับมาใช้ซ้ำ”

    4. Paid/VIP Program (สมาชิกแบบชำระเงิน)

    ลูกค้าจ่ายค่าสมาชิกเพื่อแลกรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ เช่น ส่งฟรี ส่วนลดพิเศษ หรือสินค้าลิมิเต็ด (ตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จคือ Amazon Prime)

    5. Mission-based Program (สะสมแต้มจากกิจกรรมต่าง ๆ)

    ให้แต้มหรือรางวัลจากการทำกิจกรรม เช่น แชร์รีวิว แนะนำเพื่อน ติดตามโซเชียลมีเดีย เพิ่มการมีส่วนร่วมระหว่างลูกค้ากับแบรนด์มากขึ้น

    ปัจจัยความสำเร็จของ Loyalty Program

    การออกแบบ Loyalty Program ให้ประสบความสำเร็จนั้น ไม่ใช่แค่แจกของ แต่ต้องอิงกับกลยุทธ์และพฤติกรรมผู้บริโภคจริง:

    • เข้าใจลูกค้าผ่านข้อมูล (Customer Insight): การใช้ CDP (Customer Data Platform) เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อและความชอบ

    • เสนอสิ่งตอบแทนที่มี “คุณค่า” จริง: ของรางวัลควรมีความพิเศษ หรือเป็นเอกสิทธิ์ เช่น สินค้าลิมิเต็ด สิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก

    • สื่อสารอย่างตรงจุด (Targeted Communication): ใช้ Audience Segmentation เพื่อส่งโปรโมชั่นเฉพาะกลุ่ม

    • ทำให้ลูกค้า “รู้สึกสำคัญ”: เช่น ส่งอีเมล์อวยพรวันเกิด หรือข้อเสนอเฉพาะลูกค้าประจำ

    เทรนด์ Loyalty Program ที่มาแรงในปี 2025

    • 🔁 Real-time Loyalty: โปรแกรมที่ให้รางวัลแบบเรียลไทม์ เช่น แต้มสะสมทันทีเมื่อสแกนจ่ายเงิน

    • 🌱 Value-based Loyalty: ลูกค้าได้รับรางวัลจากพฤติกรรมเชิงจริยธรรม เช่น ซื้อสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ได้รับแต้มพิเศษ

    • 🎮 Gamification: การทำ Loyalty Program ให้เหมือนเกม เช่น ภารกิจรายสัปดาห์ สะสม Badge หรือ Ranking

    สรุป: Loyalty Program คือกุญแจสู่ความยั่งยืนของแบรนด์

    ในยุคที่ต้นทุนการหาลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ การรักษาฐานลูกค้าเก่าและทำให้พวกเขากลับมาซื้อซ้ำ จึงสำคัญมากกว่าเดิม โปรแกรม Loyalty ไม่ใช่แค่เครื่องมือจูงใจ แต่เป็น การสื่อสารว่าแบรนด์ “เห็นคุณค่า” ของลูกค้า และพร้อมจะตอบแทนความภักดีด้วยสิทธิประโยชน์ที่เหมาะสม

    หากธุรกิจนำ Loyalty Program มาผสานกับข้อมูลเชิงลึกและระบบ Automation ที่มีประสิทธิภาพ จะสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น และเปลี่ยนลูกค้าธรรมดาให้กลายเป็น “แฟนพันธุ์แท้” ของแบรนด์ได้ในระยะยาว

     

     

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

      Yearly Budget

      How do you know us?

      [/row]

       

      Customer Journey มีความสำคัญอย่างไรกับการทำการตลาด

      Customer-Journey

      Connect-X จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ Customer Journey ในยุคปัจจุบันว่ามีความสำคัญอย่างไร เพื่อนๆที่อ่านบทความนี้คงเคยได้ยินเกี่ยวกับกระบวนการทางการตลาดที่เรียกว่า Customers journey แต่ทราบหรือไม่ว่าคำเหล่านี้หมายถึงอะไรกันแน่ ? วันนี้ทาง ConnectX เลยเขียนบทความที่เกี่ยวกับ Customers Journey มาให้ได้อ่านกันค่ะ

      อย่างแรกเราจะต้องเข้าใจเส้นทางของลูกค้ากันก่อน

      การเดินทางของลูกค้า (Customers Journey) คือแผนที่เส้นทางที่ลูกค้าใช้ตั้งแต่การเข้ามาเลือกซื้อจนกระทั่งปิดการขาย เส้นทางของลูกค้า(Customer Journey) สามารถคดเคี้ยวและวนเวียนไม่เหมือนกับช่องทางการตลาดแบบเดิมในอดีตที่ยังไม่มีการขายแบบออนไลน์ ยิ่งลูกค้าเลือกซื้อขายของนานเท่าไหร่ เส้นทางของลูกค้า โดยเฉลี่ยก็จะยิ่งยาวขึ้นและซับซ้อนมากยิ่งขึ้นแต่นั้นก็เป็นข้อดีทำให้เรามีข้อมูลที่สามารถเก็บเพิ่มและนำไปวิเคราะห์ได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

      การติดตามการเดินทางของลูกค้า อาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ต้องใช้ข้อมูลมากมายในการค้นหาว่าลูกค้ากำลังทำอะไรอยู่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อบางอย่างและอยู่ในขั้นตอนกระบวนการไหนแล้วในระหว่างซื้อ จึงเป็นการยากที่จะสร้างภาพที่แม่นยำ 100 เปอร์เซ็นต์ (Customer Journey Map) แต่ถ้าเรามีข้อมูลที่เพียงพอ การศึกษาเส้นทางในการซื้อของลูกค้าจะมีเป็นประโยชน์มาก อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้าเพราะเราสามารถนำ Customers journey ที่ได้ไปวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงเส้นทางการเข้ามาของลูกค้าการซื้อของลูกค้ารวมทั้งกระทั่งช่องทางการปิดการขายว่าทำไมลูกค้าถึงได้เลือกซื้อผ่านช่องทางนี้ ช่องทางที่ลูกค้าได้เลือกซื้อดีกว่าช่องทางอื่นอย่างไรจึงนำไปสู่การทำ Personalize marketing ซึ่งการที่ดู Customers journey แน่นอนว่าคุณจะต้องดูทีละคนเก็บรวบรวมข้อมูล Data ของลูกค้าที่มีความเหมือนกันคล้ายคลึงกันแล้วจัดทำ segmentation เพื่อนำไปสู่การทำ Personalize marketing ต่อไป

      Modern Consumer Journey: Everything You Need to Know

      การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey)

      1. Awareness (การรับรู้)

      การรับรู้หมายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการไปยังกลุ่มเป้าหมาย ในระหว่างขั้นตอนAwareness การเดินทางของผู้บริโภค มีความสำคัญอย่างมากลูกค้าจะค้นหาโซลูชันและพบกับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่มากมายแต่เราจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเกิดความสนใจและหยุดที่เรา

      ดังนั้นสิ่งที่เราต้องรู้ในขั้นตอนของ Awareness คือ

      สิ่งที่ผู้บริโภคกำลังทำ: ในขั้นตอนนี้ ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะทำการค้นหาข้อมูลและเปรียบเทียบจากหลายแหล่ง ซึ่งอาจรวมถึงการค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาจากKeyword ที่สำคัญ การอ่านโพสต์ในบล็อกและบทความข่าวหรือการเรียกดูฟอรัมออนไลน์

      แบรนด์สามารถทำอะไรได้บ้าง: ลูกค้าหรือผู้บริโภคจะต้องตั้งคำถามเสมอว่าแบรนด์หรือสินค้าที่จะเลือกซื้อมานั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาและตอบโจทย์เราอย่างไรเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการแล้ว

      อย่างไรก็ตามเราคงไม่อยากที่จะให้ลูกค้าเข้าถึงการรับรู้ถึงแบรนด์เพียงอย่างเดียวนั่นจึงนำไปสู่ข้อถัดไปก็คือให้ลูกค้าเกิดการพิจราณา(Consideration) แบรนด์หรือสินค้าของเรา

      2. Consideration (การพิจารณา)

      ในขั้นตอนนี้แบรนด์จะให้ความสำคัญอย่างมากกับโปรโมชั่นในระหว่างขั้นตอนการพิจารณา(Consideration) นี่คือจุดที่ลูกค้าเริ่มมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการซื้อในอดีตหรือร้านเดิมที่เคยซื้อหรือใช้บริการ ในระหว่างขั้นตอนนี้สินค้าหรือบริการของเราจะต้องพยายามโน้มน้าวให้ผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าหรือมีโอกาสจะซื้อรวมเราไว้ในรายการตัวเลือกร้านที่จะซื้อเพื่อพิจราณาต่อไป

      แบรนด์ของเรามักจะได้รับการพิจารณา(Consideration) ควบคู่ไปกับแบรนด์อื่นๆอย่างแน่นอนดังนั้นเราจึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกๆ Journey ของลูกค้าจะต้องสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า

      ณ จุดนี้ ผู้บริโภคจะมีการพูดคุยโต้ตอบโดยตรงกับแบรนด์ และเราจะต้องพยายามให้ลูกค้าอยู่บน Customer journey ของเราให้ได้

      ถึงตรงนี้ลูกค้าสามารถทำการค้นหาแบรนด์และผลิตภัณฑ์เฉพาะ เปรียบเทียบคู่แข่ง ซึ่งอาจรวมถึงการดูข้อกำหนดและคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์และบริการอย่างใกล้ชิด การตรวจสอบนโยบายการสนับสนุนลูกค้า และการดูรีวิวจาก KOL หรือ Influencer

      สิ่งที่แบรนด์สามารถทำได้คือ ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) เพิ่มประสิทธิภาพ UX อย่างต่อเนื่องในทุกๆ Touchpoint รวมถึงธุรกรรมอีคอมเมิร์ซและหน้าคำอธิบายโดยต้องง่ายรวดเร็วและกระชับ

      ตัวอย่างเช่น คนๆ หนึ่งรู้ตัวว่ากำลังหิวและสามารถมองหาร้านอาหารในแอปอย่าง Google Maps ได้

      สมมติว่าธุรกิจของเรามีองค์ประกอบที่ครบตามที่ Google maps ให้ใส่ เช่น มีข้อมูลเกี่ยวกับประเภทอาหารที่ขาย เมนู รูปภาพของสถานที่และอาหาร หมายเลขโทรศัพท์ และคำวิจารณ์เชิงบวกจากลูกค้าที่จริงใจ ในกรณีนี้ เราอาจทำให้ลูกค้าคิดว่าเราเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับสิ่งที่พวกเขากำลังมองหาร้านอาหารดีดีสักที่

      3. Purchase (การซื้อ)

      เมื่อลูกค้าได้รับข้อมูลได้มากระดับหนึ่งและพิจราณาแล้วว่ารู้สึกมั่นใจว่าสินค้านี้ดีเเละจะตอบโจทย์ความพึงพอใจของลูกค้าได้ จึงตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นๆ

      ในขั้นตอนการซื้อนั้น ผู้ให้บริการหรือผู้ที่ขายสินค้าจะต้องทำอย่างไรก็ได้ที่จะให้ลูกค้าสะดวกสบายในการจ่ายเงินมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ลูกค้ามีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย Ex. บัตรเครดิต บัตรเดบิต โอนผ่านบัญชีธนาคาร ชำระผ่านตัวกลางอย่างเช่น Shopeepay หรือ ผู้ให้บริการบางรายในปัจจุบันสามารถให้ลูกค้าเลือกผ่อนชำระได้ และมากไปกว่านั้นสามารถจ่ายเป็นคริปโตได้อีกด้วย

      ดังนั้นขั้นตอนการซื้อหลังจากที่ลูกค้าพิจราณาแล้วจึงมีความสำคัญอย่างมากถ้าเกิดในระหว่างการซื้อสินค้าของลูกค้าเกิดเว็บล่ม ระบบไม่ทำงานอาจทำให้ลูกค้าบางรายเกิดการเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าจากแบรนด์คู่แข่งไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมแทน

      4. Retention (การใช้บริการซ้ำหรือการซื้อซ้ำ)

      ในขั้นตอน Retention หมายถึง เมื่อลูกค้าเกิดความพึงพอใจใน Customers journey ตั้งแต่ Awareness Consideration และ Purchase แต่ไม่ใช่แค่นั้นเมื่อลูกค้าได้ลองใช้บริการหรือสินค้าแล้วและเกิดความพึงพอใจต่อ Product หรือ Service ก็สามารถทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้เช่นกัน ดังนั้นแบรนด์ควรมีช่องทางการสื่อสารกับลูกค้า เพื่อแจ้งโปรโมชั่น ข่าวสารส่วนลด รวมถึงสินค้าและบริการใหม่ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ และควรที่จะขอข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไว้ด้วยเช่น E-mail เพื่อทำ E-mail marketing ส่งโปรโมชั่นส่วนลดต่างๆให้กับลูกค้า

      และมากไปกว่านั้นประสบการณ์หลังการขายก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำหรือซื้อซ้ำ การให้บริการหลังการขายที่ดีจะทำให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากลูกค้าจะไปแนะนำเพื่อนหรือครอบครัวให้ใช้บริการหรือซื้อสินค้าของเราต่อไปเราเรียกว่า Advocacy

      5. Advocacy (การบอกต่อหรือการสนับสนุน)

      การที่จะเกิด Advocacy ได้ต้องมาจาก Customer experience ที่ดี อย่างที่บอกไปในข้อ 4 ว่า เมื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์หลังการขายที่ดีจะทำให้เกิดการตลาดแบบบอกต่อแบบปากต่อปากการตลาดแบบปากต่อปากหรือบอกต่อ คือหนึ่งในวิธีทำการตลาดที่ทรงพลังมากที่สุด ลูกค้าจะไปแนะนำเพื่อนหรือครอบครัวให้ใช้บริการหรือซื้อสินค้าของเราต่อไป ซึ่งสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ๆมายังแบรนด์ได้ หลายๆคนตัดสินใจซื้อตามรีวิวจากเพื่อนร่วมงานหรือ KOL & Influencer เมื่อคนหนึ่งบอกเพื่อนคนหรือสองคนและคนอื่นๆ

      เราสามารถที่จะจัดเป็นแคมเปญด้านการตลาดได้อีกด้วยอย่างเช่น Referrals แคมเปญ หมายถึงถ้าลูกค้าใช้สินค้าเราและคิดว่าดีขอให้ลูกค้าบอกต่อเพื่อนหรือคนในครอบครัวของลูกค้าและเมื่อลูกค้าบอกต่อแล้วเกิดการซื้อถึง 5 คนขึ้นไปโดยอ้างอิงจากชื่อของลูกค้าทางเราจะมี Vouncher เงินสดให้กับลูกค้ามูลค่า 1,000 บาทเพื่อใช้ซื้อของของทางแบรนด์เรา

      โดยการที่จะทำ advocacy ได้นั้น เราต้องคำนึงถึงสิ่งสำคัญคือเส้นทางของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมถึงบริการต่างๆ ว่าสอดคล้องกับเส้นทางของลูกค้าหรือไม่ ดังนั้นเราก็ต้องย้อนกลับไปดูข้างบนเรื่อง Customers Journey การที่เราสามารถเข้าใจเส้นทางข้างลูกค้าจะทำให้เราเข้าไปอยู่ในเส้นทางของลูกค้าซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและการบอกต่อเพื่อให้ผู้อื่นมาซื้อเช่นเดียวกันกับตัวลูกค้า

      https://www.superoffice.com/blog/customer-journey/

      สรุปสั้นๆจากบทความ

      การที่เราสามารถรู้ Customers Journey ของลูกค้าได้นั้นมีความสำคัญอย่างมากในการทำการตลาดปัจจุบัน เพื่อปรับปรุงและแก้ไขข้อบกพร่องของเราเองเพื่อทำให้เกิดความประทับกับลูกค้าได้มากที่สุดตั้งแต่การเห็นสินค้าหรือแบรนด์ การพิจราณาเปรียบกับคู่แข่ง การซื้อสินค้าและการบริการหลังการขาย ไปจนถึงการซื้อซ้ำหรือบอกต่อของลูกค้า ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้เราสามารถที่จะนำไปทำ Personalize marketing ได้จากข้อมูล journey โดยการแบ่ง segmentation และยิง ads แคมเปญหรือโปรโมชั่น

      ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

      *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

        Yearly Budget

        How do you know us?

        [/row]

        CDP คืออะไร ทำไมทุกแบรนด์ ต้องมี CDP (Customer Data Platform)

        cdp-คืออะไร-ทำไมทุกแบรนด์-ต้องมี-cdp-customer-data-platform

        CDP คืออะไร ?

        ทำไมทุกแบรนด์ต้องมี Customer Data Platform?
        ถ้าไม่มี Customer Data Platform แล้วจะอยู่รอดไหม ในยุค Digital Transformation 

        ก่อนอื่นแอดมินขอพาทุกคนมาทำความรู้จักกับ Customer Data Platform กันก่อนครับ

        Customer Data Platform คือ ฐานลับของแบรนด์ที่มีไว้วิเคราะห์และเก็บข้อมูลลูกค้า โดยคำว่า CDP ย่อมาจาก Customer Data Platform นั่นเองครับ

        ทำไมต้องเก็บข้อมูลลูกค้าไว้ใน CDP ?

        CDP คือ โปรแกรมที่ถูกออกแบบมาเพื่อนักการตลาดโดยเฉพาะ ที่ไม่ใช่แค่เก็บข้อมูลลูกค้าแต่สามารถช่วยวิเคราะห์ข้อมูล จนทำให้นักการตลาดรู้ลึกถึง Customer Insight ทำให้ Brand สามารถทำการตลาดแบบ Personalized Marketing ได้แม่นยำยิ่งขึ้นนั่นเองครับ

        แล้ว CDP จาก Platform แบบไหนล่ะ ถึงจะตอบโจทย์ Brand มากที่สุด ?

        วันนี้ผมได้คัดตัวอย่าง Feature หลักๆของ Customer Data Platform สำหรับ Brand ยุค Digital
        จาก Marketing Platform ของ Connect X ฉบับเข้าใจง่ายๆ มาให้เรียบร้อยแล้ว จะมีอะไรกันบ้างไปดูกันเลยครับ

        1. Customer Single View 

        ยิ่งเก็บข้อมูลเยอะเท่าไหร่ ยิ่งต้องมี Customer Single View

        Customer Single View  คือ สิ่งที่จำเป็นอย่างมากสำหรับ Brand ในยุคนี้ เนื่องจากหากข้อมูลของลูกค้าอยู่อย่างกระจัดกระจาย จะทำให้นักการตลาดไม่สามารถทำการสื่อสารการตลาดได้อย่างแม่นยำ เพื่อมองเห็นภาพรวมทุกการเชื่อมต่อของลูกค้ากับ Brand ในมุมมองเดียว Customer Single View จะทำให้ Brand สามารถสื่อสารการตลาด ไปยังลูกค้าแต่ละคนได้แบบแม่นยำยิ่งขึ้น ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อมาจากช่องทางไหน Brand ก็สามารถมองเห็นภาพรวมของลูกค้าและประสานประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) เป็นหนึ่งเดียวได้ทั้งช่องทาง Online และ Offline แบบ Omni-Channel

        CDP จาก Platform ของ Connect X ได้เข้ามาตอบโจทย์ Brand ในการทำการตลาดยุคใหม่ ที่ต้องเชื่อมต่อทุกประสบการณ์ของลูกค้าเป็นหนึ่งเดียวแบบไม่มีสะดุด ด้วย Global Id อาวุธลับเฉพาะของ Connect X ที่สามารถจับคู่ทุกข้อมูลของลูกค้ารวมเป็นหนึ่งเดียวได้ เพื่อให้ Brand สามารถทำการตลาดแบบ Personalization เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้แม่นยำยิ่งขึ้น

        2. API-Connect

        จบปัญหา เก็บข้อมูลไว้หลายที่ แล้วงงไปหมดว่าใครเป็นใครด้วย API-Connect

        Connect X ช่วยให้ Brand สามารถเชื่อมต่อ (Integrate) กับทุกฐานข้อมูลลูกค้าในระบบหลังบ้านที่ Brand ใช้อยู่ไม่ว่าจะระบบไหน เช่น POS, ERP เข้าถึงทุกข้อมูลของลูกค้า ใน Center เดียว เช่น พฤติกรรมการซื้อสินค้า, แคมเปญโปรโมชั่นที่ลูกค้าแต่ละคนชอบใช้, สินค้าที่ซื้อเป็นประจำ เป็นต้น ทำให้ Brand สามารถสื่อสารการตลาด ส่ง Promotion ให้ลูกค้าได้โดนใจยิ่งขึ้นแบบ Paersonalization พร้อม Connect กับลูกค้าได้แบบไม่มีสะดุด

        3. ระบบ AI ที่ช่วยให้ Brand รู้ใจลูกค้าถึง Insight

        ไม่ใช่แค่รู้จักหรือรู้ใจ แต่รู้ลึกถึง Customer Insight ด้วย ระบบ AI Predictive Lead Scoring ช่วยจัดลำดับลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสินค้าสูงที่สุด ทำให้ Brand สามารถทำแคมเปญการตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น

        ยุคนี้ AI กลายเป็นสิ่งที่ทุกแบรนด์ต้องมี เพื่อเพิ่มขีดความสามารถได้มากกว่า ระบบ AI ทำให้ทุกข้อมูลลูกค้าเป็นเรื่องง่ายด้วยการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นอย่างระบบ (Data Analysis) รู้ลึกถึง Customer Insight แบบ 360° ทำให้ Brand Connect กับลูกค้าได้ในทุกๆการเชื่อมต่อทั้ง Offline และ Online แบบไม่มีสะดุด (Omni-Channel) 

        4. Real-time Marketing Automation

        CDP ที่ดี ต้อง Real-time และมาพร้อมเพื่อนคู่ซี้อย่าง Marketing Automation

        เพราะถึงแบรนด์จะรู้ใจลูกค้าแค่ไหน คงไร้ประโยชน์ถ้าตอบสนองความต้องการไม่ได้ในทันที ทำให้ Markerting Platform จาก Connect X มาพร้อมทั้ง Customer Data Platform และ Marketing Automation ที่จะเข้ามาช่วย Brand ยุคนี้ ให้สามารถรู้ใจลูกค้าถึง Customer Insight แล้วตอบสนองได้ในทันที พร้อมเครื่องมือทำการตลาดอัตโนมัติ

        นักการตลาดสามารถสร้าง Customer Journey พร้อมบริการส่ง SMS, Email Marketing และการยิงโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์ต่างๆเช่น Facebook, Line, Twitter, Instragram หรือ Pantip ได้แบบ Real-Time

        สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม Customer Data Platform ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

        เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม Customer Data Platform & Marketing Automation

        Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

        ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

        *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Martech) และ Customer Data Platform ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

        [/featured_box]

          Yearly Budget

          How do you know us?

          รู้จักกับ “Social Chat” ระบบรวมแชทที่รวมทุกช่องทางไว้ในที่เดียว

          ระบบรวมแชท Social Chat คือเครื่องมือที่รวมการสื่อสารผ่านแชทจากหลายแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook Messenger, LINE OA, WhatsApp และ Instagram DM เข้ามาไว้ในที่เดียว เพื่อให้ธุรกิจสามารถตอบแชทลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ไม่พลาดทุกข้อความ ไม่ตกหล่นทุกโอกาสในการขาย ระบบนี้มักมาพร้อมฟีเจอร์ที่หลากหลาย เช่น การรวมแชทจากหลายช่องทาง (Omni-channel Inbox), การตอบแชทอัตโนมัติ (Chatbot), การมอบหมายงานให้ทีมแอดมิน, การติดแท็กกลุ่มลูกค้า, การดูประวัติการแชทย้อนหลัง และอื่นๆ

          ทั้งนี้ยังมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพิ่มเติม ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามผู้ให้บริการหรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) แต่ละเจ้า ระบบรวมแชทไม่เพียงช่วยให้เหล่าแอดมินตอบลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยเหลือในด้านการบริหารจัดการภายในธุรกิจได้อีกด้วย

          [/col]

          ปัจจุบันช่องทางการซื้อขายในรูปแบบ Social Commerce เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แบรนด์ต่างๆ จึงเริ่มปรับตัวและวางกลยุทธ์ทางการตลาดในด้านนี้มากขึ้น โดยเฉพาะการตลาดบน Social Media ที่หากแบรนด์ใดการตลาดบนโซเชียลมีเดียได้ดี ก็จะเป็นที่รู้จักและสามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นช่องทางที่ผู้คนนิยมใช้งานมมากที่สุดในปัจจุบันนั่นเอง

          ในยุคโซเชียลแบบนี้ สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือระบบการจัดการ ที่สามารถสนับสนุนธุรกิจให้บริการได้อย่างทันท่วงที รวดเร็วทันใจเหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคสมัยปัจจุบัน ดังนั้น Connect X ขอชวนมาทำความรู้จัก “ระบบรวมแชท” ที่ช่วยอำนวยความสะดวกทั้งด้านการบริการและการจัดการภายในธุรกิจ ช่วยสร้างความประทับใจให้และสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้า อีกทั้งยังปิดการขาย เพิ่มกำไรได้ไวด้วย

           

          Social Chat ระบบรวมแชทจาก Connect X พร้อมฟีเจอร์สุดปัง

          ตอบกลับลูกค้าจากทุก Platform ยอดฮิต ได้ในหน้าจอเดียว สามารถเก็บข้อมูลของลูกค้าและสามารถติดตามได้ว่าลูกค้าทักมาจากช่องทางใด เคยติดต่อจากแพลตฟอร์มไหนมาก่อน เคยสนใจสินค้าอะไร ทำให้แอดมินตอบคำถามและให้คำแนะนำได้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ปิดการขายและสร้างความประทับใจได้รวดเร็วกว่า

          โดย Social Chat ของ Connect X รองรับช่องทางการแชทยอดนิยมมากมายอย่าง Facebook Messenger, LINE OA, Instagram, Website (Live Chat) ไปจนถึง Pantip (Social Listening) พร้อมฟีเจอร์แน่นๆ เพื่อช่วยเหลือแบรนด์อย่างรอบด้าน ได้แก่

          • Ticket Management – สามารถแชทลูกค้าจัดได้อย่างเป็นระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้สูงสุด ทุกข้อความที่ลูกค้าทักเข้ามาใหม่ จะถูกส่งไปหาแอดมินที่ถูกแบ่งหน้าที่เอาไว้ หรือสามารถปรับแต่งได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพิ่มประสิทธิภาพในทุกการตอบกลับ แก้ปัญหาลูกค้าได้ทันที ปิดการขายได้เร็วกว่า
          • Agent Routing – แก้ไขปัญหาแอดมินตอบแชทช้า ด้วยการจัดการเส้นทางให้มีการตอบกลับ 2 รูปแบบ
          • Channel: ตั้งค่าให้แอดมินแยกตอบตามช่องทาง Social Media
          • Most Available: ตั้งค่าให้แอดมินที่ว่างที่สุดเป็นคนตอบแชทล่าสุดก่อน

          นอกจากนี้ยังสามารถวัด Performance การทำงานของแอดมินแต่ละคนได้ ว่ามีการตอบกลับรวดเร็วแค่ไหน มีจำนวนในการตอบกลับเท่าไหร่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและวัดผลได้เป็นอย่างดี

          • Customer Activity – สามารถเห็นทุกความเคลื่อนไหวของลูกค้า ตั้งแต่ก่อนที่ลูกค้าจะติดต่อมาในหน้าจอเดียว เช่น ลูกค้า Add LINE มาจาก โฆษณา (Ads) ตัวไหน และรู้ได้ว่าลูกค้าสนใจสินค้าอะไรก่อนที่จะทักเข้ามา ทำให้ทุกข้อความที่ตอบกลับไปสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้มากกว่า จนลูกค้าติดใจอยากกลับมาซื้ออีกครั้ง เพราะอยากได้รับประสบการณ์ดีๆ แบบนี้อีก
          • Marketing Automation – ช่วยสร้างการเข้าถึงลูกค้าด้วยแคมเปญการตลาดที่สร้าง Customer Journey ให้กับกลุ่มลูกค้าเก่าและกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีกิจกรรมหรือความสนใจคล้ายกัน โดยสามารถสร้าง Journey ในช่องทางที่หลากหลาย เช่น Email, SMS, Facebook, LINE, Web Push notification หรือ Mobile Push notification ซึ่งออกแบบได้ทั้งการส่งแบบ Recurring ตามเงื่อนไขของ Data เช่น Happy Birthday Campaign หรือ Campaign ตามเทศกาลสำคัญอื่นๆ
          • Collect Data to Re-Marketing – สามารถเก็บรายละเอียดบันทึกการขาย (Order) ในหน้าเดียวกันได้ ทำให้ข้อมูลลูกค้าและการขายจากช่องทางต่างๆ ถูกบันทึกเก็บไว้ที่เดียวกันแบบ Unify Customer Data เพื่อนำไปสร้าง แคมเปญหรือทำการ Retargeting ใน Channel อื่นๆต่อไป
          • Pantip Social Listening – ระบบที่เข้ามาช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ในสังคมออนไลน์ โดยสามารถสร้าง Engagement และรับมือกับทุกดราม่าในกระทู้ได้ทันท่วงที ด้วยการจับ Keyword ในกระทู้ Pantip ให้แอดมินตอบกลับได้ทันที ทุกครั้งที่มีลูกค้าพูดถึงแบรนด์

          จากที่กล่าวมาทั้งหมด เห็นได้ว่า Social Chat ระบบรวมแชทจาก Connect X เป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารจัดการแบรนด์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และช่วยสร้างประสบการณ์ในการใช้บริการสุดประทับใจให้กับลูกค้าได้ไม่เหมือนใคร เพราะมีฟีเจอร์สุดเจ๋ง พร้อมยกระดับให้แบรนด์ของคุณสร้างยอดขายจนขึ้นเป็นแนวหน้าในอุตสาหกรรมเลยทีเดียว

           

          ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

          *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

            Yearly Budget

            How do you know us?

             

            5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM (Customer Relationship Management Software) เพื่อธุรกิจยุคใหม่

            customer-relationship-management-software

            Customer Relationship Management Software (CRM) ใครที่อยู่ในแวดวง Tech หรือ Online Marketing คงคุ้นเคยกับคำนี้ CRM เป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวกลางระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี เนื่องจากในปัจจุบัน โลกมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่การตลาดออนไลน์จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นไปด้วย ผู้ประกอบการมือใหม่จำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือหรือตัวช่วยที่สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้จริง และสามารถสื่อสารความต้องการได้อย่างตรงจุด

            โดยระบบ Customer Relationship Management (CRM) เป็นเทคโนโลยีที่มีคอนเซปต์คือ  “การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ผ่านการเก็บข้อมูลเชิงลึก” จึงทำให้ธุรกิจรู้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสมต่อความต้องการของลูกค้า เพื่อที่จะนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ได้จริง เพราะว่าเทรนด์การบริโภคของผู้คนในยุคนี้เปลี่ยนไปอยู่เสมอ การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงหนึ่งครั้งอาจส่งผลเสียที่ยากเกินแก้ไขได้ในระยะยาว ฉะนั้นแบรนด์ไหนที่ปรับตัวได้ไวรู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยได้ก่อน ก็จะได้เปรียบกว่าคู่แข่งในตลาดออนไลน์

            ดังนั้นในวันนี้ Connect X จะพาผู้ประกอบการมือใหม่ทุกคนมาดู 5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM เพื่อธุรกิจยุคใหม่กัน ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

            ทำไม Customer Relationship Management Software ถึงสำคัญต่อธุรกิจ?

            การใช้ CRM Software ไม่ได้มีประโยชน์แค่ในด้านการขายเท่านั้น แต่ยังช่วยธุรกิจในหลากหลายมิติ เช่น:

            • รวบรวมข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ: ไม่ว่าจะเป็นประวัติการซื้อสินค้า ความสนใจ หรือพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์

            • ปรับแต่งการตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย: ด้วยข้อมูลเชิงลึก ทำให้แบรนด์สามารถทำ Personalized Marketing ที่ตรงจริตลูกค้า

            • เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ: พนักงานขายหรือฝ่ายบริการสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ ทำให้ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

            • วิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมลูกค้า: เพื่อวางแผนกลยุทธ์ล่วงหน้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตอบโจทย์ยิ่งขึ้น

            มารู้จักระบบ Customer Relationship Management Software ให้มากขึ้น

            Customer Relationship Management หรือที่หลายคนเรียกกันว่า ระบบ CRM แท้ที่จริงแล้วเป็นเครื่องมือสำหรับการทำการตลาดออนไลน์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็รักษาฐานลูกค้าเดิมให้อยู่กับแบรนด์ไปนานๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบแคมเปญในช่องทางต่างๆ ทั้งการทำ Email Marketing ไปจนถึงการทำ Personalized Marketing ซึ่งเป็นการคิดแคมเปญหรือคอนเทนต์ที่ถูกจริตกับกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการ โดยทั้งหมดจะอิงจากการเก็บข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าผ่านพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์หรือประวัติการเข้าชมและซื้อสินค้า และตามแนวทางอื่นๆ ที่สำคัญคือการเก็บข้อมูลเหล่านี้ต้องเป็นไปตาม PDPA เพื่อให้ถูกต้องตามหลักข้อกฎหมายที่ต้องให้ความเป็นส่วนตัวต่อข้อมูลของลูกค้าให้มากที่สุด

            โดยระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าหรือ CRM นี้ หากใช้อย่างถูกต้องจะส่งผลให้กลุ่มลูกค้าเกิดความประทับใจและเป็นการสร้าง Brand Loyalty ให้กับองค์กรในระยะยาว พูดง่ายๆ คือเครื่องมือนี้ไม่ได้เน้นเพียงแค่การขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเก็บรวบรวมและจัดการกับข้อมูลของลูกค้าเพื่อให้สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อแบรนด์ในแง่ของการพัฒนาและปรับปรุงแผนการตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในอนาคตนั่นเอง

            5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM

            สำหรับแบรนด์หรือนักการตลาดมือใหม่ที่กำลังสนใจในการใช้เครื่องมือ CRM แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ConnectX จะมาแนะนำเทคนิคพื้นฐานที่ต้องรู้ เริ่มจาก

            1.เก็บข้อมูลให้รอบด้าน

            เหนือสิ่งอื่นใดหากต้องการให้เครื่องมือ CRM สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แบรนด์หรือองค์กรจำเป็นที่จะต้องมีการสร้างฐานข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้มองเห็นภาพรวมทุกการ “ติดต่อ (Connect)” ของลูกค้าครบทุกมิติ โดยไม่ว่าจะในแผนกใดของแบรนด์ก็ตามจำเป็นที่จะต้องมีฐานข้อมูลลูกค้าชุดเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย ฝ่ายบริการ ฝ่ายการตลาด เป็นต้น พูดง่ายๆ ว่าหากแบรนด์หรือองค์กรสามารถจับคู่ทุกข้อมูลของลูกค้าให้รวมเป็นหนึ่งเดียวได้ ก็จะทำให้การทำงานในขั้นต่อไปมีความสะดวกและลดปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวได้ด้วยนั่นเอง

            2.ใช้ AI และ Big Data ให้สอดคล้องกับธุรกิจยุคใหม่

            ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีสมัยใหม่มีความสามารถที่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับเทรนด์การทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันที่ไม่ใช่แค่รู้ใจลูกค้าเพียงเท่านั้น แต่แบรนด์ยังต้องตอบสนองความต้องการต่างๆ ของลูกค้าในทันที ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องมือ CRM ที่มีระบบ AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกหรือคาดการณ์ข้อมูลต่างๆ นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะขาดไปไม่ได้ เพราะระบบ AI จะช่วยให้งานของแบรนด์ลดน้อยลงแต่สามารถสื่อสารได้ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวนั่นเอง

            3.กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัด

            หากแบรนด์เลือกใช้เครื่องมือที่มีเทคโนโลยี AI หรือ Big Data แล้ว นั่นหมายถึงการคาดการณ์กลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นลูกค้าของแบรนด์ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยอาจจะเริ่มต้นการทำ Audience Segmentation หรือการแบ่งกลุ่มลูกค้าเพื่อให้สามารถทำการตลาดแบบ Hyper-Personalization ซึ่งจะเป็นการเจาะลึกพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ลึกมากขึ้น

            4.สื่อสารให้ตรงจุด

            ในขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เนื่องจากจะเป็นการสื่อสารและโต้ตอบกับลูกค้าผ่านข้อมูลเชิงลึกที่ได้เก็บรวบรวมมาในตอนแรก อย่างที่บอกว่าในปัจจุบันกลุ่มลูกค้าสมัยใหม่ต้องการบริการแบบเฉพาะบุคคลเพิ่มมากขึ้น และมีความคาดหวังให้แบรนด์ช่วยนำเสนอสินค้าและบริการที่จะตอบโจทย์ความต้องการให้ได้มากที่สุด ถือได้ว่าเป็นความท้าทายที่แบรนด์ยุคใหม่ต้องเผชิญ พูดง่ายๆ ว่านอกเหนือจากการแข่งขันกับแบรนด์ต่างๆ ด้วยกันเองแล้ว แบรนด์ยังต้องพยายามพิชิตใจลูกค้าให้ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามข้อควรระวังคืออย่าให้การสื่อสารกลายเป็นการสร้างความรำคาญให้แก่ลูกค้าแทน ไม่เช่นนั้นแทนที่จะได้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นอาจจะกลายเป็นยอดคอมเมนต์ในด้านลบมากขึ้นแทน

            5.ประเมินผลและพัฒนากลยุทธ์อยู่เสมอ

            เพื่อเป็นการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น การตรวจสอบและคอยประเมินผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมว่าโลกในตอนนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ทำให้ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับกระแสใหม่ๆ ที่อาจส่งผลต่อความคิดความต้องการของกลุ่มลูกค้า หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ได้มากกว่า ดังนั้นแบรนด์หรือองค์กรควรที่จะต้องหมั่นตรวจสอบถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้เพื่อคอยประเมินผลและปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของแบรนด์พร้อมที่จะแข่งขันกับคู่แข่งและสามารถพิชิตความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด

            สรุป 5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ Customer Relationship Management

            ต้องบอกว่าแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน โดยส่วนมากแล้วมี Business Model ที่สอดคล้องกับเทรนด์ของ Digital Transformation ในโลกธุรกิจยุคปัจจุบันที่มีการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปในทุกอณูของแบรนด์หรือองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในการทำงานด้านการตลาดที่ต้องอาศัยเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาช่วยให้การทำงานมีความลื่นไหลและมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น อย่างการใช้เครื่องมือที่ช่วยในการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ก็ถือได้ว่าเป็นหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งการมีเครื่องมือที่ดีก็เปรียบเสมือนกับการที่แบรนด์มีแขนและขาเพิ่มขึ้น นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นและผลกำไรที่มากขึ้นในระยะยาว

            ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

            *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

              Yearly Budget

              How do you know us?

              Marketing-Automations ใช้อย่างไรให้เวิร์ก พร้อมข้อควรระวังที่ธุรกิจห้ามมองข้าม

              Marketing-Automations

              ในโลกของการตลาดดิจิทัลที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การแข่งขันไม่ได้วัดกันแค่ที่สินค้าหรือราคาอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของความเร็ว ความแม่นยำ และประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับในแต่ละช่วงของการเดินทางกับแบรนด์ (Customers Journey) หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่เข้ามามีบทบาทในยุคนี้คือ Marketing-Automations หรือระบบการตลาดแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ตรงกลุ่ม และต่อเนื่องได้แบบไม่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก

              เครื่องมือนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่เพียงช่วยประหยัดเวลาและต้นทุน แต่ยังช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และสามารถสร้างประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลได้ในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม หากใช้โดยขาดความเข้าใจหรือวางแผนไม่รอบคอบ ก็อาจสร้างผลเสียต่อความสัมพันธ์กับลูกค้าได้เช่นกัน

              บทความนี้ Connect X จะพาคุณไปรู้จักข้อดีของ Marketing-Automations ที่ทุกธุรกิจควรใช้ และข้อควรระวังที่ห้ามมองข้ามหากอยากให้การตลาดของคุณลื่นไหลอย่างมีประสิทธิภาพ

              ข้อดีที่ทำให้ใครๆ ต่างใช้ Marketing-Automations

              Marketing Automation หรือ “ระบบการตลาดแบบอัตโนมัติ” คือแพลตฟอร์มหรือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยธุรกิจจัดการงานการตลาดที่ซับซ้อนให้กลายเป็นกระบวนการอัตโนมัติ ฟีเจอร์หลักๆ ที่พบได้บ่อย เช่น:

              • การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Potential Customer) ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
              • การจัดเก็บและบริหารข้อมูลลูกค้าแบบเป็นระบบ เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่นำไปใช้ได้จริง
              • การช่วยเสริมความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้า โดยมักเชื่อมกับระบบ CRM
              • การสร้างและส่งแคมเปญการตลาดอัตโนมัติ เช่น Email Marketing, SMS, Push Notification หรือโฆษณาผ่าน Social Media
              • การช่วยลดต้นทุนและเวลาในการสร้างและจัดการแคมเปญ

              ระบบ AI ที่ทำงานแบบอัตโนมัติยังสามารถช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การสร้างรายงาน การติดตามผล หรือแม้แต่การตอบกลับข้อความจากลูกค้า ทำให้ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กหรือ SME ที่มีงบจำกัด ก็สามารถใช้ Marketing-Automation เป็นตัวช่วยยกระดับการตลาดให้แข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ได้อย่างมืออาชีพ

              3 ข้อควรระวังของการใช้ Marketing-Automations

              ถึงแม้ Marketing-Automation จะมีประสิทธิภาพสูง แต่หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง ก็อาจสร้างผลกระทบในทางลบต่อแบรนด์ได้เช่นกัน ต่อไปนี้คือ 3 ข้อควรระวังที่ธุรกิจควรตระหนักก่อนนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้

              1. ไม่ทำความเข้าใจผู้บริโภคก่อนเริ่มทำแคมเปญ

              หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดในการใช้ระบบอัตโนมัติคือการเร่งทำแคมเปญโดยไม่เข้าใจลูกค้าให้ลึกซึ้งพอ หลายธุรกิจมองว่า Marketing Automation เป็นเครื่องมือที่เพียงพอจะทำให้แคมเปญประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องศึกษาพฤติกรรมหรือความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งความจริงแล้วระบบนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อถูกวางแผนให้สอดคล้องกับ Customer Journey อย่างแท้จริง

              หากข้ามขั้นตอนสำคัญอย่างการทำความเข้าใจความคาดหวัง จุดเจ็บปวด หรือแรงจูงใจของลูกค้า ระบบจะส่งข้อความหรือข้อเสนอที่ไม่ตรงจุด ทำให้เสียโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ และอาจทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกด้านลบต่อแบรนด์ได้

              2. แบรนด์พึ่งพาระบบ Marketing Automation มากเกินไป

              แม้ Marketing-Automation จะสามารถช่วยลดภาระงานได้อย่างมาก แต่การใช้มันเป็นตัวแทนมนุษย์ในทุกสถานการณ์ถือเป็นเรื่องเสี่ยง ระบบอัตโนมัติไม่สามารถตีความอารมณ์หรือเจตนารมณ์ของผู้บริโภคได้เสมอ เช่น ลูกค้าโกรธจากการจัดส่งล่าช้า แต่ได้รับข้อความแนะนำโปรโมชันใหม่ แทนที่จะเป็นข้อความขอโทษหรือคำชี้แจง ระบบจึงอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงได้

              แบรนด์ควรมี “จุดแทรกแซงของมนุษย์” อย่างน้อยในขั้นตอนสำคัญ เช่น การตอบคำถามซับซ้อน การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือการประเมินสถานการณ์แคมเปญก่อนปล่อยออกไป ซึ่งการใช้ระบบอย่างสมดุลจะช่วยให้การสื่อสารยังคงมีความเป็นมนุษย์และน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

              3. ข้อมูล (Data) ที่มียังไม่เพียงพอ

              ระบบอัตโนมัติจะทำงานได้ดีต่อเมื่อมีข้อมูลที่มีคุณภาพและครอบคลุมเพียงพอ หากธุรกิจเพิ่งเริ่มเก็บข้อมูลลูกค้า หรือยังไม่มีระบบ CDP (Customer Data Platform) ที่เป็นศูนย์กลาง ข้อมูลที่ใช้ในการสร้างแคมเปญจะกระจัดกระจาย ไม่สามารถนำไปวิเคราะห์เชิงลึกหรือปรับแต่งการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

              ตัวอย่างเช่น หากไม่มีข้อมูลว่าลูกค้าอยู่ในช่วงไหนของการตัดสินใจซื้อ ก็ไม่สามารถเลือกรูปแบบข้อความหรือช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมได้ หรือหากข้อมูลผิดพลาด เช่น คำขึ้นต้นเพศไม่ตรง หรือส่งแคมเปญซ้ำซ้อน ระบบก็จะสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับลูกค้าและทำให้แบรนด์เสียความน่าเชื่อถืออย่างรวดเร็ว

              การลงทุนในระบบจัดเก็บและจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบจึงเป็นรากฐานสำคัญที่ควรมาก่อนการใช้ Marketing Automation

              ระบบ Marketing-Automation ที่เข้าใจลูกค้าจริง ๆ จาก Connect X

              ทั้ง 3 ข้อควรระวังนี้ เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดควรคำนึงถึงก่อนเริ่มใช้งานระบบ Marketing Automation เพื่อให้แน่ใจว่าระบบนี้จะเป็นตัวช่วยที่ทรงพลังในการขับเคลื่อนการตลาด ไม่ใช่อุปสรรคที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของลูกค้า

              หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือ Marketing-Automation ที่ไม่ใช่แค่ “อัตโนมัติ” แต่ยังสามารถเรียนรู้ลูกค้าและปรับตัวตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ Connect X คือคำตอบที่เหมาะสมที่สุด ด้วยระบบ CDP (Customer Data Platform) ที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าแบบ 360 องศา ผสานเข้ากับ Marketing Automation อัจฉริยะ และเครื่องมือการตลาดแบบ Real-Time ที่ช่วยให้ทุกแคมเปญมีเป้าหมายชัดเจน เข้าถึงลูกค้าได้ตรงจุด และสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริงในทุกขั้นตอนของการตลาดยุคใหม่

              ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

              *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                Yearly Budget

                How do you know us?

                ประโยชน์ของ CRM และ CDP บริษัทควรเลือกใช้อันนี้ดี?

                ประโยชน์ของ-CRM-และ-CDP

                ในยุคที่พฤติกรรมลูกค้าเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือธุรกิจที่เข้าใจลูกค้าอย่างแท้จริง และสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ ซึ่งสิ่งนี้ไม่สามารถทำได้ด้วยความรู้สึกหรือประสบการณ์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยข้อมูลลูกค้าในระดับลึก และเครื่องมือที่ช่วยบริหารจัดการข้อมูลเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด นั่นคือเหตุผลที่ CRM และ CDP เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้นในโลกของการตลาดยุคใหม่ อย่างไรก็ตาม หลายคนอาจสับสนว่าระหว่าง CRM กับ CDP เราควรเลือกใช้อะไร เพราะดูเหมือนทั้งสองระบบจะเกี่ยวข้องกับ “ข้อมูลลูกค้า” เหมือนกัน บางคนอาจเคยได้ยินว่าทั้งคู่ช่วยให้เข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้น แต่ไม่แน่ใจว่าแตกต่างกันอย่างไร วันนี้ Connect X จะพาคุณไปเจาะลึกให้ชัดเจนว่า ประโยชน์ของ CRM และ CDP มีอะไรบ้าง และแพลตฟอร์มไหนที่เหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด

                Customer Data Platform (CDP) และ Customer Relationship Management (CRM)

                ก่อนจะลงลึกถึง ประโยชน์ของ CRM และ CDP เราควรมาทำความเข้าใจพื้นฐานของทั้งสองระบบกันก่อน เพราะถึงแม้ชื่อจะฟังดูแตกต่าง แต่ทั้ง CDP และ CRM ต่างก็เกี่ยวข้องกับการจัดเก็บข้อมูลลูกค้า และนั่นเองที่ทำให้หลายคนมักสับสนว่าระบบไหนเหมาะกับธุรกิจของตัวเองมากกว่ากัน

                CRM หรือชื่อเต็มว่า Customer Relationship Management เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์การทำงานของธุรกิจแบบ B2B โดยเฉพาะในฝั่งทีมขายและบริการหลังการขายที่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างใกล้ชิด จุดเด่นของ CRM คือความสามารถในการบันทึกข้อมูลลูกค้าในระดับรายบุคคล ไม่ว่าจะเป็นชื่อ เบอร์โทร ประวัติการซื้อ การพูดคุย หรือแม้แต่สถานะการเจรจาต่อรอง ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ทีมงานสามารถดูแลลูกค้าแต่ละรายได้อย่างต่อเนื่อง เป็นระบบ และมีความเป็นส่วนตัวสูง

                แต่ข้อจำกัดที่หลายคนพบเจอเมื่อใช้ CRM คือการนำเข้าข้อมูลส่วนใหญ่มักต้องทำด้วยวิธี manual หรือกึ่งอัตโนมัติ ข้อมูลที่ได้จึงมีความลึกเฉพาะในส่วนที่ทีมงานบันทึกไว้เท่านั้น ไม่สามารถรวมข้อมูลจากหลายช่องทางหรือเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าในเชิงกว้างได้

                ในทางกลับกัน CDP หรือ Customer Data Platform ถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ของธุรกิจ B2C ที่ต้องบริหารจัดการข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ อย่างเช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย หรือระบบหน้าร้าน จุดแข็งของ CDP คือการรวบรวมข้อมูลจากหลายแหล่งเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ แล้วนำมาสร้างเป็นโปรไฟล์ลูกค้าแบบ 360 องศา ซึ่งมีความลึกและความกว้างในเวลาเดียวกัน ระบบยังสามารถจัดกลุ่มลูกค้า (Segmentation) ได้แบบเรียลไทม์ และรองรับการนำข้อมูลไปใช้กับระบบ Automation และ Personalization ได้ทันที

                แม้ว่า CDP และ CRM จะมีจุดร่วมคือ “การใช้ข้อมูลลูกค้าเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจ” แต่แท้จริงแล้ว ทั้งสองระบบมีวิธีการและเป้าหมายในการจัดการข้อมูลที่แตกต่างกันชัดเจน CRM เน้นความสัมพันธ์เชิงลึกแบบรายบุคคล เหมาะกับทีมขายที่ต้องรู้จักลูกค้าแต่ละคนอย่างละเอียด ในขณะที่ CDP เหมาะกับทีมการตลาดที่ต้องการเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าในภาพรวม และต้องการระบบที่สามารถแยกย่อยข้อมูลจำนวนมากออกมาใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

                การเข้าใจ ประโยชน์ของ CRM และ CDP อย่างถ่องแท้จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับทุกองค์กร เพราะหากเลือกใช้แพลตฟอร์มให้เหมาะกับลักษณะธุรกิจ ก็จะช่วยให้การบริหารข้อมูลลูกค้าไม่เพียงแค่สะดวกขึ้น แต่ยังสามารถเปลี่ยนข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็นกลยุทธ์ที่สร้างการเติบโตให้กับธุรกิจได้จริง

                https://www.mparticle.com/blog/cdp-vs-crm/

                แล้ว CDP กับ CRM อันไหนเหมาะกับองค์กรของเรามากกว่ากันนะ?

                เมื่อพูดถึงการเลือกใช้แพลตฟอร์มสำหรับจัดการข้อมูลลูกค้า หนึ่งในคำถามที่หลายบริษัทมักมีคือ “เราควรใช้ CDP หรือ CRM ดี?” ซึ่งคำตอบไม่ได้มีเพียงขาวกับดำ เพราะทั้งสองระบบต่างมีบทบาทและข้อดีที่แตกต่างกัน แล้วแบบไหนล่ะที่จะเหมาะกับธุรกิจของคุณ? มาลองพิจารณาไปด้วยกัน

                CRM จะเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการโฟกัสที่การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าในแง่ของการขายและบริการหลังการขาย ระบบนี้ช่วยให้เรารู้ได้ว่าลูกค้ารายนี้เคยซื้ออะไรไปบ้าง เคยติดต่อกับเซลส์คนไหน ใช้เวลากี่วันในการปิดการขาย หรือมีปัญหาอะไรที่เคยแจ้งเข้ามา โดยข้อมูลเหล่านี้มักจะถูกบันทึกโดยพนักงานขายหรือฝ่ายบริการลูกค้า ทำให้ CRM กลายเป็นเครื่องมือที่สำคัญสำหรับธุรกิจที่ต้องการดูแลลูกค้าแบบตัวต่อตัว

                แต่ถ้าธุรกิจของคุณต้องการเข้าใจ “พฤติกรรม” ของลูกค้าในระดับลึกมากกว่าแค่ข้อมูลการซื้อขาย เช่น ลูกค้าเข้ามาจากช่องทางไหน คลิกดูสินค้าอะไร เห็นโฆษณาชิ้นไหนก่อนตัดสินใจกดเข้ามาที่เว็บไซต์ หรือแม้แต่เส้นทางการตัดสินใจที่อาจจะซับซ้อนกว่าที่คิด—ระบบ CDP หรือ Customer Data Platform คือคำตอบที่คุณกำลังมองหา

                ประโยชน์ของ CDP คือการเก็บข้อมูลจากหลากหลายช่องทางแบบอัตโนมัติ ไม่ว่าลูกค้าจะมาจากโฆษณาบน Facebook เข้าชมหน้าเว็บไซต์ กดสมัครรับข่าวสาร หรือกลับไปซื้อสินค้าผ่าน Marketplace CDP จะเชื่อมโยงทุกกิจกรรมให้กลายเป็นโปรไฟล์เดียวกัน ทำให้เราเห็น Customer Journey ได้ครบถ้วนตั้งแต่ต้นจนจบ ต่างจาก CRM ที่มักเก็บข้อมูลได้แค่เมื่อมีการปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับทีมงาน

                ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นภาพชัดเจนคือ มีลูกค้าคนหนึ่งคลิกดูสินค้าจากโฆษณา แล้วเข้ามากรอกแบบฟอร์มสมัครสมาชิกบนเว็บไซต์ แต่ไม่ได้ซื้อสินค้าทันที จนอีกวันหนึ่ง เขากลับมาซื้อสินค้าผ่านไลฟ์ในโซเชียลมีเดีย หากคุณใช้แค่ CRM เหตุการณ์แบบนี้จะไม่มีทางถูกบันทึกครบถ้วน แต่ถ้าใช้ CDP ระบบจะเก็บข้อมูลทั้งหมดไว้ในพฤติกรรมของลูกค้าคนนั้นได้อย่างแม่นยำ

                ที่สำคัญคือ ประโยชน์ของ CRM และ CDP ไม่ได้ขัดแย้งกัน แต่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว CRM ช่วยให้คุณดูแลลูกค้าเป็นรายบุคคล ในขณะที่ CDP ช่วยให้คุณเข้าใจภาพรวมของพฤติกรรมลูกค้าในมุมที่กว้างกว่า หลายองค์กรที่ประสบความสำเร็จในยุคดิจิทัลจึงมักเลือกใช้ทั้งสองระบบร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อมูลที่ครอบคลุมและใช้ได้ทั้งในระดับกลยุทธ์และระดับปฏิบัติ

                https://www.insiderintelligence.com/chart/255511/which-marketing-solutions-do-marketing-professionals-worldwide-plan-invest-most-2022-of-respondents

                ประโยชน์ของ CRM และ CDP ต่างก็มีบทบาทสำคัญในองค์กร CRM ช่วยให้เข้าใจลูกค้าในเชิงความสัมพันธ์ ส่วน CDP ช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมลูกค้าแบบรอบด้าน องค์กรไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะการใช้ทั้งสองร่วมกันจะช่วยให้ธุรกิจขับเคลื่อนด้วยข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

                หากคุณสนใจระบบ CDP ที่ตอบโจทย์การตลาดยุคใหม่ ติดต่อทีมงาน Connect X เพื่อขอคำปรึกษาหรือ DEMO ได้เลย

                ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                  Yearly Budget

                  How do you know us?

                  กระตุ้นยอดขายด้วย SMS Marketing การตลาดที่ไม่ควรมองข้าม

                  sms-marketing

                  ในยุคที่ช่องทางออนไลน์มีการแข่งขันสูง ไม่ว่าจะเป็นแพลตฟอร์ม E-Commerce, Social Media หรือเว็บไซต์ การสื่อสารผ่านข้อความสั้น (SMS Marketing) กลับเป็นเครื่องมือที่หลายองค์กรมองข้าม ทั้งที่มีประสิทธิภาพในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด ConnectX จึงขอพาคุณไปรู้จักกับ SMS Marketing อย่างละเอียด พร้อมกลยุทธ์การใช้งานที่จะช่วยกระตุ้นยอดขายและสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า

                  SMS Marketing คืออะไร

                  SMS Marketing คือการส่งข้อความสั้นๆ ผ่านบริการ Short Message Service เพื่อสื่อสารกับลูกค้าในฐานข้อมูลเป้าหมาย โดยข้อความจะครอบคลุมตั้งแต่การแจ้งเตือนโปรโมชั่น การแนะนำสินค้าใหม่ ไปจนถึงการประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆ ต่างจาก Email Marketing ตรงที่ SMSs สามารถส่งถึงลูกค้าจำนวนมากได้ในต้นทุนที่ต่ำกว่า และมีอัตราการเปิดอ่าน (open rate) ที่สูงกว่า

                  นอกจากนี้ SMSs Marketing ยังโดดเด่นด้วยความสามารถในการเข้าถึงผู้รับได้ทันที ไม่ต้องรอให้ผู้รับเปิดแอปพลิเคชันเฉพาะ เช่น อีเมล หรือโซเชียลมีเดีย ข้อความจะแสดงบนหน้าจอโทรศัพท์ทันทีที่มาถึง ทำให้มั่นใจได้ว่าข้อความสำคัญจะไม่ถูกมองข้าม อีกทั้งระบบ SMSs ยังรองรับการจัดการ Opt-in / Opt-out อย่างชัดเจน ช่วยให้ธุรกิจสามารถเคารพกฎหมาย PDPA และสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้า อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ Tracking เพื่อวัดผลความสำเร็จ เช่น อัตราการได้รับข้อความ (Delivery Rate) และอัตราการคลิก URL ภายในข้อความ (Click-through Rate) ทำให้นักการตลาดสามารถปรับปรุงเนื้อหาและเวลาในการส่งให้เหมาะสมยิ่งขึ้นตลอดแคมเปญ

                  ฟีเจอร์เด็ดจาก ConnectX

                  แพลตฟอร์ม SMSs Marketing ของ ConnectX ถูกออกแบบมาให้ทำงานร่วมกับระบบอื่นๆ ได้อย่างไร้รอยต่อ เริ่มจาก CDP ที่รวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทาง ทั้ง Facebook, LINE, Instagram, Shopee, Lazada, POS เว็บไซต์ หรือ ERP มาสร้างมุมมองเดียวของลูกค้า ทำให้รู้ว่าลูกค้าสนใจสินค้าและโปรโมชั่นแบบใด

                  จากนั้นแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างละเอียดตามพฤติกรรมและความชอบ พร้อมฟีเจอร์ SMSs Personalization ที่ปรับข้อความและแนบชื่อให้แตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม เมื่อส่งข้อความแล้ว ระบบจะรายงานทันทีว่าลูกค้าเปิดลิงก์หรือไม่ และหากลูกค้าไม่ตอบสนอง ก็สามารถส่งผ่านช่องทางอื่นๆ เช่น Email, LINE หรือ Facebook Message โดยใช้ Marketing Automation เพื่อให้มั่นใจว่าทุกแคมเปญจะถึงลูกค้าทุกคนแน่นอน

                  บทสรุป

                  SMS Marketing ยังคงเป็นหนึ่งในช่องทางที่มีประสิทธิภาพสูง เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว ต้นทุนต่ำ และยืดหยุ่น สามารถทำงานร่วมกับกลยุทธ์ Digital Marketing อื่นๆ ได้หลากหลาย ทั้งการตลาดแบบเฉพาะเจาะจงและ Omni-Channel

                  การนำ SMSs Marketing ของ ConnectX ไปใช้ จะช่วยยกระดับประสบการณ์ลูกค้า เพิ่มยอดขาย และสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวได้อย่างยั่งยืน หากคุณต้องการเริ่มต้นใช้งานหรือปรึกษาแนวทาง ConnectX พร้อมให้บริการแนะนำและออกแบบโซลูชันที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณอย่างแท้จริง

                  ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                  *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                    Yearly Budget

                    How do you know us?

                    การตลาดเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) กลยุทธ์เข้าถึงใจลูกค้าอย่างแม่นยำ

                    การตลาดเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) กลยุทธ์สร้างความใกล้ชิดที่ทรงพลังในยุคดิจิทัล

                    เคยไหม? เวลาคุณจะสั่งข้าวที่ร้านประจำ แต่แค่เห็นหน้าก็รู้แล้วว่าคุณจะกินอะไร นั่นแหละคือความรู้สึกแบบ “พิเศษ” ที่ใครก็อยากได้รับ การตลาดเฉพาะบุคคล หรือ Personalized Marketing ก็เช่นกัน—มันคือกลยุทธ์เก่าแก่ที่ในยุค Digital Transformation กลับยิ่งสำคัญและทรงพลังขึ้นกว่าเดิม

                    กลยุทธ์การตลาดแบบ “Personalized Marketing” หรือบางท่านอาจเรียกว่า “Personalization” คือการตลาดโดยสร้างข้อความ แคมเปญ หรือโปรโมชันที่เฉพาะเจาะจงไปยังบุคคลหรือผู้บริโภคที่มีความสนใจคล้ายๆ กัน เพื่อที่ลูกค้าจะได้ความรู้สึกเป็นคนพิเศษ ได้ประสบการณ์ที่ดี และกลับมาซื้อสินค้า/บริการของแบรนด์ซ้ำอีกนั่นเอง

                    ปัจจุบันนี้ นักการตลาดต่างก็นำเทคโนโลยีและเครื่องมือต่างๆ เพื่อเก็บและวิเคราะห์ Data เกี่ยวกับความชอบ พฤติกรรม และความสนใจของผู้บริโภค ส่งผลให้สามารถนำเสนอคอนเทนต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายและทำโฆษณาให้ตรงใจ  ซึ่ง Marketing Technology (MarTech) ก็ได้มีการพัฒนาเพื่อช่วยนักการตลาดในด้านนี้ ไม่ว่าจะเป็น ระบบ CRM, AI (Machine Learning), Marketing Automation หรือแม้แต่การเก็บ Cookies ตามเว็บไซต์และแอปฯ ต่างๆ นอกจากนี้ยังมีการทำ Hyper-Personalized Marketing โดยการนำ Big Data มาวิเคราะห์ พฤติกรรมการบริโภค เพื่อคาดการณ์พฤติกรรมของลูกค้าในอนาคตอีกด้วย

                    ทำไมแบรนด์ควรทำ Personalized Marketing?

                    ทุกวันนี้ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการแค่สินค้าหรือบริการที่ดีเท่านั้น แต่ยังคาดหวังประสบการณ์ที่ “รู้ใจ” และตอบสนองได้ทันทีแบบ Real Time อีกด้วย ลองนึกภาพเวลาคุณเปิดแอปช้อปปิ้ง แล้วสินค้าที่เคยดูไว้ยังรออยู่ในตะกร้า หรือมีโปรโมชันพิเศษที่ส่งตรงมาเฉพาะคุณเท่านั้น มันให้ความรู้สึกเหมือนแบรนด์เข้าใจเรา และกำลังพูดกับเราคนเดียว นั่นคือหัวใจของการทำการตลาดเฉพาะบุคคล

                    ผลสำรวจจาก PR Newswire ระบุว่ามากถึง 80% ของผู้บริโภค ชื่นชอบแบรนด์ที่สามารถมอบประสบการณ์แบบ “เฉพาะฉัน” ได้ เพราะมันแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ใส่ใจ ไม่ได้พูดกับลูกค้าแบบเดียวกันหมดทั้งประเทศ และเมื่อลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ให้ความสำคัญกับพวกเขา โอกาสที่จะกลับมาซื้อซ้ำก็เพิ่มขึ้นแบบไม่รู้ตัว

                    นอกจากทำให้ลูกค้าประทับใจแล้ว Personalized Marketing ยังช่วยให้แบรนด์สร้างยอดขายได้มากขึ้นด้วย การส่งข้อความหรือโปรโมชันที่ตรงกับความสนใจของแต่ละคน ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ใช่เลย!” และตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะถ้าแบรนด์ใช้เครื่องมืออย่าง Marketing Automation ได้อย่างถูกวิธี ก็จะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างแม่นยำในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ อีเมล หรือโซเชียลมีเดีย

                    นอกจากนี้ การสื่อสารที่เฉพาะเจาะจงยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์ที่ดี ก็ยินดีจะแชร์ข้อมูลให้แบรนด์เพิ่มเติม และข้อมูลนั้นเองจะกลายเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนากลยุทธ์ในอนาคต ส่งผลให้ความภักดีต่อแบรนด์เพิ่มขึ้นแบบยั่งยืน

                    สิ่งสำคัญอีกประการคือ การตลาดเฉพาะบุคคลสามารถทำได้บนหลากหลายแพลตฟอร์ม ไม่ว่าจะเป็น Email, SMS, LINE, Facebook หรือเว็บไซต์ E-Commerce ช่วยให้แบรนด์มีอิสระในการเลือกช่องทางที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม และสามารถเชื่อมต่อประสบการณ์ได้แบบไร้รอยต่อ

                    สุดยอดเครื่องมือในการทำ Personalized Marketing

                    แน่นอนว่าในยุคนี้ การทำ Personalized Marketing ถือเป็นหัวใจสำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างตรงใจและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่องทางที่ได้รับความนิยมอย่างมากในการทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล ก็คือ SMS และ Email เพราะทั้งสองช่องทางนี้สามารถเข้าถึงลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและตรงเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นการส่ง Newsletter เพื่ออัปเดตข่าวสารล่าสุด โปรโมชั่นพิเศษ หรือข่าวประชาสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับแบรนด์ ซึ่งช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีและเพิ่มโอกาสในการขายได้อย่างมาก

                    ในส่วนของ Connect X นั้น ถือเป็นผู้นำในตลาดไทยที่ให้บริการ Customer Data Platform (CDP) เจ้าแรกที่มาพร้อมกับระบบ Marketing Automation ที่ครบวงจรและใช้งานได้อย่างลื่นไหล Connect X ช่วยเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าในแบบ Customer Single View 360° ผ่านการเชื่อมต่อ API ที่หลากหลาย ทำให้แบรนด์สามารถเห็นภาพลูกค้าได้ครบถ้วนและชัดเจนขึ้น ระบบ AI อัจฉริยะของ Connect X ยังช่วยให้การส่งแคมเปญผ่าน SMS หรือ Email เป็นไปอย่างแม่นยำและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

                    ยิ่งไปกว่านั้น หากลูกค้าไม่ได้ตอบสนองหรือสนใจแคมเปญผ่านช่องทาง SMS หรือ Email ระบบ Marketing Automation ของ Connect X ยังมีความยืดหยุ่นสูง ด้วยการเปลี่ยนไปใช้ช่องทางการสื่อสารแบบ Cross Channel อื่นๆ เช่น LINE, Facebook Messenger หรือแพลตฟอร์มที่แบรนด์กำหนดเองได้อย่างอัตโนมัติ จึงมั่นใจได้ว่าแคมเปญจะเข้าถึงลูกค้าในรูปแบบที่เหมาะสมและเพิ่มโอกาสในการมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ได้มากขึ้น นี่คือเหตุผลที่ Connect X กลายเป็นเครื่องมือที่ยอดเยี่ยมสำหรับการทำ Personalized Marketing ในยุคดิจิทัลนี้อย่างแท้จริง

                    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                      Yearly Budget

                      How do you know us?