Category Archives: other

อัปเดต 5 เทรนด์ Emails Marketing ที่ผู้ประกอบการต้องรู้ในปี 2025

emails-marketing

อัปเดต 5 เทรนด์ Emails Marketing ที่ผู้ประกอบการต้องรู้ในปี 2025

ในปี 2025 การทำการตลาดออนไลน์ยังคงเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องจากเทคโนโลยีใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไวกว่าที่เคย ข้อมูลไหลเวียนตลอดเวลา และการเข้าถึงลูกค้าต้องรวดเร็ว แม่นยำ และตรงจุด หนึ่งในกลยุทธ์ที่ยังทรงพลังและคุ้มค่ามากที่สุดคือ Emails Marketing ที่ยังคงเป็นเครื่องมือหลักในการเชื่อมโยงแบรนด์เข้ากับลูกค้าโดยตรง

Connect X จึงขออัปเดต 5 เทรนด์ Email Marketing ที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้ามในปี 2025 เพื่อให้แผนการตลาดของคุณแข็งแรงและสามารถแข่งขันได้ในตลาดดิจิทัลอย่างแท้จริง

Emails Marketing คืออะไร?

Email Marketing คือ การสื่อสารทางการตลาดผ่านช่องทางอีเมล โดยมีเป้าหมายในการสร้างความสัมพันธ์กับกลุ่มเป้าหมายทั้งในระยะสั้นและระยะยาว สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบการส่งข่าวสาร โปรโมชัน คอนเทนต์เฉพาะบุคคล การแจ้งเตือน หรือแม้แต่การบริการหลังการขาย

จุดเด่นของ Email Marketing คือสามารถวัดผลได้ชัดเจน เช่น อัตราการเปิด (Open Rate), อัตราการคลิก (Click-Through Rate) และการแปลงเป็นยอดขาย (Conversion Rate) อีกทั้งยังเป็นช่องทางที่ต้นทุนต่ำแต่ให้ผลลัพธ์สูงเมื่อเทียบกับการโฆษณาในช่องทางอื่น ๆ

อีกข้อดีที่สำคัญคือความสามารถในการปรับแต่งเนื้อหาได้แบบเฉพาะบุคคล และสามารถทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติหรือ CRM ได้อย่างราบรื่น ทำให้ Emails Marketing กลายเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญในการสร้าง Customer Journey ที่ราบรื่นและยั่งยืน

Connect X จึงขออัปเดต 5 เทรนด์ Email Marketing ที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้ามในปี 2025 เพื่อให้แผนการตลาดของคุณแข็งแรงและสามารถแข่งขันได้ในตลาดดิจิทัลอย่างแท้จริง

1. การออกแบบเพื่อ Mobile-First อย่างแท้จริง

ในปี 2025 ผู้บริโภคกว่า 75% เปิดอีเมลผ่านสมาร์ตโฟน ดังนั้น การออกแบบอีเมลจึงต้องเน้นความเรียบง่าย โหลดเร็ว และแสดงผลได้ดีทุกหน้าจอ ไม่เพียงแค่ Responsive Design แต่ต้องเน้น UX ที่เหมาะสมกับการใช้งานบนมือถือ เช่น CTA ที่กดง่าย ข้อความกระชับ รวมถึงเนื้อหาที่ดึงดูดภายในเวลาไม่เกิน 5 วินาที

นอกจากนี้ยังควรทดสอบอีเมลกับอุปกรณ์หลากหลายรุ่น เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีจุดบกพร่อง และควรใช้รูปแบบที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายโดยไม่ต้องโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ที่อาจทำให้ประสบการณ์ผู้ใช้สะดุด

2. AI-Powered Personalization

AI และ Machine Learning จะมีบทบาทมากขึ้นในการวิเคราะห์พฤติกรรมของผู้รับและสร้างคอนเทนต์ที่เฉพาะเจาะจง ส่งข้อความที่ “ใช่” ใน “ช่วงเวลา” ที่ลูกค้าพร้อมรับมากที่สุด เช่น การส่งคูปองเมื่อระบบรู้ว่าลูกค้าชอบซื้อวันศุกร์ หรือเสนอคอนเทนต์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าที่เคยสนใจโดยอัตโนมัติ ช่วยเพิ่มอัตราการเปิดและคลิกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในปี 2025 การปรับแต่งแบบ Hyper-Personalization จะเป็นเทรนด์หลักที่ธุรกิจต้องลงทุน เช่น การเปลี่ยนภาพ แบนเนอร์ หรือเนื้อหาในอีเมลโดยอ้างอิงจากข้อมูล CRM หรือ CDP แบบเรียลไทม์เพื่อสร้างประสบการณ์เฉพาะบุคคลอย่างแท้จริง

3. Email แบบ Interactive เพิ่ม Engagement

ปี 2025 ไม่ใช่แค่เปิดอ่าน แต่ต้องดึงให้ลูกค้า “มีส่วนร่วม” ภายในอีเมล เช่น แบบสอบถาม คลิกเลือกสินค้า เปรียบเทียบราคาหรือหมุนวงล้อรับโปรโมชั่น—all in one mail! ช่วยลดขั้นตอนการคลิกไปยังเว็บไซต์ เพิ่มความสะดวก และลดโอกาสที่ลูกค้าจะหลุดออกจาก Funnel

การสร้างอีเมลให้มีลักษณะเหมือนเว็บไซต์ขนาดย่อม เช่น มีระบบกรอกแบบฟอร์ม ระบบโหวต หรือแม้แต่การสั่งซื้อสินค้าผ่านอีเมลได้โดยตรง จะเป็นเครื่องมือที่ช่วยสร้าง Conversion ได้มากขึ้นอย่างชัดเจน

4. Data Privacy และการให้ Consent อย่างโปร่งใส

ความเข้มงวดของกฎหมายข้อมูลส่วนบุคคลอย่าง PDPA และ GDPR จะเพิ่มขึ้นอีกในปี 2025 ผู้ประกอบการต้องทำให้แน่ใจว่าได้รับความยินยอมจากลูกค้าอย่างชัดเจนก่อนส่ง Emails Marketing และต้องสามารถให้ลูกค้าเลือกว่าจะรับเนื้อหาประเภทใดได้บ้าง โปร่งใส ตั้งค่าปรับเปลี่ยนง่าย และมีนโยบายความเป็นส่วนตัวที่เข้าถึงได้ง่าย

อีกทั้งยังต้องคำนึงถึงการใช้ระบบ double opt-in เพื่อป้องกันข้อร้องเรียน รวมถึงการให้สิทธิ์ลูกค้าในการลบหรือแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลได้อย่างสะดวกภายใต้ระบบอีเมลของแบรนด์

5. การใช้ Marketing Automation เชื่อมต่อกับ CRM อย่างไร้รอยต่อ

การรวม Email Marketing เข้ากับระบบ CRM และ Marketing Automation เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะช่วยให้ส่งอีเมลในเวลาที่เหมาะสมกับข้อมูลที่แม่นยำ เช่น การ Follow Up หลังจากลูกค้าลงทะเบียน การส่งอีเมลวันเกิดอัตโนมัติ หรือการนำเสนอสินค้าใหม่ที่ตรงกับพฤติกรรมการซื้อในอดีต ช่วยทั้งประหยัดต้นทุนและเพิ่ม Conversion อย่างเห็นผล

ในปีนี้ การผสานข้อมูลระหว่าง CDP, CRM และระบบอัตโนมัติจะช่วยให้การสื่อสารผ่านอีเมลมีความแม่นยำเป็นรายบุคคล สามารถทำแคมเปญ Lifecycle Marketing ได้อย่างครบถ้วน ตั้งแต่ Welcome Journey, Nurturing จนถึง Re-Engagement Campaign

อนาคตของ Emails Marketing ในยุคดิจิทัล

Email Marketing ในปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสื่อสาร แต่เป็นสะพานเชื่อมประสบการณ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้า หากคุณสามารถใช้เทคโนโลยีและเทรนด์เหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม จะช่วยให้คุณได้เปรียบในตลาดที่แข่งขันสูงอย่างยั่งยืน

เหนือสิ่งอื่นใด ความสำเร็จของกลยุทธ์ Email Marketing ไม่ได้อยู่ที่ปริมาณการส่ง แต่อยู่ที่คุณภาพของประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับ หากธุรกิจสามารถสื่อสารอย่างตรงใจลูกค้า เข้าใจพฤติกรรมในแต่ละ Touchpoint และนำข้อมูลมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างรอบด้าน ก็จะสามารถเปลี่ยนจากการส่งอีเมลทั่วไปให้กลายเป็นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าได้อย่างแท้จริง

Connect X พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ในการวางกลยุทธ์ Email Marketing ที่ยืดหยุ่น ปรับตัวไว และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ เพื่อให้ธุรกิจของคุณเดินหน้าได้อย่างมั่นคงและแตกต่างในยุคดิจิทัล

ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

*รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

    Yearly Budget

    How do you know us?

    เอาชนะตลาด E-Commerce ด้วยกลยุทธ์การตลาดผ่านระบบ Marketing Automation

    E-commerce-MA

    ในปี 2025 การแข่งขันในโลก E-Commerce เข้าสู่จุดที่ท้าทายมากยิ่งขึ้น ผู้บริโภคมีความคาดหวังที่สูงขึ้น ต้องการประสบการณ์ที่เฉพาะตัว และพร้อมเปลี่ยนใจได้ทันทีหากแบรนด์ไม่สามารถตอบโจทย์ได้อย่างรวดเร็ว ในขณะเดียวกัน เทคโนโลยีด้านการตลาดก็พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด ไม่ว่าจะเป็น AI, Big Data หรือระบบอัตโนมัติ ทำให้แบรนด์จำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพการทำงานอย่างแท้จริง

    หนึ่งในเครื่องมือที่กลายเป็นหัวใจของการตลาดในปี 2025 คือ Marketing Automation โดยเฉพาะในธุรกิจ E-Commerce ที่ต้องบริหารจัดการฐานลูกค้าจำนวนมาก แคมเปญหลากหลายช่องทาง และข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การใช้ Marketing Automation เข้ามาช่วยบริหารงานแบบอัตโนมัติในแต่ละ Touchpoint ของลูกค้า จะช่วยให้แบรนด์สามารถส่งสารได้ “ตรงคน ตรงเวลา และตรงช่องทาง” อย่างมีประสิทธิภาพ

    สำหรับแบรนด์ที่เพิ่งเริ่มต้นหรือกำลังมองหากลยุทธ์ใหม่เพื่อปรับตัวให้ทันยุค Connect X ขอแนะนำให้รู้จักกับประโยชน์และแนวทางของการใช้ Marketing Automation ในธุรกิจ E-Commerce ดังต่อไปนี้

    Marketing Automation คืออะไร?

    สำหรับใครที่มีประสบการณ์การทำงานในสาย Digital Marketing คงคุ้นเคยกับคำว่า Marketing Automation กันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเทคโนโลยีในปัจจุบันเริ่มเข้ามามีบทบาทในแวดวงการตลาดออนไลน์มากขึ้น ใครที่ไม่รู้จักเชื่อว่าหลายคนคงเคยเจอ Marketing Automation กันโดยไม่รู้ตัว อย่างเช่นการช้อปปิ้งออนไลน์ตามแพลตฟอร์ม E-Commerce ต่างๆ ไม่ว่าจะบนแอปฯ หรือบนเว็บไซต์ก็ตาม ในบางครั้งคุณอาจมีความรู้สึกสงสัยว่า “ทำไมแพลตฟอร์มเหล่านี้ถึงรู้ว่าเรากำลังมองหาสินค้าอะไรอยู่?” หรือบางทีก็มีอีเมลเสนอโปรโมชันพิเศษเข้ามาในจังหวะเวลาที่กำลังนึกถึงสินค้านั้นๆ อยู่แบบพอดิบพอดี ทำให้ในที่สุดก็ต้องเสียเงินให้กับร้านค้านั้นไปแบบไม่รู้ตัว ใครที่เคยผ่านประสบการณ์ต่างๆ เหล่านี้มาแล้ว บอกได้เลยว่าคุณกำลังตกอยู่ในวังวนของกลยุทธ์การตลาดผ่านระบบ Marketing Automation ไปเรียบร้อยแล้ว

    ในทางเทคนิค ระบบ Marketing Automation ที่นักการตลาดนิยมใช้กันจะมีหลักการปฏิบัติที่เข้าใจไม่ยาก คือการใช้ซอฟต์แวร์ที่ถูกออกแบบมาโดยเฉพาะ ให้มีหน้าที่เข้ามาช่วยจัดกิจกรรมทางการตลาดโดยอัตโนมัติ โดยจะเริ่มจากการเก็บข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า ผ่านวิธีการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกอ่านบทความ การสมัครสมาชิก ดาวน์โหลด ข้อมูลคุ้กกี้ (Cookies) และอื่นๆ จากนั้นระบบ  AI จะเข้ามาช่วยประมวลผลข้อมูลและเลือกนำเสนอคอนเทนต์หรือสร้างแคมเปญ ต่างๆ ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายในจังหวะและเวลาที่เหมาะสมที่มีโอกาสในการขายสินค้าได้มากที่สุดนั่นเอง

    ทำไมธุรกิจ E-Commerce ต้องใช้ Marketing Automation?

    1. การจัดการข้อมูลลูกค้าในยุคดิจิทัลไม่ใช่แค่การบันทึกข้อมูล แต่ต้องสามารถวิเคราะห์และเชื่อมโยงข้อมูลเหล่านั้นกับพฤติกรรมผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ ระบบ Marketing Automation ที่เชื่อมต่อกับ CDP (Customer Data Platform) ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจลูกค้าในเชิงลึก ตั้งแต่พฤติกรรมการคลิกไปจนถึงความถี่ในการซื้อ ช่วยสร้างภาพรวมของลูกค้าแต่ละรายแบบ 360 องศา
    2. การสร้างแคมเปญแบบ Personalization กลายเป็นหัวใจสำคัญ ระบบ Automation สามารถวิเคราะห์และจัดกลุ่มลูกค้าโดยอัตโนมัติ พร้อมส่งเนื้อหาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่น การส่งอีเมลแนะนำสินค้าที่คล้ายกับสิ่งที่ลูกค้าสนใจ หรือโปรโมชันในช่วงเวลาที่มีแนวโน้มว่าลูกค้าจะตอบสนองมากที่สุด ซึ่งช่วยเพิ่ม Conversion Rate ได้อย่างเห็นผล
    3. การลดภาระงานซ้ำซ้อนถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญ ระบบสามารถตั้งค่ากระบวนการทำงานแบบ Workflow เพื่อให้ทุกขั้นตอนเป็นไปอย่างราบรื่น ตั้งแต่อีเมลต้อนรับหลังสมัครสมาชิก การแจ้งเตือนสินค้าที่ลูกค้าลืมชำระเงิน ไปจนถึงแคมเปญดูแลลูกค้าหลังการขาย ทีมงานจึงสามารถนำเวลาไปโฟกัสกับงานเชิงกลยุทธ์ได้มากขึ้น
    4. การเติบโตของธุรกิจไม่ควรหยุดอยู่ที่ปริมาณลูกค้า ระบบ Marketing Automation รองรับการสเกลธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเพิ่มจำนวนคำสั่งซื้อ หลายประเทศ หลายภาษา หรือจัดการหลายแคมเปญพร้อมกันในช่วงเวลาสั้น ๆ ทั้งหมดสามารถควบคุมได้จากแพลตฟอร์มเดียว ลดการพึ่งพาทรัพยากรคนในระยะยาว
    5. การวัดผลและปรับกลยุทธ์คือหัวใจของความยั่งยืน ระบบ Automation ช่วยวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแคมเปญแต่ละรายการแบบเรียลไทม์ ธุรกิจสามารถทราบทันทีว่าแคมเปญใดมี ROI สูง แคมเปญใดควรปรับปรุง พร้อมรับ Feedback และพฤติกรรมจากลูกค้าเพื่อนำมาปรับกลยุทธ์ให้ดียิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    ตัวอย่างการใช้งาน Marketing Automation ใน E-Commerce ปี 2025

    • Cart Abandonment Recovery: ส่งอีเมลเตือนพร้อมส่วนลดพิเศษทันทีที่ลูกค้าออกจากหน้าตะกร้า
    • Product Recommendation: ระบบแนะนำสินค้าที่ลูกค้าน่าจะสนใจ โดยอิงจากประวัติการซื้อและการเข้าชม
    • Birthday Campaign: ส่งข้อความพร้อมโปรโมชั่นพิเศษในวันเกิดของลูกค้า
    • Loyalty Nurturing: ให้รางวัลกับลูกค้าที่ซื้อซ้ำ หรือมีการตอบสนองต่อแคมเปญต่อเนื่อง
    • Multi-channel Automation: ส่งสารสื่อสารผ่าน Email, SMS, LINE OA หรือแอปพลิเคชันในจังหวะที่เหมาะสม

    เอาชนะตลาด E-Commerce ด้วย Marketing Automation ในยุค 2025

    ในปี 2025 โลก E‑Commerce เข้าสู่การแข่งขันขั้นสูงสุดที่ผู้บริโภคคาดหวังประสบการณ์แบบ Personalization และความรวดเร็วในการตอบสนอง จากเดิมที่ใช้เพียงเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางหลัก ธุรกิจยังต้องบริหารจัดการข้อมูลจากหลายแพลตฟอร์มอย่าง Messenger, LINE, Instagram, แอปพลิเคชันบนมือถือ และเว็บไซต์พร้อมกัน Marketing Automation จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการรวบรวมข้อมูลเชิงลึก (Customer Insights) วิเคราะห์พฤติกรรม และสร้างแคมเปญที่ตรงใจผู้ซื้อแบบ Real‑Time ตั้งแต่การรับอีเมลต้อนรับครั้งแรก ไปจนถึงการแนะนำสินค้าหลังการซื้อ เพื่อรักษาความสัมพันธ์และขยาย Life‑time Value ของลูกค้า

    ประโยชน์หลักของระบบ Marketing Automation สำหรับธุรกิจ E‑Commerce ในปี 2025 ประกอบด้วย

    1. การรวบรวมช่องทางสื่อสารแบบไร้รอยต่อ ในยุคที่ลูกค้าอาจกระโดดไปมาระหว่าง Facebook Messenger, LINE, Instagram DM และ Live Chat บนเว็บไซต์ ระบบอัตโนมัติจะช่วยนำทุกข้อความและข้อมูลการโต้ตอบมารวมไว้ในแดชบอร์ดเดียว ทำให้ทีมงานมองเห็นภาพรวมได้ทันที ไม่พลาดข้อความสำคัญ และตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว

    2. การลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน การมอบหมายงานซ้ำซ้อนอย่างการส่งอีเมลต้อนรับ การติดตามตะกร้าสินค้าที่ถูกทิ้ง และการรีมาร์เก็ตติ้ง สามารถตั้งค่าเป็น Workflow อัตโนมัติได้ทั้งหมด ช่วยลดการใช้ทรัพยากรบุคคลและเวลาในการดำเนินงานได้มากกว่า 50% ทำให้ทีมงานมีเวลามุ่งเน้นการวางกลยุทธ์และพัฒนาแคมเปญที่สร้างสรรค์ยิ่งขึ้น

    3. การวางแผนเชิงกลยุทธ์ระยะยาวด้วยข้อมูลเชิงลึก นอกจากการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์แล้ว Marketing Automation ยังช่วยบันทึกและวิเคราะห์ Customer Journey ตลอดระยะเวลาที่ลูกค้าโต้ตอบกับแบรนด์ ข้อมูลเหล่านี้นำมาใช้สร้างโมเดลพยากรณ์ยอดขาย วางแผนโปรโมชั่นช่วงเทศกาล หรือออกแบบ Loyalty Program ได้อย่างแม่นยำ ช่วยให้การลงทุนในช่องทางต่างๆ เป็นไปอย่างคุ้มค่าและต่อเนื่อง

    สรุปได้ว่า Marketing Automation ไม่เพียงเป็นเครื่องมือช่วยให้การตลาด E‑Commerce รวดเร็วและแม่นยำ แต่ยังเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยให้แบรนด์สร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อ สร้างความประทับใจ และรักษาฐานผู้ซื้อได้อย่างยั่งยืน

    Connect X พร้อมมอบโซลูชัน Marketing Automation ที่ผสานกับ CDP, CRM และโซลูชัน Social Chats อย่างครบวงจร เพื่อให้ธุรกิจของคุณก้าวทันทุกเทคโนโลยีและยืนหนึ่งในตลาด E‑Commerce ปี 2025

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

      Yearly Budget

      How do you know us?

      Omnichannels กลยุทธ์การตลาดที่ทุกธุรกิจต้องใช้ในปัจจุบัน

      Omnichannels

      ในยุคที่พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและหลากหลาย การแข่งขันทางธุรกิจจึงไม่ได้วัดกันแค่ที่สินค้าและราคาต่อหน่วยอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “ประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับในทุกช่องทาง” และนี่คือเหตุผลที่ Connect X อยากพาคุณมารู้จักกับ กลยุทธ์ Omnichannels แนวทางสำคัญที่แบรนด์ชั้นนำทั่วโลกใช้ในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างยั่งยืน

      โดยเฉพาะในปี 2025 นี้ ลูกค้าไม่ได้อยู่แค่บนแพลตฟอร์มใดแพลตฟอร์มหนึ่ง พวกเขากระจายตัวอยู่ทั้งบนเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย อีเมล ไปจนถึงหน้าร้านจริง การเข้าถึงและดูแลลูกค้าในทุกจุดสัมผัส (Touchpoint) อย่างต่อเนื่องและเชื่อมโยงกัน จึงกลายเป็น “ความคาดหวัง” มากกว่าจะเป็น “ความพิเศษ”

      แนวคิด Omnichannel ไม่ได้หมายถึงการมีช่องทางเยอะ แต่คือการทำให้ ทุกช่องทางทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ เช่น ลูกค้าสามารถเริ่มต้นสนใจสินค้าในโซเชียลมีเดีย พูดคุยเพิ่มเติมกับทีมแอดมินผ่านแชทบอท กดสั่งซื้อในแอป แล้วเลือกไปรับสินค้าที่หน้าร้าน โดยประสบการณ์ทั้งหมดต้องสอดคล้องและราบรื่นตั้งแต่ต้นจนจบ

      Connect X เชื่อว่ากลยุทธ์ Omnichannel ไม่ใช่แค่เครื่องมือการตลาด แต่เป็น “โครงสร้างพื้นฐาน” ของแบรนด์ที่ต้องการสร้างการเติบโตในระยะยาว และในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความเข้าใจแบบลงลึกว่า Omnichannel คืออะไร ทำไมจึงสำคัญ และจะช่วยให้ธุรกิจของคุณเชื่อมต่อกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร

      What omnichannel customer service really means?

      Omnichannel Marketing คืออะไร และทำไมจึงเป็นหัวใจของประสบการณ์ลูกค้ายุคใหม่

      Omnichannel Marketing คือแนวทางการตลาดที่ผสานทุกช่องทางการสื่อสาร การขาย และบริการเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ เป้าหมายคือการสร้างประสบการณ์ของลูกค้าที่ “เป็นหนึ่งเดียว” ไม่ว่าลูกค้าจะเลือกติดต่อหรือซื้อสินค้าผ่านช่องทางใดก็ตาม แบรนด์จะต้องสามารถจดจำบริบท ความต้องการ และความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง

      ตัวอย่างเช่น ลูกค้าสามารถเริ่มต้นเลือกสินค้าในแอปพลิเคชันของแบรนด์ ใช้คูปองส่วนลดที่ได้จากอีเมล แล้วเลือกรับสินค้าเองที่หน้าร้าน ซึ่งทุกขั้นตอนนี้ไม่ใช่กระบวนการแยกขาด แต่เชื่อมโยงกันอยู่ภายใต้ระบบเดียวกันอย่างราบรื่น นี่คือหัวใจของ Omnichannel Marketing ที่ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่สะดวก รู้สึกเป็นเจ้าของ และไว้วางใจในแบรนด์มากขึ้น

      แนวทางนี้แตกต่างจาก Multi-channel ตรงที่ Multi-channel อาจมีหลายช่องทาง แต่แต่ละช่องทางแยกกันทำงาน ขาดการเชื่อมโยงและสื่อสารร่วมกัน ในขณะที่ Omnichannel เน้นการออกแบบระบบเบื้องหลังให้ทุกช่องทางทำงานร่วมกันอย่างสอดคล้อง เพื่อสร้าง “เส้นทางลูกค้า” ที่ชัดเจนและต่อเนื่องที่สุด

      ตัวอย่างจากแบรนด์ KFC

      ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ KFC ซึ่งเปิดให้ลูกค้าสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน โดยสามารถใช้คูปองส่วนลดออนไลน์เพื่อรับสิทธิพิเศษ แต่ยังเลือกชำระเงินและรับสินค้าที่ร้านสาขาใกล้บ้านได้ ประสบการณ์นี้ช่วยให้ลูกค้ารู้สึกว่าสะดวก ควบคุมได้ และตอบโจทย์วิถีชีวิตที่ยืดหยุ่น ทั้งในแง่ของเทคโนโลยีและพฤติกรรมการใช้จ่าย

      เมื่อระบบหลังบ้านสามารถประสานข้อมูลการสั่งซื้อ โปรโมชั่น และสถานะสมาชิกได้อย่างแม่นยำ ลูกค้าก็จะได้รับประสบการณ์ที่เป็นหนึ่งเดียวในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะอยู่หน้าจอมือถือหรือต่อแถวที่ร้าน นี่คือสิ่งที่ทำให้ Omnichannel ไม่ใช่แค่แนวคิดการตลาด แต่เป็นการออกแบบ “ระบบความสัมพันธ์กับลูกค้า” ที่มีประสิทธิภาพในทุกจุดสัมผัส

      ทำไม Omnichannels ถึงกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกธุรกิจในยุคนี้

      ในโลกที่ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมายและสามารถสื่อสารกับแบรนด์ได้จากทุกที่ทุกเวลา “ประสบการณ์” ที่ลูกค้าได้รับจึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างความภักดี มากกว่าคำว่า “แคมเปญโปรโมชั่น” หรือ “ราคาที่ถูกกว่า” และนี่คือจุดที่กลยุทธ์ Omnichannel เข้ามามีบทบาทสำคัญ

      ข้อมูลจากหลายงานวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันว่า ลูกค้ามากกว่า 80% ชื่นชอบการได้รับประสบการณ์ที่ “สอดคล้องและต่อเนื่อง” ไม่ว่าจะเปลี่ยนช่องทางการสื่อสารจากเว็บไซต์ไปยังแอปพลิเคชัน หรือจากโซเชียลมีเดียไปยังหน้าร้าน พวกเขาต้องการให้แบรนด์จดจำตัวตน ความต้องการ และประวัติการโต้ตอบได้อย่างแม่นยำ

      นอกจากนี้ ธุรกิจที่นำกลยุทธ์ Omnichannel มาใช้ยังพบว่า สามารถรักษาฐานลูกค้าไว้ได้มากขึ้นถึง 90% เมื่อเทียบกับกลยุทธ์ที่ใช้เพียงช่องทางเดียวในการสื่อสารหรือขายสินค้า ซึ่งตัวเลขนี้ไม่ได้สะท้อนแค่ความพึงพอใจ แต่ยังหมายถึงต้นทุนที่ลดลงจากการหาลูกค้าใหม่ และรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการซื้อซ้ำและการบอกต่อ

      การวาง Customer Journey ที่ไร้รอยต่อจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือ “มาตรฐานใหม่ของการตลาดที่เน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง” โดยเฉพาะเมื่อคุณสามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากแต่ละ Touchpoint เพื่อเข้าใจลูกค้าในมิติต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง เช่น พฤติกรรมการซื้อ ช่องทางที่ใช้งานบ่อย และช่วงเวลาที่มีแนวโน้มในการตัดสินใจซื้อสูง

      กล่าวอีกอย่างคือ หากธุรกิจต้องการเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่ลูกค้าควบคุมประสบการณ์ของตนเองได้มากขึ้น กลยุทธ์ Omnichannel คือเครื่องมือสำคัญที่จะช่วยให้คุณ “ไม่เพียงแค่เข้าถึงลูกค้า แต่ยังรักษาและสร้างความสัมพันธ์ที่ยาวนานกับพวกเขาได้อย่างแท้จริง”

      Omnichannels marketing คืออะไร?

      Ominichannel เป็นการผสมผสานระหว่างช่องทางต่างๆ เข้าด้วยกันดังเช่นในภาพข้างล่าง ซึ่งใช้เพื่อปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้าและเส้นทางของลูกค้า Customer Journey เพื่อช่วยให้ลูกค้านั้นได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดตั้งแต่การกดมาเจอหน้าสินค้า กระบวนการระหว่างซื้อ จนกระทั่งซื้อสินค้า การตลาดแบบช่องทาง Omni ใช้มุมมองที่เน้นผู้บริโภคเป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์ทางการตลาด ผู้บริโภคสามารถโต้ตอบกับแบรนด์ต่างๆ ผ่านช่องทางต่างๆ มากมาย ตั้งแต่โซเชียลมีเดียไปจนถึงสายด่วนบริการลูกค้า (call center) แนวทางแบบ Omnichannel ช่วยให้มั่นใจว่าผู้บริโภคจะได้รับประสบการณ์เชิงบวกและสม่ำเสมอในแต่ละช่องทาง

      ขอยกตัวอย่างในเคสของ KFC โดยก่อนที่เราจะถึงร้านเราสามารถสั่งอาหารผ่านตัวแอพลิเคชั่นของ KFC โดยใช้ส่วนลดคูปองออนไลน์แต่เราเลือกที่จะไปจ่ายเงินที่ร้านและรับอาหารที่ร้านได้

      ข้อดีของการทำ Omnichannels ที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม

      1. สร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีและสอดคล้องกันในทุกช่องทาง

      การใช้กลยุทธ์ Omnichannel ช่วยให้แบรนด์สามารถสื่อสารกับลูกค้าได้อย่างเป็นส่วนตัวและต่อเนื่อง ลูกค้าจะได้รับประสบการณ์ที่สอดคล้อง ไม่ว่าพวกเขาจะเปลี่ยนจากแอปพลิเคชันไปยังเว็บไซต์ หรือจากโซเชียลมีเดียไปยังหน้าร้านจริง ข้อมูลและประวัติการโต้ตอบของลูกค้าจะยังคงเชื่อมต่อกัน ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าแบรนด์ “รู้จักเขา” และเข้าใจความต้องการอย่างแท้จริง

      2. เพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากการมีส่วนร่วมหลายช่องทาง

      เมื่อแบรนด์สามารถเชื่อมโยง Touchpoint ได้ครบทุกมิติ ก็จะสามารถสร้างโอกาสในการปิดการขายได้มากขึ้น ลูกค้าที่มีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ผ่านหลายช่องทาง เช่น เว็บไซต์ อีเมล แอป หรือหน้าร้าน มักมีแนวโน้มในการตัดสินใจซื้อที่มากกว่า งานวิจัยแสดงให้เห็นว่า ลูกค้าแบบ Omnichannel มีมูลค่าการซื้อสูงกว่าลูกค้าที่ใช้เพียงช่องทางเดียวถึงกว่า 30% ส่งผลให้รายได้รวมของธุรกิจเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

      3. ได้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อพัฒนากลยุทธ์อย่างแม่นยำ

      กลยุทธ์ Omnichannel ไม่ได้แค่สร้างความสะดวกให้กับลูกค้า แต่ยังช่วยให้แบรนด์สามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลจากหลายจุดสัมผัสได้อย่างเป็นระบบ ข้อมูลเหล่านี้จะเผยให้เห็นว่า ลูกค้าชอบสินค้าแบบใด ใช้ช่องทางไหนมากที่สุด และแคมเปญแบบใดที่ให้ผลตอบรับดีที่สุด ทำให้แบรนด์สามารถวางแผนการตลาดที่ตรงจุด ปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้า และบริหารต้นทุนด้านการสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

      เชื่อมทุกช่องทางอย่างมีกลยุทธ์ ด้วยแนวคิด Omnichannels จาก Connect X

      ในยุคที่ลูกค้าอยู่ได้ทุกที่ และเปลี่ยนพฤติกรรมได้ตลอดเวลา การตลาดที่ไม่เชื่อมโยงกันย่อมสร้างช่องว่างระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค กลยุทธ์ Omnichannel จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือเครื่องมือจำเป็นที่ช่วยให้แบรนด์เข้าใจลูกค้าในทุกมิติ ตอบสนองได้ทันที และสร้างประสบการณ์ที่ต่อเนื่องในทุก Touchpoint

      Connect X มองว่า Omnichannel ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคโนโลยี แต่คือเรื่องของ “ความเข้าใจลูกค้า” และ “การเชื่อมต่ออย่างมีเป้าหมาย” เราจึงออกแบบโซลูชันที่ช่วยให้ธุรกิจทุกขนาดสามารถรวมศูนย์การสื่อสาร วิเคราะห์ข้อมูลจากหลากหลายช่องทาง และนำไปสู่กลยุทธ์การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลจริง

      หากคุณกำลังมองหาแนวทางที่จะทำให้ทุกช่องทางกลายเป็นโอกาส และเปลี่ยนทุกการโต้ตอบให้กลายเป็นความสัมพันธ์ระยะยาว Connect X พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ที่ช่วยให้คุณเริ่มต้นและเติบโตไปกับกลยุทธ์ Omnichannel อย่างมั่นใจ

      ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

      *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

        Yearly Budget

        How do you know us?

        Customer Journey มีความสำคัญอย่างไรกับการทำการตลาด

        Customer-Journey

        Connect-X จะพาทุกท่านไปทำความรู้จักกับ Customer Journey ในยุคปัจจุบันว่ามีความสำคัญอย่างไร เพื่อนๆที่อ่านบทความนี้คงเคยได้ยินเกี่ยวกับกระบวนการทางการตลาดที่เรียกว่า Customers journey แต่ทราบหรือไม่ว่าคำเหล่านี้หมายถึงอะไรกันแน่ ? วันนี้ทาง ConnectX เลยเขียนบทความที่เกี่ยวกับ Customers Journey มาให้ได้อ่านกันค่ะ

        อย่างแรกเราจะต้องเข้าใจเส้นทางของลูกค้ากันก่อน

        การเดินทางของลูกค้า (Customers Journey) คือแผนที่เส้นทางที่ลูกค้าใช้ตั้งแต่การเข้ามาเลือกซื้อจนกระทั่งปิดการขาย เส้นทางของลูกค้า(Customer Journey) สามารถคดเคี้ยวและวนเวียนไม่เหมือนกับช่องทางการตลาดแบบเดิมในอดีตที่ยังไม่มีการขายแบบออนไลน์ ยิ่งลูกค้าเลือกซื้อขายของนานเท่าไหร่ เส้นทางของลูกค้า โดยเฉลี่ยก็จะยิ่งยาวขึ้นและซับซ้อนมากยิ่งขึ้นแต่นั้นก็เป็นข้อดีทำให้เรามีข้อมูลที่สามารถเก็บเพิ่มและนำไปวิเคราะห์ได้เพิ่มมากยิ่งขึ้น

        การติดตามการเดินทางของลูกค้า อาจเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ต้องใช้ข้อมูลมากมายในการค้นหาว่าลูกค้ากำลังทำอะไรอยู่ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อบางอย่างและอยู่ในขั้นตอนกระบวนการไหนแล้วในระหว่างซื้อ จึงเป็นการยากที่จะสร้างภาพที่แม่นยำ 100 เปอร์เซ็นต์ (Customer Journey Map) แต่ถ้าเรามีข้อมูลที่เพียงพอ การศึกษาเส้นทางในการซื้อของลูกค้าจะมีเป็นประโยชน์มาก อย่างที่เกริ่นไปก่อนหน้าเพราะเราสามารถนำ Customers journey ที่ได้ไปวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงเส้นทางการเข้ามาของลูกค้าการซื้อของลูกค้ารวมทั้งกระทั่งช่องทางการปิดการขายว่าทำไมลูกค้าถึงได้เลือกซื้อผ่านช่องทางนี้ ช่องทางที่ลูกค้าได้เลือกซื้อดีกว่าช่องทางอื่นอย่างไรจึงนำไปสู่การทำ Personalize marketing ซึ่งการที่ดู Customers journey แน่นอนว่าคุณจะต้องดูทีละคนเก็บรวบรวมข้อมูล Data ของลูกค้าที่มีความเหมือนกันคล้ายคลึงกันแล้วจัดทำ segmentation เพื่อนำไปสู่การทำ Personalize marketing ต่อไป

        Modern Consumer Journey: Everything You Need to Know

        การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey)

        1. Awareness (การรับรู้)

        การรับรู้หมายถึงสิ่งที่เกี่ยวข้องกับการเผยแพร่ข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการไปยังกลุ่มเป้าหมาย ในระหว่างขั้นตอนAwareness การเดินทางของผู้บริโภค มีความสำคัญอย่างมากลูกค้าจะค้นหาโซลูชันและพบกับแบรนด์และผลิตภัณฑ์ที่มากมายแต่เราจะทำอย่างไรให้ลูกค้าเกิดความสนใจและหยุดที่เรา

        ดังนั้นสิ่งที่เราต้องรู้ในขั้นตอนของ Awareness คือ

        สิ่งที่ผู้บริโภคกำลังทำ: ในขั้นตอนนี้ ผู้บริโภคมีแนวโน้มที่จะทำการค้นหาข้อมูลและเปรียบเทียบจากหลายแหล่ง ซึ่งอาจรวมถึงการค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาจากKeyword ที่สำคัญ การอ่านโพสต์ในบล็อกและบทความข่าวหรือการเรียกดูฟอรัมออนไลน์

        แบรนด์สามารถทำอะไรได้บ้าง: ลูกค้าหรือผู้บริโภคจะต้องตั้งคำถามเสมอว่าแบรนด์หรือสินค้าที่จะเลือกซื้อมานั้นจะช่วยแก้ไขปัญหาและตอบโจทย์เราอย่างไรเมื่อซื้อสินค้าหรือบริการแล้ว

        อย่างไรก็ตามเราคงไม่อยากที่จะให้ลูกค้าเข้าถึงการรับรู้ถึงแบรนด์เพียงอย่างเดียวนั่นจึงนำไปสู่ข้อถัดไปก็คือให้ลูกค้าเกิดการพิจราณา(Consideration) แบรนด์หรือสินค้าของเรา

        2. Consideration (การพิจารณา)

        ในขั้นตอนนี้แบรนด์จะให้ความสำคัญอย่างมากกับโปรโมชั่นในระหว่างขั้นตอนการพิจารณา(Consideration) นี่คือจุดที่ลูกค้าเริ่มมองหาทางเลือกอื่นนอกเหนือจากการซื้อในอดีตหรือร้านเดิมที่เคยซื้อหรือใช้บริการ ในระหว่างขั้นตอนนี้สินค้าหรือบริการของเราจะต้องพยายามโน้มน้าวให้ผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าหรือมีโอกาสจะซื้อรวมเราไว้ในรายการตัวเลือกร้านที่จะซื้อเพื่อพิจราณาต่อไป

        แบรนด์ของเรามักจะได้รับการพิจารณา(Consideration) ควบคู่ไปกับแบรนด์อื่นๆอย่างแน่นอนดังนั้นเราจึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าทุกๆ Journey ของลูกค้าจะต้องสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า

        ณ จุดนี้ ผู้บริโภคจะมีการพูดคุยโต้ตอบโดยตรงกับแบรนด์ และเราจะต้องพยายามให้ลูกค้าอยู่บน Customer journey ของเราให้ได้

        ถึงตรงนี้ลูกค้าสามารถทำการค้นหาแบรนด์และผลิตภัณฑ์เฉพาะ เปรียบเทียบคู่แข่ง ซึ่งอาจรวมถึงการดูข้อกำหนดและคุณลักษณะของผลิตภัณฑ์และบริการอย่างใกล้ชิด การตรวจสอบนโยบายการสนับสนุนลูกค้า และการดูรีวิวจาก KOL หรือ Influencer

        สิ่งที่แบรนด์สามารถทำได้คือ ให้ความสำคัญกับประสบการณ์ผู้ใช้ (UX) เพิ่มประสิทธิภาพ UX อย่างต่อเนื่องในทุกๆ Touchpoint รวมถึงธุรกรรมอีคอมเมิร์ซและหน้าคำอธิบายโดยต้องง่ายรวดเร็วและกระชับ

        ตัวอย่างเช่น คนๆ หนึ่งรู้ตัวว่ากำลังหิวและสามารถมองหาร้านอาหารในแอปอย่าง Google Maps ได้

        สมมติว่าธุรกิจของเรามีองค์ประกอบที่ครบตามที่ Google maps ให้ใส่ เช่น มีข้อมูลเกี่ยวกับประเภทอาหารที่ขาย เมนู รูปภาพของสถานที่และอาหาร หมายเลขโทรศัพท์ และคำวิจารณ์เชิงบวกจากลูกค้าที่จริงใจ ในกรณีนี้ เราอาจทำให้ลูกค้าคิดว่าเราเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับสิ่งที่พวกเขากำลังมองหาร้านอาหารดีดีสักที่

        3. Purchase (การซื้อ)

        เมื่อลูกค้าได้รับข้อมูลได้มากระดับหนึ่งและพิจราณาแล้วว่ารู้สึกมั่นใจว่าสินค้านี้ดีเเละจะตอบโจทย์ความพึงพอใจของลูกค้าได้ จึงตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นๆ

        ในขั้นตอนการซื้อนั้น ผู้ให้บริการหรือผู้ที่ขายสินค้าจะต้องทำอย่างไรก็ได้ที่จะให้ลูกค้าสะดวกสบายในการจ่ายเงินมากที่สุด ตัวอย่างเช่น ลูกค้ามีช่องทางการชำระเงินที่หลากหลาย Ex. บัตรเครดิต บัตรเดบิต โอนผ่านบัญชีธนาคาร ชำระผ่านตัวกลางอย่างเช่น Shopeepay หรือ ผู้ให้บริการบางรายในปัจจุบันสามารถให้ลูกค้าเลือกผ่อนชำระได้ และมากไปกว่านั้นสามารถจ่ายเป็นคริปโตได้อีกด้วย

        ดังนั้นขั้นตอนการซื้อหลังจากที่ลูกค้าพิจราณาแล้วจึงมีความสำคัญอย่างมากถ้าเกิดในระหว่างการซื้อสินค้าของลูกค้าเกิดเว็บล่ม ระบบไม่ทำงานอาจทำให้ลูกค้าบางรายเกิดการเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้าจากแบรนด์คู่แข่งไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อมแทน

        4. Retention (การใช้บริการซ้ำหรือการซื้อซ้ำ)

        ในขั้นตอน Retention หมายถึง เมื่อลูกค้าเกิดความพึงพอใจใน Customers journey ตั้งแต่ Awareness Consideration และ Purchase แต่ไม่ใช่แค่นั้นเมื่อลูกค้าได้ลองใช้บริการหรือสินค้าแล้วและเกิดความพึงพอใจต่อ Product หรือ Service ก็สามารถทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้เช่นกัน ดังนั้นแบรนด์ควรมีช่องทางการสื่อสารกับลูกค้า เพื่อแจ้งโปรโมชั่น ข่าวสารส่วนลด รวมถึงสินค้าและบริการใหม่ๆ เพื่อช่วยกระตุ้นให้กลับมาซื้อซ้ำ และควรที่จะขอข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าไว้ด้วยเช่น E-mail เพื่อทำ E-mail marketing ส่งโปรโมชั่นส่วนลดต่างๆให้กับลูกค้า

        และมากไปกว่านั้นประสบการณ์หลังการขายก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำหรือซื้อซ้ำ การให้บริการหลังการขายที่ดีจะทำให้เกิดการบอกต่อแบบปากต่อปากลูกค้าจะไปแนะนำเพื่อนหรือครอบครัวให้ใช้บริการหรือซื้อสินค้าของเราต่อไปเราเรียกว่า Advocacy

        5. Advocacy (การบอกต่อหรือการสนับสนุน)

        การที่จะเกิด Advocacy ได้ต้องมาจาก Customer experience ที่ดี อย่างที่บอกไปในข้อ 4 ว่า เมื่อลูกค้าได้รับประสบการณ์หลังการขายที่ดีจะทำให้เกิดการตลาดแบบบอกต่อแบบปากต่อปากการตลาดแบบปากต่อปากหรือบอกต่อ คือหนึ่งในวิธีทำการตลาดที่ทรงพลังมากที่สุด ลูกค้าจะไปแนะนำเพื่อนหรือครอบครัวให้ใช้บริการหรือซื้อสินค้าของเราต่อไป ซึ่งสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ๆมายังแบรนด์ได้ หลายๆคนตัดสินใจซื้อตามรีวิวจากเพื่อนร่วมงานหรือ KOL & Influencer เมื่อคนหนึ่งบอกเพื่อนคนหรือสองคนและคนอื่นๆ

        เราสามารถที่จะจัดเป็นแคมเปญด้านการตลาดได้อีกด้วยอย่างเช่น Referrals แคมเปญ หมายถึงถ้าลูกค้าใช้สินค้าเราและคิดว่าดีขอให้ลูกค้าบอกต่อเพื่อนหรือคนในครอบครัวของลูกค้าและเมื่อลูกค้าบอกต่อแล้วเกิดการซื้อถึง 5 คนขึ้นไปโดยอ้างอิงจากชื่อของลูกค้าทางเราจะมี Vouncher เงินสดให้กับลูกค้ามูลค่า 1,000 บาทเพื่อใช้ซื้อของของทางแบรนด์เรา

        โดยการที่จะทำ advocacy ได้นั้น เราต้องคำนึงถึงสิ่งสำคัญคือเส้นทางของการโฆษณาประชาสัมพันธ์ รวมถึงบริการต่างๆ ว่าสอดคล้องกับเส้นทางของลูกค้าหรือไม่ ดังนั้นเราก็ต้องย้อนกลับไปดูข้างบนเรื่อง Customers Journey การที่เราสามารถเข้าใจเส้นทางข้างลูกค้าจะทำให้เราเข้าไปอยู่ในเส้นทางของลูกค้าซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขายและการบอกต่อเพื่อให้ผู้อื่นมาซื้อเช่นเดียวกันกับตัวลูกค้า

        https://www.superoffice.com/blog/customer-journey/

        สรุปสั้นๆจากบทความ

        การที่เราสามารถรู้ Customers Journey ของลูกค้าได้นั้นมีความสำคัญอย่างมากในการทำการตลาดปัจจุบัน เพื่อปรับปรุงและแก้ไขข้อบกพร่องของเราเองเพื่อทำให้เกิดความประทับกับลูกค้าได้มากที่สุดตั้งแต่การเห็นสินค้าหรือแบรนด์ การพิจราณาเปรียบกับคู่แข่ง การซื้อสินค้าและการบริการหลังการขาย ไปจนถึงการซื้อซ้ำหรือบอกต่อของลูกค้า ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้เราสามารถที่จะนำไปทำ Personalize marketing ได้จากข้อมูล journey โดยการแบ่ง segmentation และยิง ads แคมเปญหรือโปรโมชั่น

        ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

        *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

          Yearly Budget

          How do you know us?

          [/row]

          รู้จักกับ “Social Chat” ระบบรวมแชทที่รวมทุกช่องทางไว้ในที่เดียว

          ระบบรวมแชท Social Chat คือเครื่องมือที่รวมการสื่อสารผ่านแชทจากหลายแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook Messenger, LINE OA, WhatsApp และ Instagram DM เข้ามาไว้ในที่เดียว เพื่อให้ธุรกิจสามารถตอบแชทลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ สะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น ไม่พลาดทุกข้อความ ไม่ตกหล่นทุกโอกาสในการขาย ระบบนี้มักมาพร้อมฟีเจอร์ที่หลากหลาย เช่น การรวมแชทจากหลายช่องทาง (Omni-channel Inbox), การตอบแชทอัตโนมัติ (Chatbot), การมอบหมายงานให้ทีมแอดมิน, การติดแท็กกลุ่มลูกค้า, การดูประวัติการแชทย้อนหลัง และอื่นๆ

          ทั้งนี้ยังมีฟีเจอร์ต่างๆ ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพิ่มเติม ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามผู้ให้บริการหรือผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ (Software Developer) แต่ละเจ้า ระบบรวมแชทไม่เพียงช่วยให้เหล่าแอดมินตอบลูกค้าได้ง่ายและรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังสามารถช่วยเหลือในด้านการบริหารจัดการภายในธุรกิจได้อีกด้วย

          [/col]

          ปัจจุบันช่องทางการซื้อขายในรูปแบบ Social Commerce เป็นช่องทางที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แบรนด์ต่างๆ จึงเริ่มปรับตัวและวางกลยุทธ์ทางการตลาดในด้านนี้มากขึ้น โดยเฉพาะการตลาดบน Social Media ที่หากแบรนด์ใดการตลาดบนโซเชียลมีเดียได้ดี ก็จะเป็นที่รู้จักและสามารถเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น เนื่องจากเป็นช่องทางที่ผู้คนนิยมใช้งานมมากที่สุดในปัจจุบันนั่นเอง

          ในยุคโซเชียลแบบนี้ สิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยก็คือระบบการจัดการ ที่สามารถสนับสนุนธุรกิจให้บริการได้อย่างทันท่วงที รวดเร็วทันใจเหมาะกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคสมัยปัจจุบัน ดังนั้น Connect X ขอชวนมาทำความรู้จัก “ระบบรวมแชท” ที่ช่วยอำนวยความสะดวกทั้งด้านการบริการและการจัดการภายในธุรกิจ ช่วยสร้างความประทับใจให้และสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้า อีกทั้งยังปิดการขาย เพิ่มกำไรได้ไวด้วย

           

          Social Chat ระบบรวมแชทจาก Connect X พร้อมฟีเจอร์สุดปัง

          ตอบกลับลูกค้าจากทุก Platform ยอดฮิต ได้ในหน้าจอเดียว สามารถเก็บข้อมูลของลูกค้าและสามารถติดตามได้ว่าลูกค้าทักมาจากช่องทางใด เคยติดต่อจากแพลตฟอร์มไหนมาก่อน เคยสนใจสินค้าอะไร ทำให้แอดมินตอบคำถามและให้คำแนะนำได้ตรงใจลูกค้ามากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้ปิดการขายและสร้างความประทับใจได้รวดเร็วกว่า

          โดย Social Chat ของ Connect X รองรับช่องทางการแชทยอดนิยมมากมายอย่าง Facebook Messenger, LINE OA, Instagram, Website (Live Chat) ไปจนถึง Pantip (Social Listening) พร้อมฟีเจอร์แน่นๆ เพื่อช่วยเหลือแบรนด์อย่างรอบด้าน ได้แก่

          • Ticket Management – สามารถแชทลูกค้าจัดได้อย่างเป็นระบบและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้สูงสุด ทุกข้อความที่ลูกค้าทักเข้ามาใหม่ จะถูกส่งไปหาแอดมินที่ถูกแบ่งหน้าที่เอาไว้ หรือสามารถปรับแต่งได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์ เพิ่มประสิทธิภาพในทุกการตอบกลับ แก้ปัญหาลูกค้าได้ทันที ปิดการขายได้เร็วกว่า
          • Agent Routing – แก้ไขปัญหาแอดมินตอบแชทช้า ด้วยการจัดการเส้นทางให้มีการตอบกลับ 2 รูปแบบ
          • Channel: ตั้งค่าให้แอดมินแยกตอบตามช่องทาง Social Media
          • Most Available: ตั้งค่าให้แอดมินที่ว่างที่สุดเป็นคนตอบแชทล่าสุดก่อน

          นอกจากนี้ยังสามารถวัด Performance การทำงานของแอดมินแต่ละคนได้ ว่ามีการตอบกลับรวดเร็วแค่ไหน มีจำนวนในการตอบกลับเท่าไหร่ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและวัดผลได้เป็นอย่างดี

          • Customer Activity – สามารถเห็นทุกความเคลื่อนไหวของลูกค้า ตั้งแต่ก่อนที่ลูกค้าจะติดต่อมาในหน้าจอเดียว เช่น ลูกค้า Add LINE มาจาก โฆษณา (Ads) ตัวไหน และรู้ได้ว่าลูกค้าสนใจสินค้าอะไรก่อนที่จะทักเข้ามา ทำให้ทุกข้อความที่ตอบกลับไปสามารถสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้มากกว่า จนลูกค้าติดใจอยากกลับมาซื้ออีกครั้ง เพราะอยากได้รับประสบการณ์ดีๆ แบบนี้อีก
          • Marketing Automation – ช่วยสร้างการเข้าถึงลูกค้าด้วยแคมเปญการตลาดที่สร้าง Customer Journey ให้กับกลุ่มลูกค้าเก่าและกลุ่มลูกค้าใหม่ที่มีกิจกรรมหรือความสนใจคล้ายกัน โดยสามารถสร้าง Journey ในช่องทางที่หลากหลาย เช่น Email, SMS, Facebook, LINE, Web Push notification หรือ Mobile Push notification ซึ่งออกแบบได้ทั้งการส่งแบบ Recurring ตามเงื่อนไขของ Data เช่น Happy Birthday Campaign หรือ Campaign ตามเทศกาลสำคัญอื่นๆ
          • Collect Data to Re-Marketing – สามารถเก็บรายละเอียดบันทึกการขาย (Order) ในหน้าเดียวกันได้ ทำให้ข้อมูลลูกค้าและการขายจากช่องทางต่างๆ ถูกบันทึกเก็บไว้ที่เดียวกันแบบ Unify Customer Data เพื่อนำไปสร้าง แคมเปญหรือทำการ Retargeting ใน Channel อื่นๆต่อไป
          • Pantip Social Listening – ระบบที่เข้ามาช่วยสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ในสังคมออนไลน์ โดยสามารถสร้าง Engagement และรับมือกับทุกดราม่าในกระทู้ได้ทันท่วงที ด้วยการจับ Keyword ในกระทู้ Pantip ให้แอดมินตอบกลับได้ทันที ทุกครั้งที่มีลูกค้าพูดถึงแบรนด์

          จากที่กล่าวมาทั้งหมด เห็นได้ว่า Social Chat ระบบรวมแชทจาก Connect X เป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารจัดการแบรนด์ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด และช่วยสร้างประสบการณ์ในการใช้บริการสุดประทับใจให้กับลูกค้าได้ไม่เหมือนใคร เพราะมีฟีเจอร์สุดเจ๋ง พร้อมยกระดับให้แบรนด์ของคุณสร้างยอดขายจนขึ้นเป็นแนวหน้าในอุตสาหกรรมเลยทีเดียว

           

          ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

          *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

            Yearly Budget

            How do you know us?

             

            5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM (Customer Relationship Management Software) เพื่อธุรกิจยุคใหม่

            customer-relationship-management-software

            Customer Relationship Management Software (CRM) ใครที่อยู่ในแวดวง Tech หรือ Online Marketing คงคุ้นเคยกับคำนี้ CRM เป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ โดยอาศัยเทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวกลางระหว่างแบรนด์กับลูกค้าได้เป็นอย่างดี เนื่องจากในปัจจุบัน โลกมีธุรกิจใหม่ๆ เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่การตลาดออนไลน์จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้นไปด้วย ผู้ประกอบการมือใหม่จำเป็นที่จะต้องมีเครื่องมือหรือตัวช่วยที่สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้จริง และสามารถสื่อสารความต้องการได้อย่างตรงจุด

            โดยระบบ Customer Relationship Management (CRM) เป็นเทคโนโลยีที่มีคอนเซปต์คือ  “การสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า ผ่านการเก็บข้อมูลเชิงลึก” จึงทำให้ธุรกิจรู้ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เหมาะสมต่อความต้องการของลูกค้า เพื่อที่จะนำเสนอสินค้าหรือบริการที่ตอบโจทย์ได้จริง เพราะว่าเทรนด์การบริโภคของผู้คนในยุคนี้เปลี่ยนไปอยู่เสมอ การตัดสินใจที่ผิดพลาดเพียงหนึ่งครั้งอาจส่งผลเสียที่ยากเกินแก้ไขได้ในระยะยาว ฉะนั้นแบรนด์ไหนที่ปรับตัวได้ไวรู้จักเลือกใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็นตัวช่วยได้ก่อน ก็จะได้เปรียบกว่าคู่แข่งในตลาดออนไลน์

            ดังนั้นในวันนี้ Connect X จะพาผู้ประกอบการมือใหม่ทุกคนมาดู 5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM เพื่อธุรกิจยุคใหม่กัน ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย

            ทำไม Customer Relationship Management Software ถึงสำคัญต่อธุรกิจ?

            การใช้ CRM Software ไม่ได้มีประโยชน์แค่ในด้านการขายเท่านั้น แต่ยังช่วยธุรกิจในหลากหลายมิติ เช่น:

            • รวบรวมข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ: ไม่ว่าจะเป็นประวัติการซื้อสินค้า ความสนใจ หรือพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์

            • ปรับแต่งการตลาดให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย: ด้วยข้อมูลเชิงลึก ทำให้แบรนด์สามารถทำ Personalized Marketing ที่ตรงจริตลูกค้า

            • เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ: พนักงานขายหรือฝ่ายบริการสามารถเข้าถึงข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ ทำให้ตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

            • วิเคราะห์แนวโน้มพฤติกรรมลูกค้า: เพื่อวางแผนกลยุทธ์ล่วงหน้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการให้ตอบโจทย์ยิ่งขึ้น

            มารู้จักระบบ Customer Relationship Management Software ให้มากขึ้น

            Customer Relationship Management หรือที่หลายคนเรียกกันว่า ระบบ CRM แท้ที่จริงแล้วเป็นเครื่องมือสำหรับการทำการตลาดออนไลน์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถค้นหากลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ในขณะเดียวกันก็รักษาฐานลูกค้าเดิมให้อยู่กับแบรนด์ไปนานๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบแคมเปญในช่องทางต่างๆ ทั้งการทำ Email Marketing ไปจนถึงการทำ Personalized Marketing ซึ่งเป็นการคิดแคมเปญหรือคอนเทนต์ที่ถูกจริตกับกลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการ โดยทั้งหมดจะอิงจากการเก็บข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าผ่านพฤติกรรมการเข้าชมเว็บไซต์หรือประวัติการเข้าชมและซื้อสินค้า และตามแนวทางอื่นๆ ที่สำคัญคือการเก็บข้อมูลเหล่านี้ต้องเป็นไปตาม PDPA เพื่อให้ถูกต้องตามหลักข้อกฎหมายที่ต้องให้ความเป็นส่วนตัวต่อข้อมูลของลูกค้าให้มากที่สุด

            โดยระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้าหรือ CRM นี้ หากใช้อย่างถูกต้องจะส่งผลให้กลุ่มลูกค้าเกิดความประทับใจและเป็นการสร้าง Brand Loyalty ให้กับองค์กรในระยะยาว พูดง่ายๆ คือเครื่องมือนี้ไม่ได้เน้นเพียงแค่การขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการเก็บรวบรวมและจัดการกับข้อมูลของลูกค้าเพื่อให้สามารถนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อแบรนด์ในแง่ของการพัฒนาและปรับปรุงแผนการตลาดออนไลน์ให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในอนาคตนั่นเอง

            5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ CRM

            สำหรับแบรนด์หรือนักการตลาดมือใหม่ที่กำลังสนใจในการใช้เครื่องมือ CRM แต่ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นอย่างไรดี ConnectX จะมาแนะนำเทคนิคพื้นฐานที่ต้องรู้ เริ่มจาก

            1.เก็บข้อมูลให้รอบด้าน

            เหนือสิ่งอื่นใดหากต้องการให้เครื่องมือ CRM สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด แบรนด์หรือองค์กรจำเป็นที่จะต้องมีการสร้างฐานข้อมูลของกลุ่มเป้าหมาย เพื่อให้มองเห็นภาพรวมทุกการ “ติดต่อ (Connect)” ของลูกค้าครบทุกมิติ โดยไม่ว่าจะในแผนกใดของแบรนด์ก็ตามจำเป็นที่จะต้องมีฐานข้อมูลลูกค้าชุดเดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นฝ่ายขาย ฝ่ายบริการ ฝ่ายการตลาด เป็นต้น พูดง่ายๆ ว่าหากแบรนด์หรือองค์กรสามารถจับคู่ทุกข้อมูลของลูกค้าให้รวมเป็นหนึ่งเดียวได้ ก็จะทำให้การทำงานในขั้นต่อไปมีความสะดวกและลดปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวได้ด้วยนั่นเอง

            2.ใช้ AI และ Big Data ให้สอดคล้องกับธุรกิจยุคใหม่

            ต้องยอมรับว่าในปัจจุบันเทคโนโลยีสมัยใหม่มีความสามารถที่มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สอดคล้องกับเทรนด์การทำการตลาดออนไลน์ในปัจจุบันที่ไม่ใช่แค่รู้ใจลูกค้าเพียงเท่านั้น แต่แบรนด์ยังต้องตอบสนองความต้องการต่างๆ ของลูกค้าในทันที ดังนั้นการเลือกใช้เครื่องมือ CRM ที่มีระบบ AI ในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกหรือคาดการณ์ข้อมูลต่างๆ นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะขาดไปไม่ได้ เพราะระบบ AI จะช่วยให้งานของแบรนด์ลดน้อยลงแต่สามารถสื่อสารได้ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น เหมือนยิงปืนนัดเดียวได้นกถึงสองตัวนั่นเอง

            3.กำหนดกลุ่มเป้าหมายให้ชัด

            หากแบรนด์เลือกใช้เครื่องมือที่มีเทคโนโลยี AI หรือ Big Data แล้ว นั่นหมายถึงการคาดการณ์กลุ่มเป้าหมายที่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นลูกค้าของแบรนด์ก็จะเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น โดยอาจจะเริ่มต้นการทำ Audience Segmentation หรือการแบ่งกลุ่มลูกค้าเพื่อให้สามารถทำการตลาดแบบ Hyper-Personalization ซึ่งจะเป็นการเจาะลึกพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายได้ลึกมากขึ้น

            4.สื่อสารให้ตรงจุด

            ในขั้นตอนนี้ถือว่าเป็นขั้นตอนที่สำคัญที่สุด เนื่องจากจะเป็นการสื่อสารและโต้ตอบกับลูกค้าผ่านข้อมูลเชิงลึกที่ได้เก็บรวบรวมมาในตอนแรก อย่างที่บอกว่าในปัจจุบันกลุ่มลูกค้าสมัยใหม่ต้องการบริการแบบเฉพาะบุคคลเพิ่มมากขึ้น และมีความคาดหวังให้แบรนด์ช่วยนำเสนอสินค้าและบริการที่จะตอบโจทย์ความต้องการให้ได้มากที่สุด ถือได้ว่าเป็นความท้าทายที่แบรนด์ยุคใหม่ต้องเผชิญ พูดง่ายๆ ว่านอกเหนือจากการแข่งขันกับแบรนด์ต่างๆ ด้วยกันเองแล้ว แบรนด์ยังต้องพยายามพิชิตใจลูกค้าให้ได้อีกด้วย อย่างไรก็ตามข้อควรระวังคืออย่าให้การสื่อสารกลายเป็นการสร้างความรำคาญให้แก่ลูกค้าแทน ไม่เช่นนั้นแทนที่จะได้ยอดขายสินค้าเพิ่มขึ้นอาจจะกลายเป็นยอดคอมเมนต์ในด้านลบมากขึ้นแทน

            5.ประเมินผลและพัฒนากลยุทธ์อยู่เสมอ

            เพื่อเป็นการปรับปรุงประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น การตรวจสอบและคอยประเมินผลลัพธ์อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นสิ่งสำคัญ อย่าลืมว่าโลกในตอนนี้ถูกขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี ทำให้ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาขึ้นอยู่กับกระแสใหม่ๆ ที่อาจส่งผลต่อความคิดความต้องการของกลุ่มลูกค้า หรือเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์ได้มากกว่า ดังนั้นแบรนด์หรือองค์กรควรที่จะต้องหมั่นตรวจสอบถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้เพื่อคอยประเมินผลและปรับปรุงอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่ากลยุทธ์การตลาดออนไลน์ของแบรนด์พร้อมที่จะแข่งขันกับคู่แข่งและสามารถพิชิตความต้องการของลูกค้าได้มากที่สุด

            สรุป 5 ขั้นตอนวางกลยุทธ์การตลาดด้วยระบบ Customer Relationship Management

            ต้องบอกว่าแบรนด์ที่ประสบความสำเร็จในปัจจุบัน โดยส่วนมากแล้วมี Business Model ที่สอดคล้องกับเทรนด์ของ Digital Transformation ในโลกธุรกิจยุคปัจจุบันที่มีการผสานเทคโนโลยีดิจิทัลเข้าไปในทุกอณูของแบรนด์หรือองค์กรอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะในการทำงานด้านการตลาดที่ต้องอาศัยเครื่องมือใหม่ๆ เข้ามาช่วยให้การทำงานมีความลื่นไหลและมีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น อย่างการใช้เครื่องมือที่ช่วยในการบริหารลูกค้าสัมพันธ์ก็ถือได้ว่าเป็นหัวใจหลักของการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งการมีเครื่องมือที่ดีก็เปรียบเสมือนกับการที่แบรนด์มีแขนและขาเพิ่มขึ้น นำไปสู่รายได้ที่เพิ่มขึ้นและผลกำไรที่มากขึ้นในระยะยาว

            ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

            *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

              Yearly Budget

              How do you know us?

              Marketing-Automations ใช้อย่างไรให้เวิร์ก พร้อมข้อควรระวังที่ธุรกิจห้ามมองข้าม

              Marketing-Automations

              ในโลกของการตลาดดิจิทัลที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว การแข่งขันไม่ได้วัดกันแค่ที่สินค้าหรือราคาอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของความเร็ว ความแม่นยำ และประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับในแต่ละช่วงของการเดินทางกับแบรนด์ (Customers Journey) หนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่เข้ามามีบทบาทในยุคนี้คือ Marketing-Automations หรือระบบการตลาดแบบอัตโนมัติ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ตรงกลุ่ม และต่อเนื่องได้แบบไม่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมาก

              เครื่องมือนี้ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่เพียงช่วยประหยัดเวลาและต้นทุน แต่ยังช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และสามารถสร้างประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลได้ในวงกว้าง อย่างไรก็ตาม หากใช้โดยขาดความเข้าใจหรือวางแผนไม่รอบคอบ ก็อาจสร้างผลเสียต่อความสัมพันธ์กับลูกค้าได้เช่นกัน

              บทความนี้ Connect X จะพาคุณไปรู้จักข้อดีของ Marketing-Automations ที่ทุกธุรกิจควรใช้ และข้อควรระวังที่ห้ามมองข้ามหากอยากให้การตลาดของคุณลื่นไหลอย่างมีประสิทธิภาพ

              ข้อดีที่ทำให้ใครๆ ต่างใช้ Marketing-Automations

              Marketing Automation หรือ “ระบบการตลาดแบบอัตโนมัติ” คือแพลตฟอร์มหรือซอฟต์แวร์ที่ออกแบบมาเพื่อช่วยธุรกิจจัดการงานการตลาดที่ซับซ้อนให้กลายเป็นกระบวนการอัตโนมัติ ฟีเจอร์หลักๆ ที่พบได้บ่อย เช่น:

              • การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย (Potential Customer) ได้แม่นยำยิ่งขึ้น
              • การจัดเก็บและบริหารข้อมูลลูกค้าแบบเป็นระบบ เพื่อสร้างฐานข้อมูลที่นำไปใช้ได้จริง
              • การช่วยเสริมความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์และลูกค้า โดยมักเชื่อมกับระบบ CRM
              • การสร้างและส่งแคมเปญการตลาดอัตโนมัติ เช่น Email Marketing, SMS, Push Notification หรือโฆษณาผ่าน Social Media
              • การช่วยลดต้นทุนและเวลาในการสร้างและจัดการแคมเปญ

              ระบบ AI ที่ทำงานแบบอัตโนมัติยังสามารถช่วยลดภาระงานที่ซ้ำซ้อน เช่น การสร้างรายงาน การติดตามผล หรือแม้แต่การตอบกลับข้อความจากลูกค้า ทำให้ลดความผิดพลาดจากมนุษย์ (Human Error) ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดเล็กหรือ SME ที่มีงบจำกัด ก็สามารถใช้ Marketing-Automation เป็นตัวช่วยยกระดับการตลาดให้แข่งขันกับแบรนด์ใหญ่ได้อย่างมืออาชีพ

              3 ข้อควรระวังของการใช้ Marketing-Automations

              ถึงแม้ Marketing-Automation จะมีประสิทธิภาพสูง แต่หากใช้อย่างไม่ถูกต้อง ก็อาจสร้างผลกระทบในทางลบต่อแบรนด์ได้เช่นกัน ต่อไปนี้คือ 3 ข้อควรระวังที่ธุรกิจควรตระหนักก่อนนำระบบอัตโนมัติเข้ามาใช้

              1. ไม่ทำความเข้าใจผู้บริโภคก่อนเริ่มทำแคมเปญ

              หนึ่งในข้อผิดพลาดที่พบบ่อยที่สุดในการใช้ระบบอัตโนมัติคือการเร่งทำแคมเปญโดยไม่เข้าใจลูกค้าให้ลึกซึ้งพอ หลายธุรกิจมองว่า Marketing Automation เป็นเครื่องมือที่เพียงพอจะทำให้แคมเปญประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องศึกษาพฤติกรรมหรือความต้องการของลูกค้าแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งความจริงแล้วระบบนี้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดก็ต่อเมื่อถูกวางแผนให้สอดคล้องกับ Customer Journey อย่างแท้จริง

              หากข้ามขั้นตอนสำคัญอย่างการทำความเข้าใจความคาดหวัง จุดเจ็บปวด หรือแรงจูงใจของลูกค้า ระบบจะส่งข้อความหรือข้อเสนอที่ไม่ตรงจุด ทำให้เสียโอกาสในการสร้างความสัมพันธ์ และอาจทำให้ลูกค้าเกิดความรู้สึกด้านลบต่อแบรนด์ได้

              2. แบรนด์พึ่งพาระบบ Marketing Automation มากเกินไป

              แม้ Marketing-Automation จะสามารถช่วยลดภาระงานได้อย่างมาก แต่การใช้มันเป็นตัวแทนมนุษย์ในทุกสถานการณ์ถือเป็นเรื่องเสี่ยง ระบบอัตโนมัติไม่สามารถตีความอารมณ์หรือเจตนารมณ์ของผู้บริโภคได้เสมอ เช่น ลูกค้าโกรธจากการจัดส่งล่าช้า แต่ได้รับข้อความแนะนำโปรโมชันใหม่ แทนที่จะเป็นข้อความขอโทษหรือคำชี้แจง ระบบจึงอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงได้

              แบรนด์ควรมี “จุดแทรกแซงของมนุษย์” อย่างน้อยในขั้นตอนสำคัญ เช่น การตอบคำถามซับซ้อน การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า หรือการประเมินสถานการณ์แคมเปญก่อนปล่อยออกไป ซึ่งการใช้ระบบอย่างสมดุลจะช่วยให้การสื่อสารยังคงมีความเป็นมนุษย์และน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น

              3. ข้อมูล (Data) ที่มียังไม่เพียงพอ

              ระบบอัตโนมัติจะทำงานได้ดีต่อเมื่อมีข้อมูลที่มีคุณภาพและครอบคลุมเพียงพอ หากธุรกิจเพิ่งเริ่มเก็บข้อมูลลูกค้า หรือยังไม่มีระบบ CDP (Customer Data Platform) ที่เป็นศูนย์กลาง ข้อมูลที่ใช้ในการสร้างแคมเปญจะกระจัดกระจาย ไม่สามารถนำไปวิเคราะห์เชิงลึกหรือปรับแต่งการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

              ตัวอย่างเช่น หากไม่มีข้อมูลว่าลูกค้าอยู่ในช่วงไหนของการตัดสินใจซื้อ ก็ไม่สามารถเลือกรูปแบบข้อความหรือช่องทางการสื่อสารที่เหมาะสมได้ หรือหากข้อมูลผิดพลาด เช่น คำขึ้นต้นเพศไม่ตรง หรือส่งแคมเปญซ้ำซ้อน ระบบก็จะสร้างประสบการณ์ที่ไม่ดีให้กับลูกค้าและทำให้แบรนด์เสียความน่าเชื่อถืออย่างรวดเร็ว

              การลงทุนในระบบจัดเก็บและจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบจึงเป็นรากฐานสำคัญที่ควรมาก่อนการใช้ Marketing Automation

              ระบบ Marketing-Automation ที่เข้าใจลูกค้าจริง ๆ จาก Connect X

              ทั้ง 3 ข้อควรระวังนี้ เป็นสิ่งที่เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดควรคำนึงถึงก่อนเริ่มใช้งานระบบ Marketing Automation เพื่อให้แน่ใจว่าระบบนี้จะเป็นตัวช่วยที่ทรงพลังในการขับเคลื่อนการตลาด ไม่ใช่อุปสรรคที่บั่นทอนความเชื่อมั่นของลูกค้า

              หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือ Marketing-Automation ที่ไม่ใช่แค่ “อัตโนมัติ” แต่ยังสามารถเรียนรู้ลูกค้าและปรับตัวตามข้อมูลแบบเรียลไทม์ Connect X คือคำตอบที่เหมาะสมที่สุด ด้วยระบบ CDP (Customer Data Platform) ที่ช่วยเก็บข้อมูลลูกค้าแบบ 360 องศา ผสานเข้ากับ Marketing Automation อัจฉริยะ และเครื่องมือการตลาดแบบ Real-Time ที่ช่วยให้ทุกแคมเปญมีเป้าหมายชัดเจน เข้าถึงลูกค้าได้ตรงจุด และสร้างผลลัพธ์ที่วัดผลได้จริงในทุกขั้นตอนของการตลาดยุคใหม่

              ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

              *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                Yearly Budget

                How do you know us?

                ทำความรู้จัก Loyalty Program การสานสัมพันธ์ลูกค้าที่แบรนด์ยุคนี้ต้องมี

                loyalty-program

                Loyalty Program เป็นสิงที่สำคัญมากในยุคปัจจุบันที่การแข่งขันทางธุรกิจเข้มข้นขึ้นทุกปี แบรนด์ต่างๆ ไม่ได้เพียงแค่ต้องการเพิ่มยอดขาย แต่ยังต้องมุ่งเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิมและสร้างความสัมพันธ์ในระยะยาวให้ได้ ซึ่ง โปรแกรมสะสมความภักดีของลูกค้า ได้กลายเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่แบรนด์ชั้นนำทั่วโลกเลือกใช้

                ในบทความนี้ Connect X จะพาคุณไปทำความเข้าใจว่า Loyalty Program คืออะไร มีประโยชน์อย่างไร และจะนำไปใช้ในธุรกิจได้อย่างไรให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด

                ความหมายของ Loyalty Programs

                Loyalty Programs คือ โปรแกรมส่งเสริมความภักดีของลูกค้า (Customer Loyalty) ที่ช่วยรักษาความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้า โดยสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ ผ่านการมอบสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น คะแนนสะสม ส่วนลด ของรางวัล หรือสิทธิประโยชน์เฉพาะสมาชิก

                เป้าหมายหลักของโปรแกรมคือการสร้าง Customer Retention หรือการรักษาลูกค้าให้อยู่กับแบรนด์ในระยะยาว และต่อยอดสู่ Brand Loyalty ซึ่งเป็นหัวใจของการเติบโตอย่างมั่นคงในยุคดิจิทัล

                ทำไมธุรกิจควรมี Loyalty Programs?

                • เพิ่มโอกาสในการซื้อซ้ำ (Repeat Purchase)
                  ลูกค้ามักกลับมาซื้อซ้ำหากได้รับสิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก เช่น ส่วนลด หรือการสะสมแต้มเพื่อแลกของรางวัล

                • เก็บข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า (Customer Insight)
                  ระบบ Loyalty Program มักมาพร้อมกับการลงทะเบียน ทำให้แบรนด์สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ และนำไปใช้ในการทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing)

                • ลดต้นทุนในการหาลูกค้าใหม่ (Lower Acquisition Cost)
                  การรักษาลูกค้าเดิมมีต้นทุนน้อยกว่าการหาลูกค้าใหม่ถึง 5 เท่า โปรแกรมความภักดีจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

                • สร้าง Brand Advocacy
                  ลูกค้าที่ภักดีมีแนวโน้มที่จะแนะนำแบรนด์ให้คนรู้จัก และกลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์ (Brand Advocate)

                ตัวอย่าง Loyalty Programs ที่ประสบความสำเร็จในไทย

                • All Member จาก 7-Eleven
                  ระบบสมาชิกที่ให้สิทธิพิเศษต่างๆ เช่น ส่วนลด สะสมแต้ม แลกของรางวัล ช่วยดึงดูดลูกค้าให้แวะร้านบ่อยขึ้น

                • Starbucks Rewards
                  โปรแกรมสะสมดาวพร้อมแบ่งระดับสมาชิกเป็น Tier ต่างๆ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการกลับมาซื้อซ้ำ และอัปเกรดสถานะเพื่อรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม

                ขั้นตอนการสร้าง Loyalty Programs ให้ได้ผล

                1. รวบรวมข้อมูลลูกค้า (Data Collection)
                  ให้ลูกค้าสมัครสมาชิกเพื่อเข้าถึงสิทธิพิเศษ พร้อมเก็บข้อมูลสำคัญ เช่น เพศ อายุ ความสนใจ พฤติกรรมการซื้อ

                2. แบ่งกลุ่มลูกค้า (Customer Segmentation)
                  นำข้อมูลมาวิเคราะห์และแบ่งกลุ่ม เพื่อออกแบบสิทธิพิเศษหรือแคมเปญที่ตรงกับพฤติกรรมแต่ละกลุ่ม

                3. ออกแบบสิทธิประโยชน์ (Reward System)
                  เช่น ระบบสะสมแต้ม, บัตรของขวัญ, ส่วนลด, การเข้าร่วมกิจกรรมพิเศษ

                4. มีปฏิสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง (Customer Engagement)
                  ใช้การสื่อสารเฉพาะบุคคลผ่าน Email, SMS, หรือ Push Notification เพื่อให้ลูกค้าไม่ลืมแบรนด์

                5. วัดผลและปรับปรุงโปรแกรม (Analytics & Optimization)
                  วิเคราะห์ข้อมูลการใช้งาน และปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ตามพฤติกรรมลูกค้าเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

                Connect X กับ Loyalty Connect: โซลูชันสำหรับ CRM : Loyalty Programs แบบครบวงจร

                Connect X คือแพลตฟอร์ม CDP (Customer Data Platform) ที่มาพร้อมฟีเจอร์ Loyalty Connect ซึ่งช่วยให้ธุรกิจออกแบบ Loyalty Program ได้อย่างมีประสิทธิภาพและยืดหยุ่น โดยมีความสามารถเด่นดังนี้:

                • ระบบ Point Management
                  เก็บและจัดการคะแนนสะสม พร้อมเชื่อมต่อกับระบบเดิมของธุรกิจ เช่น POS, Website หรือ Application ผ่าน API

                • ระบบ Tier ระดับสมาชิก
                  กำหนดระดับสมาชิก เช่น Bronze, Silver, Gold เพื่อมอบสิทธิพิเศษที่แตกต่างกัน สร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าอัปเกรดสถานะ

                • ระบบ Point Earn และ Burn
                  ยืดหยุ่นในการกำหนดเงื่อนไขรับและใช้คะแนน เช่น ซื้อครบ 1,000 บาท รับ 10 คะแนน หรือใช้ 500 คะแนนแลกของรางวัล

                • ระบบแจ้งเตือน Point หมดอายุ
                  ช่วยดึงลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำก่อนแต้มหมดอายุ ผ่าน SMS, Email หรือแคมเปญอัตโนมัติ

                • ระบบ Gift Management
                  กำหนดของรางวัลในระบบพร้อมระบุจำนวน Point ที่ใช้แลกได้อย่างง่ายดาย

                สรุป: Loyalty Programs ไม่ใช่แค่เรื่องของโปรโมชั่น แต่คือกลยุทธ์สร้างธุรกิจยั่งยืน

                การทำ Loyalty Programs อย่างจริงจังจะช่วยให้ธุรกิจไม่เพียงแค่เพิ่มยอดขายในระยะสั้น แต่ยังสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว เกิดเป็น Brand Loyalty ที่ยากจะเลียนแบบ

                หากคุณกำลังมองหาแพลตฟอร์มที่จะช่วยบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าและ Loyalty Programs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ Connect X คือคำตอบของคุณ

                 

                ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ


                  Yearly Budget

                  How do you know us?

                  จริงหรือไม่? 3 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ PDPA เปลี่ยนความคิดด่วน

                  เพราะข้อมูลเป็นเรื่องสำคัญ กฎหมาย PDPA จึงเกิดขึ้นเพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล แต่หลายคนก็ยังสงสัยหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับ กฎหมาย PDPA อยู่ ดังนั้นมาไขข้อสงสัยกันดีกว่า

                  พอกฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) ได้ประกาศบังคับใช้อย่างเป็นทางการไปเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการและภาคธุรกิจต้องปรับตัวกันยกใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นการขอความยินยอมในการเก็บข้อมูล การจัดทำนโยบายความเป็นส่วนตัว การนำข้อมูลไปใช้ ไปจนถึงการกำกับดูแลข้อมูล

                  สำหรับการขอความยินยอมหรือ Consent เพื่อเก็บข้อมูลจากลูกค้าถือเป็นกุญแจสำคัญในการทำ Digital Marketing ซึ่งหลากหลายธุรกิจต่างก็ต้องหาข้อมูลอย่างเคร่งครัดเกี่ยวกับข้อห้าม PDPA ว่าอะไรที่สามารถทำได้หรือทำไม่ได้ แต่สำหรับมือใหม่ที่เพิ่งเริ่มศึกษาก็ต้องเจอกับรายละเอียดข้อมูลมากมายที่อาจทำให้สับสนได้ง่ายๆ

                  3 เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ PDPA ต้องเคลียร์ ไม่ให้สับสน

                  เชื่อว่าทั้งผู้บริโภคและเจ้าของธุรกิจหลายๆ คนยังมีเรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ PDPA อยู่ไม่น้อย ดังนั้น Connect X จะมาไขข้อสงสัยต่างๆ เกี่ยวกับพ.ร.บ. ฉบับนี้ให้กระจ่าง ตามมาดูกันได้เลย!

                  1. ข้อห้าม PDPA มีเพียงผู้ประกอบการหรือธุรกิจเท่านั้นที่ต้องทำตาม

                  จากชื่อ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 หลายคนจึงเข้าใจว่ามีเพียงแค่ธุรกิจเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบและต้องปฏิบัติตามข้อบังคับต่างๆ ของ PDPA อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่ากฎหมายนี้ให้การคุ้มครองข้อมูลอย่างครอบคลุม เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับเจ้าของข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร อีเมล เลขบัตรประชาชน ข้อมูลลายนิ้วมือ เลขบัญชีธนาคาร หรือข้อมูลอื่นๆ ที่สามารถใช้ระบุตัวตนของเจ้าของข้อมูลได้ทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์

                  โดยการบังคับใช้ PDPA มีผลกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง คือ เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล (Data Subject) ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Collector) และผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Data Processor) พูดง่ายๆ ว่าทั้งภาครัฐ เอกชน กิจการ และผู้บริโภคต่างก็ต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมายนี้ด้วยกันทั้งหมด ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น ในกรณีที่ซื้อสินค้าออนไลน์แล้วมีการติดต่อพ่อค้าแม่ค้าโดยตรง เราจะได้เลขบัญชีเพื่อโอนจ่ายเงิน จากนั้นต้องแจ้งสลิป พร้อมชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทร สำหรับจัดส่งสินค้า ซึ่งข้อมูลทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล เท่ากับว่าพ่อค้าแม่ค้าและเราก็ต้องปฏิบัติตาม PDPA ทั้งคู่ ไม่นำข้อมูลที่ได้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์หรือใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เป็นต้น

                  2. ธุรกิจต้องได้รับความยินยอม (Consent) จากเจ้าของข้อมูลทุกครั้ง

                  สำหรับ พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ยังมีบทบัญญัติเกี่ยวกับหลักการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลตามกฎหมาย PDPA ในมาตรา 24 ซึ่งมีหลักการเกี่ยวกับเรื่องความยินยอม (Consent) ก่อนที่แบรนด์หรือนักการตลาดจะนำข้อมูลไปเก็บในระบบ CRM หรือนำไปประกอบแคมเปญต่างๆ ก็ต้องขอความยินยอมก่อน เช่น การขอ Cookie Consent เพื่อจัดเก็บไฟล์คุกกี้และข้อมูลของผู้เข้าชมเว็บไซต์ แต่ไม่ได้แปลว่าธุรกิจจะต้องขออนุญาตทุกครั้งที่ต้องเก็บข้อมูล

                  misunderstood about pdpa

                  ในความจริงแล้ว เจ้าของข้อมูลต้องให้ความยินยอม (Consent) ต่อผู้ควบคุมข้อมูลตามที่แจ้งไว้ตั้งแต่แรกเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อาทิ เมื่อสมัครสมาชิกผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน หลังจากกรอกรายละเอียดแล้ว จะมีข้อความหรือเอกสารให้อ่านพร้อมปุ่มกด “ยินยอม” หรือ “ยอมรับ” เพื่ออนุญาตให้ธุรกิจเก็บรวบรวมข้อมูลนั่นเอง ซึ่งจะเป็นการทำเพียงครั้งเดียว ไม่จำเป็นต้องกดยินยอมทุกครั้งเมื่อเข้าสู่ระบบ สำหรับมุมมองของธุรกิจนั้น การขอความยินยอมเพียงครั้งเดียวนี้ก็เป็นการอำนวยความสะดวกให้สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลของผู้ใช้งานหรือลูกค้าได้ต่อเนื่องและมีฐานข้อมูลครบถ้วน สามารถใช้ในการทำการตลาดหรือเพื่อปรับปรุง Marketing Automation ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้นั่นเอง

                  นอกจากนี้ ยังมีกรณีต่างๆ ที่ข้อมูลจะถูกเก็บรวบรวมได้ โดยได้รับข้อยกเว้น PDPA หรือไม่จำเป็นต้องขอความยินยอมดังนี้

                  • กรณีป้องกันหรือระงับอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือสุขภาพของเจ้าของข้อมูล รวมไปถึงการใช้ข้อมูลเพื่อประโยชน์สาธารณะ เช่น ป้องกันโรคระบาด ซึ่งผู้ควบคุมสามารถเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผย ข้อมูลส่วนบุคคลได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอม
                  • การปฏิบัติตามสัญญา ไม่ต้องขอความยินยอม
                  • ปฏิบัติภารกิจของรัฐ ตามมาตรา 24(4) หากจำเป็นต่อการดำเนินภารกิจของรัฐเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือเป็นการใช้อำนาจรัฐ การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อการนั้น ไม่ต้องขอความยินยอม อย่างไรก็ตาม แม้ไม่ต้องขอความยินยอม แต่ผู้ควบคุมยังคงมีหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล และคำนึงถึงความได้สัดส่วนความจำเป็นในการใช้ข้อมูล และผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูล
                  • ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ต้องขอความยินยอม มาตรา 24(6)

                  3. การโพสต์รูปโซเชียลโดยมีใบหน้าผู้อื่นติดมาด้วย ถือว่าผิดกฎหมาย PDPA

                  ใจความสำคัญของ PDPA คือการปกป้องความเป็นส่วนตัว ซึ่งก็รวมไปถึงรูปถ่ายหรือวิดีโอที่มีใบหน้าของเจ้าของข้อมูลด้วย หลายคนเข้าใจว่าการที่ใครสักคนโพสต์รูปบนโซเชียลแล้วมีใบหน้าเราติดไปถือว่าเป็นการละเมิดพ.ร.บ. ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ “ผิด” จนกลายเป็นประเด็นร้อนในโลกโซเชียลกันไปแล้ว

                  จริงๆ แล้ว การที่ผู้ถ่ายรูปหรือคลิปวิดีโอบังเอิญถ่ายติดใบหน้าของคนอื่นไปโดยไม่ได้เจตนา หรือไม่ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อผู้ถูกถ่ายก็สามารถทำได้โดยไม่ผิดหลัก PDPA ส่วนในกรณีที่ได้นำรูปถ่ายหรือคลิปไปโพสต์บนโซเชียลก็สามารถทำได้ ถ้าเป็นการทำเพื่อวัตถุประสงค์ส่วนตัว ไม่นำไปใช้เพื่อผลประโยชน์หรือทำกำไร และทำให้เจ้าของข้อมูลเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือทำให้เกิดอันตราย

                  เรื่องการติดตั้งกล้องวงจรปิด ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่หลายคนกังวลว่า หากถ่ายติดใบหน้าคนอื่นจะเป็นการทำผิดพ.ร.บ. หรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นการติดภายในบริเวณบ้านเพื่อรักษาความปลอดภัย ก็ไม่จำเป็นต้องทำป้ายแจ้งเตือน หมดห่วงได้เพราะไม่ผิดต่อข้อกฎหมายแน่นอน

                  สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

                  เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

                  Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

                  PDPA ในมุมมองของ SME ต้องเตรียมพร้อมด้านไหนบ้าง?

                  เมื่อ PDPA ถูกบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ธุรกิจเล็กใหญ่ต้องปรับตัว ให้สามารถแข่งขันและอยู่รอดได้ แล้วธุรกิจ SME เปิดใหม่ต้องเตรียมพร้อมด้านไหนบ้าง? มาหาคำตอบกัน

                  การตลาดและแบรนด์ต่างๆ ถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เพื่อทำการเก็บรวบรวมและประเมินผลข้อมูลในการเข้าถึงความต้องการของลูกค้า กล่าวได้ว่าทุกวันนี้เป็นยุค “Data Driven” อย่างชัดเจน ทั้งยังมีระบบต่างๆ เกิดขึ้นมาสนับสนุน เช่น ระบบ AI, Marketing Automation, CRM หรือ CPD ฯลฯ ช่วยให้ธุรกิจดำเนินกิจกรรมทางการตลาดได้สะดวก รวดเร็ว และแม่นยำมากขึ้น

                  อย่างไรก็ตาม หลังจากวันที่ 1 มิ.ย. พ.ศ. 2565 ที่ผ่านมา ได้มีการบังคับใช้ “PDPA” หรือ “พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562” ส่งผลให้ธุรกิจ SME และผู้ประกอบการต้องปรับตัวกันยกใหญ่ แล้วแบรนด์ต่างๆ ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้างเพื่อรับมือกับ PDPA?

                  ทำความเข้าใจ PDPA

                  เชื่อว่าด้วยกระแสของพรบ. ฉบับนี้ ผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตหลายคนคงทราบกันอยู่แล้วว่าคืออะไร แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่พึ่งเริ่มศึกษา PDPA นั้นย่อมาจาก Personal Data Protection Act ซึ่งหน้าที่ของมันเป็นก็ตามชื่อเลย คือการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลต่างๆ ที่องค์กรได้เก็บรวบรวมหรือครอบครองไว้

                  พูดง่ายๆ ว่า ข้อดีของ คือความสามารถในการปกป้องข้อมูลของผู้บริโภคหรือลูกค้าเป็นหลัก ซึ่งถ้าถามว่าข้อเสียหากไม่มี PDPA คืออะไร? ก็ตอบได้ว่าเจ้าของข้อมูลอาจถูกละเมิด ข้อมูลถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด หรือมีผู้ไม่ประสงค์ดีนำข้อมูลไปใช้เพื่อผลประโยชน์ทางพาณิชย์ได้นั่นเอง

                  แม้จะฟังดูเป็นเรื่องดี แต่ในมุมมองของธุรกิจแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องน่าปวดหัวเลยทีเดียว เพราะพรบ. นี้ส่งผลให้บริษัทต้องเปลี่ยน นโยบายการจัดเก็บข้อมูลให้มีมาตรฐานมากขึ้น ทั้งส่วนของเอกสารแบบออฟไลน์และดิจิทัล รวมไปถึงการตรวจสอบนโยบาย Privacy Policy และ Cookies Consent ในการเก็บข้อมูล เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการฟ้องร้องในภายหลัง

                  อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562  ที่นี่

                  หน้าที่ของธุรกิจที่มีต่อข้อมูลลูกค้าในยุค PDPA

                  แบรนด์และธุรกิจมีหน้าที่สำคัญในการดูแลข้อมูลของลูกค้า ในฐานะ Data Controller และ Data Processer โดยมีหน้าที่ดังนี้

                  • จัดระเบียบข้อมูลและจำแนกความสำคัญของข้อมูล
                  • นำข้อมูลไปใช้งานอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ข้อมูลเพื่อปรับปรุงเว็บไซต์ บริการด้านการตลาด หรือคัดเลือกสิ่งที่ตอบโจทย์ความต้องการในการใช้งาน
                  • การนำข้อมูลไปใช้ในการวิเคราะห์สำหรับการทำงานต่อไป
                  • การให้ความคุ้มครองและป้องกันข้อมูล
                  [/col] [/row]

                  สิ่งที่ธุรกิจ SME ต้องเตรียมพร้อม รับกฎหมาย PDPA

                  มาถึงคำถามที่เจ้าของแบรนด์หลายๆ คนสงสัย ซึ่งก็ต้องมีการเตรียมตัวในหลายๆ ด้าน  Connect X ขอยกตัวอย่างมาให้ 5 ข้อ ดังนี้

                  1.ตั้ง Budget ให้พร้อม

                  ในการบริหารข้อมูลทั้งในรูปแบบเอกสารและข้อมูลดิจิทัลนั้นมีค่าใช้จ่าย เช่น เครื่องเซิร์ฟเวอร์ (Server) สำหรับเก็บข้อมูล ซอฟต์แวร์ป้องกันไวรัส หรือ Ransomware และแพลตฟอร์มสำหรับจัดการข้อมูล นอกจากนี้ อาจมีค่าใช้จ่ายในด้านของการปรึกษานักกฎหมายอีกด้วย

                  2.แต่งตั้ง DPO เพื่อดูแลข้อมูล

                  DPO หรือ Data Protection Officer คือเจ้าหน้าที่ที่จะเข้ามาดูแลและให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับข้อมูลส่วนบุคคลทั้งหมดในองค์กร เพื่อให้การจัดการข้อมูลเป็นไปตามกฎของ Personal Data Protection Act และประสานงานกับหน่วยงานภาครัฐด้วยนั่นเอง

                  3.กำหนดประเภทข้อมูลและวัตถุประสงค์

                  อย่างที่กล่าวไปว่าธุรกิจต้องปรับโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลส่วนบุคคล ให้จัดเก็บเพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ไม่สอบถามหรือขอข้อมูลที่ละเอียดอ่อนหากไม่จำเป็น

                  4.ทบทวน Data Protection Policy

                  สำหรับธุรกิจที่ไม่ได้มีการร่างนโยบาย หรือมาตรการป้องกันข้อมูลที่ครอบคลุมมากนัก ก็ควรที่จะตรวจสอบและทบทวนใหม่ เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลให้ปลอดภัยที่สุด พร้อม จัดทำเอกสารมาตรการความปลอดภัยและดำเนินการจริง เพื่อใช้เป็นหลักฐานอ้างอิงว่าบริษัทมีการดำเนินการตามเกณฑ์

                  5.ค้นหาแพลตฟอร์ม CRM หรือ CPD ที่สอดคล้องกับ PDPA

                  ระบบ Customer Relationship Management (CRM) หรือ Customer Data Platform (CDP) ล้วนเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้แบรนด์บริหารความสัมพันธ์และจัดการข้อมูลของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งธุรกิจก็ควรเลือกใช้ระบบ CRM หรือ CDP ที่ใช้งานง่าย ครอบคลุม และปลอดภัย หากมีฟีเจอร์เด็ดๆ เสริมด้านการตลาดอย่าง Marketing Automation, Personalized Marketing, ระบบ AI หรืออื่นๆ จะยิ่งช่วยให้จัดการข้อมูลต่างๆ ของผู้บริโภคและลูกค้าเป็นไปได้อย่างราบรื่น

                  ทั้ง 5 ข้อนี้ก็เป็นเพียงการเตรียมพร้อมเบื้องต้นสำหรับการรับมือ กับ พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 แล้วยังมีด้านอื่นๆ ที่ขอแนะนำให้เจ้าของธุรกิจศึกษาอย่างละเอียดและเข้าใจ เพื่อนำมาปรับใช้กับธุรกิจอย่างถูกต้อง และสามารถนำข้อมูลต่างไปใช้ในการตลาดได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

                  ส่วนท่านใดกำลังที่กำลังมองหาตัวช่วยเก็บและบริหารข้อมูลที่สอดคล้องกับ พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 อย่างแพลตฟอร์ม CDP จาก Connect X และระบบ Marketing Automation ในตัว สามารถส่งแคมเปญทางการตลาดและสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าได้หลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น SMS, Email, Social Media และเว็บไซต์ มอบประสบการณ์แบบ Personalized แก่รายบุคคล ทั้งยังช่วยวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดได้เหมาะสม เพื่อสร้างความประทับใจและประสบการณ์การใช้งานที่ไม่ซ้ำใคร

                  Connect X เป็นระบบ Customer Data Platform (CPD) ที่มาพร้อมกับ Marketing Automation ที่สามารถวิเคราะห์ได้ลึกถึง Insight แบ่งกลุ่ม Audience Segment ชัดเจนเข้าใจความต้องการของลูกค้ามากขึ้น และสร้างแคมเปญ ด้านการตลาดพร้อมส่งไปยังลูกค้าที่ใช่ในทุกช่องทาง

                  สร้างความประทับใจและประสบการณ์การใช้งานที่ลูกค้าต้องติดใจอย่างแน่นอน เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

                  Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect หรือ เชื่อมต่อ กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

                  Connect X เข้าใจนักการตลาดทุกคนว่าการเลือก Platform มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ

                  ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                  *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจาก Connect X ด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Martech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                    Yearly Budget

                    How do you know us?