Author Archives: connectx

โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า จะส่งผลดีต่อแบรนด์อย่างไร?

Customer-data-platform-โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า

โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า เป็นสิ่งที่นักการตลาดยุคดิจิทัลขาดไม่ได้ สิ่งนี้มีผลดีต่อแบรนด์อย่างไร? Connect X จะมาบอกให้คุณได้รู้…

ทำการตลาดต้องอาศัย “ข้อมูล”

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลถือเป็นส่วนสำคัญในการทำการตลาดให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอายุ เพศ พฤติกรรม หรือความสนใจ ซึ่งทั้งหมดล้วนสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ การออกแบบสินค้าและบริการ การทำโปรโมชันต่าง ไปจนถึงการสร้าง Marketing Campaign ที่เหมาะจะดึงดูดผู้บริโภค

รูปแบบการเก็บข้อมูลที่เปลี่ยนไป

เมื่อก่อนที่สื่อออนไลน์ต่างๆ ยังไม่เกิดขึ้น การเก็บข้อมูลนั้นทำได้ยาก เพราะต้องอาศัยการลงพื้นที่ แจกแบบสำรวจ ซึ่งผู้คนมักปฏิเสธ ส่วนการสัมภาษณ์ข้อมูลก็ต้องทำแบบ Face-to-Face ใช้เวลาเก็บรวบรวมนาน และการเก็บข้อมูลมากๆ ก็มักทำได้อย่างไม่เป็นระเบียบ

ในปัจจุบัน “โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า” อย่างระบบ CRM (Customer Relationship Management) และ CDP (Customer Data Platform) จึงเป็นเครื่องมือที่คุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างมาก เพราะสามารถจะรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, LINE หรือเว็บไซต์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าจะทำการจัดเก็บรายละเอียดต่างๆ ได้แบบอัตโนมัติ

โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า ช่วยแบรนด์อย่างไร?

ข้อดีของโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าต่อแบรนด์นั้นมีมากมาย ขึ้นอยู่กับรูปแบบการทำธุรกิจและวิธีการนำข้อมูลไปใช้ในเชิงการตลาด ซึ่ง Connect X ขอยกตัวอย่างข้อดีมาให้เจ้าของธุรกิจทุกท่านได้ทราบ ดังนี้

1. เก็บข้อมูลได้เป็นระเบียบผ่านโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า

เมื่อแบรนด์เติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ฐานข้อมูลลูกค้าก็จะขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าจะสามารถช่วยในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ได้อย่างเป็นระเบียบ จัดแบ่งข้อมูลตามกลุ่มลูกค้า และ Profile รายบุคคลได้

CDP ของ Connect X มีฟีเจอร์ Customer Single View ที่จะทำให้นักการตลาด สามารถสื่อสารไปยังลูกค้าแต่ละคนได้แบบแม่นยำ ข้อมูลไม่กระจัดกระจาย ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อจากช่องทางไหน หรือรู้จักแบรนด์จาก Ads ไหนก็ตาม และยังผสานประสบการณ์ของลูกค้าได้แบบ Omni-Channel อีกด้วย

2. รู้ถึงความสนใจและพฤติกรรมลูกค้า

หลังจากรวบรวมข้อมูลได้อย่างเป็นระเบียบแล้ว โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าจะสามารถแสดงข้อมูลความสนใจและความต้องการของลูกค้าได้ด้วย ซึ่งแบรนด์สามารถนำการวิเคราะห์ส่วนนี้เพื่อทำ Campaign ต่างๆ ได้

Connect X นั้นมีความพิเศษต่างจากระบบ CDP อื่นๆ เพราะสามารถรู้ข้อมูลเชิงลึกถึงระดับ Insight ด้วยระบบ AI Predictive Lead Scoring ช่วยจัดลำดับลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสินค้าสูงที่สุด สามารถทำแคมเปญการตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น เข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

3. ทำ Personalized Marketing ได้

ระบบ CRM ทั่วไปอาจสามารถจัดเก็บได้แค่เพียงข้อมูลพื้นฐาน เพื่อนำไปประกอบการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายโดยรวม แต่แพลตฟอร์ม CDP อย่าง Connect X สามารถทำได้มากกว่านั้น เพราะสามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เปลี่ยน Unknown Customer เป็น Known Customer แม้ลูกค้าจะติดต่อมาจากช่องทางที่ต่างกัน ก็รู้ว่าเป็นคนเดียวกัน

จะทำ Personalized Marketing เอาใจลูกค้าก็ทำได้ง่ายๆ พร้อมกับระบุชื่อของแต่ละบุคคลได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น SMS Marketing, Email Marketing, หรือจะส่งโปรโมชันพิเศษผ่านโซเชียลและแอปฯ ก็ทำได้ ด้วย Marketing Automation

4. โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าช่วยวัดผลได้แบบ Real-Time

อีกหนึ่งความสามารถที่โดดเด่นของโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า คือการวิเคราะห์และวัดผลของการทำการตลาดได้แบบเรียลไทม์ ผู้บริหารสามารถดูข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าได้ทันที ตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น ช่วยประหยัดเวลาและงบประมาณ

5. ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า

เมื่อแบรนด์มีข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า การสื่อสารก็จะตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว (Customer Loyalty) ได้ดีกว่าแบรนด์ที่ไม่มีข้อมูล

ข้อมูลคือหัวใจของการตลาดยุค Digital Disruption

โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้ายังมีข้อดีอีกเพียบ หากคุณต้องการทำการตลาดในยุค Digital Distruption นี้ ไม่สามารถขาด “ข้อมูล” ไปไม่ได้เลย และก็ต้องขอย้ำอีกรอบว่า หากธุรกิจของคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่จะช่วยเก็บและจัดการข้อมูลที่ครบครัน โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า โดยเฉพาะจาก Connect X ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่เหมาะสมและคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างมาก

เลือกโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าที่เหมาะกับธุรกิจของคุณวันนี้ แล้วเตรียมพร้อมสู่ความสำเร็จทางการตลาดในอนาคต!

ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

*รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

    Yearly Budget

    How do you know us?

    ธุรกิจออนไลน์ต้องรู้! โทษ PDPA และ 5 วิธีรับมือก่อนโดนปรับ

    โทษ-PDPA

    ธุรกิจออนไลน์ต้องรู้! โทษ PDPA และ 5 วิธีรับมือก่อนโดนปรับ

    หลายคนคงเคยเห็นว่าเวลาเข้าเว็บไซต์มักมีป๊อปอัปให้ “ยินยอม” หรือ “ปฏิเสธ” การเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ หรือ Cookies Consent ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA กฎหมายที่เน้นการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานออนไลน์

    ในยุคดิจิทัล “ข้อมูล” คือหัวใจของการตลาด ไม่ว่าจะนำไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือพัฒนาแคมเปญต่าง ๆ การเก็บข้อมูลเหล่านี้ต้อง “ได้รับความยินยอม” อย่างชัดเจน เพราะหากละเมิด อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย PDPA ซึ่งมี โทษทั้งจำและปรับ

    Connect X ขอสรุปสาระสำคัญเพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฟ้องร้องในอนาคต

    PDPA คืออะไร?

    PDPA หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act) คือกฎหมายที่ออกมาเพื่อปกป้องสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยกำหนดให้ทุกองค์กรที่มีการเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ต้องได้รับ “ความยินยอมโดยชัดแจ้ง” จากเจ้าของข้อมูลก่อนเสมอ

    ข้อมูลส่วนบุคคลในที่นี้ครอบคลุมตั้งแต่ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ที่อยู่ IP Address พิกัด GPS ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ หรือแม้แต่ประวัติการซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนบุคคลได้โดยตรงหรือโดยอ้อม

    PDPA ครอบคลุมทั้งองค์กรภายในประเทศไทยและองค์กรต่างประเทศที่ให้บริการกับคนไทย ไม่ว่าจะดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย หรือเอกสารกระดาษ

    เป้าหมายของ PDPA คือการกำหนด “กรอบการใช้ข้อมูล” ให้โปร่งใส เป็นธรรม และควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เช่น การส่งต่อข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการใช้ข้อมูลในทางการตลาดโดยเจ้าของข้อมูลไม่รู้ตัว

    องค์กรใดที่ไม่ปฏิบัติตาม PDPA จะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่ชัดเจนทั้งในทางแพ่ง อาญา และทางปกครอง รวมถึงเสี่ยงต่อความเสียหายด้านชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือทางธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ

    โทษ PDPA หากไม่ปฏิบัติตาม

    การละเมิด พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำผิดทางเทคนิค แต่ส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ และอาจสร้างความเสียหายทั้งในเชิงกฎหมายและภาพลักษณ์องค์กรอย่างรุนแรง

    หากองค์กรใดเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจน ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย โดยไม่ว่าจะเป็น ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) หรือ ผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Processor) ก็มีโทษทางกฎหมายที่ครอบคลุมทั้ง แพ่ง, อาญา และ ทางปกครอง ดังนี้:

    • โทษทางแพ่ง
      เจ้าของข้อมูลสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และอาจมีการเรียกค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) ได้ในกรณีที่องค์กรกระทำโดยเจตนา หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

    • โทษทางอาญา
      กรณีที่มีการนำข้อมูลไปใช้โดยมิชอบ เช่น ขายต่อ ส่งต่อ หรือใช้ในทางที่เจ้าของข้อมูลไม่เคยยินยอม อาจมีโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี และ/หรือ ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับเจตนาและผลกระทบที่เกิดขึ้น

    • โทษทางปกครอง
      หน่วยงานกำกับดูแลสามารถสั่ง ปรับทางปกครองได้สูงสุด 5 ล้านบาทต่อกรณี โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งศาล

    นอกจากโทษในเชิงกฎหมายแล้ว องค์กรยังเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยชื่อ (Name & Shame) หรือขึ้นบัญชีดำโดยหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ

    ดังนั้น การเตรียมตัวให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น ทั้งด้านนโยบาย กระบวนการ และเครื่องมือที่ใช้ จึงเป็นทางรอดของธุรกิจในยุคที่ “ข้อมูล” คือสินทรัพย์ และ “ความยินยอม” คือเงื่อนไขในการใช้ข้อมูลนั้นอย่างถูกกฎหมาย

    5 ข้อที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด ในการเตรียมตัวก่อน PDPA มีผลบังคับใช้

    1. สร้าง Awareness ด้าน Data Privacy ให้กับบุคลากรในองค์กร

    เพราะแทบทุกแผนกอาจมีความเกี่ยวข้องที่ทำให้ต้องใช้งาน เก็บรวบรวม และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า พนักงานบริษัท บริษัทคู่ค้า (Vendor) บริษัทที่ได้รับการว่าจ้าง (Outsource) ฯลฯ จึงจำเป็นจะต้องมีความตระหนักถึงความสำคัญของนโยบายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้น นอกจากนี้ควรศึกษาข้อมูลและปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA เพราะทุกคนมีความเสี่ยงต่อการที่ข้อมูลส่วนบุคคลที่องค์กรประมวลผลอาจถูกละเมิดร่วมกัน รวมถึงช่วยกันการดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้นลง

    2. วางนโยบายความเป็นส่วนตัว Privacy Policy

    นโยบายดังกล่าวควรครอบคลุมทั้งภายในองค์กร รวมถึงการสร้างเงื่อนไขสำหรับผู้ใช้บริการหรือลูกค้าของเรา ซึ่งองค์กรควรจัดหาเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ Data Protection Officer: DPO เพื่อช่วยให้คำแนะนำและตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กรให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA สามารถลดความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง

    ในส่วนของนโยบายความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ธุรกิจต้องระบุให้ชัดเจนว่าต้องการเก็บข้อมูลอะไร เพื่อใช้ประโยชน์อะไร มีการส่งต่อข้อมูลให้บริษัทภายนอกหรือไม่ และมีระยะเวลาในการเก็บนานเท่าใด รวมทั้งมีมาตรการในการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งทำส่วนการแจ้งเตือนหรือฟอร์มในการสอบถามความยินยอมให้ชัดเจน เช่น บนเว็บไซต์อาจจะเป็น “รูปแบบคุกกี้แบนเนอร์ (Cookie Consent Banner)” โดยระบุเงื่อนไข Cookies Privacy Policy ให้ผู้ใช้งานอ่านและกดยินยอมหรือปฏิเสธ ทำให้เหล่าธุรกิจไม่ต้องห่วงปัญหาที่จะตามมาในเรื่อง PDPA กับเว็บไซต์อีกเลย ส่วนในช่องทางอื่นๆ อย่างแอปพลิเคชันก็สามารถแจ้งเตือนภายในแอป (In-App Notification) เมื่อผู้ใช้งานทำการเปิดแอปพลิเคชันครั้งแรก หรือทำการสมัครสมาชิกได้เช่นกัน

    3. กำหนดมาตรการในการดูแลข้อมูลส่วนบุคคล

    เมื่อองค์กรได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการหรือลูกค้าแล้วนั้น จะต้องจัดการระบบให้มีความปลอดภัย เพราะหากมีการรั่วไหลอาจทำให้เกิดการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีได้ โดยอาจเริ่มจากการจัดทำ Access Control & Logging เพื่อตรวจสอบคนที่เข้าถึงข้อมูล และเพิ่ม IT Security เช่น Firewall หรือ Encryption เป็นต้น ควรเตรียมมาตรการในการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน เมื่อเกิดเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลโดยตั้งใจหรือมิได้ตั้งใจ ทางองค์กรจะต้องมีการรายงานผลและแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกกรณี

    4. สร้างระบบรองรับเมื่อมีการยกเลิกการยินยอมแบบอัตโนมัติ

    ในเงื่อนไขนโยบายความเป็นส่วนตัว จะต้องมีการระบุว่าเมื่อผู้ใช้งานหรือลูกค้ากดยินยอมให้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลแล้ว ลูกค้าสามารถทำการยกเลิกการยินยอมก่อนระยะเวลาที่ธุรกิจกำหนดได้ ซึ่งหมายถึงว่าเจ้าของข้อมูลสามารถทำการยกเลิกได้ตลอดเวลา การมีระบบรองรับสำหรับการยกเลิกการยินยอมแบบอัตโนมัติจะช่วยให้สร้างความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการหรือลูกค้าได้มากกว่า เพราะสามารถดำเนินการได้ทันที จึงช่วยลดโอกาสในการฟ้องร้องดำเนินคดีจากความล่าช้าในการดำเนินการได้อีกด้วย

    5. เตรียมเครื่องมือให้พร้อม

    ให้ Connect X เป็นตัวช่วยให้กับธุรกิจของคุณ เราคือแพลตฟอร์ม CDP (Customer Data Platform) สามารถช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน มาพร้อมกับระบบ Marketing Automation ที่ช่วยทำการตลาดแบบอัตโนมัติ โดยเป็นแพลตฟอร์มหรือระบบที่รองรับกฎหมาย PDPA เป็นระบบที่ได้รับมาตรฐานการเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย มีมาตรฐาน ISO27001 ทำให้เหล่าธุรกิจคลายกังวลได้เพราะข้อมูลของลูกค้าจะปลอดภัยและมีขั้นตอนการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA อย่างแน่นอน

    จากที่ Connect X ได้แนะนำ 5 ข้อที่ธุรกิจควรเตรียมตัวก่อนที่กฎหมาย PDPA บังคับใช้กันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมีความสำคัญที่เหล่าธุรกิจจะต้องคำนึงถึงโดยมีมาตรการสร้างทั้งความเข้าใจและความพร้อมของบุคลากรกับระบบที่ใช้งานให้พร้อมก่อน 1 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA แล้วมีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือใช้ผิดวัตถุประสงค์ ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลหรือลูกค้าของเรา และส่งผลกระทบต่อองค์กรเป็นวงกว้าง

    หากองค์กรธุรกิจปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด โดยที่มีการชี้แจงเรื่องการใช้ข้อมูลอย่างโปร่งใส ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา ก็จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ พร้อมสร้างความสบายใจจนเกิดเป็นความไว้วางใจให้กับลูกค้าได้อย่างแน่นอน

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

      Yearly Budget

      How do you know us?

      Customers Journey จะลื่นไหลแค่ไหน ถ้ามี Marketing Automation?

      Customers-Journey

      Marketing Automation ช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพใน Customers Journey ได้อย่างไร

      วันนี้ทีมงาน Connect X จะพาทุกท่านมาทำความเข้าใจว่า Marketing Automation หรือระบบการตลาดแบบอัตโนมัติ ไม่เพียงแต่ช่วยให้ทีมการตลาดทำงานได้เร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังสามารถลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในทุกช่วงของ Customers Journey ได้อย่างเป็นรูปธรรม

      หลายท่านอาจสงสัยว่า ระบบอัตโนมัติในการทำการตลาดจะช่วยประหยัดได้จริงหรือ? คำตอบคือ “จริง” และเห็นผลได้อย่างชัดเจน โดยหลักการสำคัญของ Marketing Automation คือการใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการกระบวนการทำงานที่ต้องทำซ้ำ เช่น การส่งอีเมล การจัดการข้อมูลลูกค้า หรือการส่งแคมเปญโฆษณา เพื่อช่วยให้ธุรกิจสามารถบริหารเวลาและทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

      Marketing Automation คืออะไร?

      Marketing Automation คือการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการกิจกรรมทางการตลาดต่าง ๆ ให้ทำงานโดยอัตโนมัติ เพื่อลดภาระงานที่ต้องทำซ้ำ เพิ่มความแม่นยำในการสื่อสาร และช่วยให้ทีมการตลาดสามารถมุ่งเน้นไปที่การวางกลยุทธ์และการวิเคราะห์ผลลัพธ์ได้มากขึ้น

      ระบบการตลาดอัตโนมัติสามารถครอบคลุมการทำงานหลากหลาย ตั้งแต่การสื่อสารกับกลุ่มเป้าหมาย การตั้งแคมเปญ การส่งข้อความส่วนบุคคล การติดตามผลลัพธ์ในแต่ละ Touchpoint ตลอด Customer Journey ไปจนถึงการเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า ทั้งในรูปแบบออนไลน์ เช่น การส่งอีเมลอัตโนมัติ การแจ้งเตือนผ่านแอปพลิเคชัน การแสดงโฆษณาแบบเจาะจง ไปจนถึงออฟไลน์ เช่น การออกคูปอง ณ จุดขาย หรือการเชื่อมต่อข้อมูลกับ Call Center

      หนึ่งในจุดเด่นของ Marketing Automation คือความสามารถในการ “ปรับแต่ง” การสื่อสารให้ตรงกับพฤติกรรมและความสนใจของลูกค้าในแต่ละราย เช่น การส่งข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าที่เคยดูสินค้าหมวดหมู่หนึ่งบ่อยครั้ง หรือการส่งอีเมลติดตามแบบเจาะจงไปยังลูกค้าที่เคยละทิ้งตะกร้าสินค้า

      ระบบยังสามารถเชื่อมโยงกับ CRM และแพลตฟอร์มอื่น ๆ ได้อย่างยืดหยุ่น ช่วยให้ธุรกิจมีภาพรวมของลูกค้าอย่างครบถ้วนในทุกช่องทาง ซึ่งส่งผลต่อการออกแบบแคมเปญที่แม่นยำ สื่อสารตรงกลุ่ม และวัดผลได้แบบเรียลไทม์

      กล่าวได้ว่า Marketing Automation ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือสำหรับ “ทำงานแทนคน” แต่เป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจและตอบสนองลูกค้าได้ในเวลาที่เหมาะสม ด้วยข้อความที่เหมาะสม และผ่านช่องทางที่ลูกค้าต้องการ ช่วยเพิ่มโอกาสในการปิดการขาย รักษาความสัมพันธ์ และขับเคลื่อนผลลัพธ์ทางการตลาดอย่างเป็นระบบ

      Marketing Automation ช่วยอะไรได้บ้าง?

      การทำการตลาดในยุคดิจิทัลไม่ได้หยุดอยู่แค่การสื่อสารผ่านหลายช่องทาง แต่ต้องสามารถควบคุม จัดการ และส่งมอบประสบการณ์ที่ตรงจุดและทันเวลาให้กับลูกค้าในทุกช่วงของ Customers Journey และนี่คือ 3 สิ่งสำคัญที่ระบบ Marketing Automation เข้ามาช่วยได้อย่างชัดเจน:

      1. รวบรวมและจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ

      Marketing Automation ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการเก็บข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในระบบเดียว ไม่ว่าจะมาจากการลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ การกดคลิกโฆษณา หรือพฤติกรรมการใช้งานในแอปพลิเคชัน ข้อมูลเหล่านี้จะถูกบันทึกและเรียบเรียงอย่างเป็นระเบียบ ทำให้ทีมการตลาดสามารถเข้าใจภาพรวมของลูกค้าแต่ละรายได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของความสนใจ พฤติกรรมการซื้อ และช่องทางที่ใช้บ่อยที่สุด

      2. สื่อสารแบบอัตโนมัติและเฉพาะบุคคล

      หนึ่งในจุดเด่นของ Marketing Automation คือความสามารถในการส่งข้อความอัตโนมัติตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ล่วงหน้า เช่น การส่งอีเมลต้อนรับทันทีเมื่อลูกค้าสมัครใช้งาน หรือการแจ้งเตือนเมื่อมีสินค้าค้างในตะกร้า ที่สำคัญคือระบบสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมและข้อมูลที่เก็บไว้ เพื่อส่งข้อความที่ “ตรงใจ” และ “ตรงจังหวะ” กับลูกค้าแต่ละราย เพิ่มโอกาสในการมีส่วนร่วมและตัดสินใจซื้ออย่างมีประสิทธิภาพ

      3. วิเคราะห์ผลลัพธ์และปรับกลยุทธ์แบบเรียลไทม์

      ระบบสามารถวิเคราะห์ผลตอบรับของแคมเปญในแต่ละขั้นตอน เช่น เปิดอีเมล คลิกลิงก์ หรือสั่งซื้อ และสรุปออกมาเป็นรายงานที่ใช้งานได้ทันที ทีมการตลาดสามารถนำข้อมูลเหล่านี้มาทำ A/B Testing ปรับข้อความ เลือกเวลาส่ง หรือจัดลำดับกลุ่มเป้าหมายใหม่ เพื่อให้แคมเปญครั้งต่อไปมีความแม่นยำยิ่งขึ้น และเชื่อมโยงกับ Customer Journey ได้ลื่นไหลกว่าเดิม

      เมื่อรวมทั้งสามประเด็นเข้าด้วยกัน จะเห็นได้ว่า Marketing Automation ไม่เพียงช่วยประหยัดเวลาและลดต้นทุน แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่มีคุณภาพในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การสร้างการรับรู้ไปจนถึงการรักษาความสัมพันธ์ในระยะยาว

      ทำไม Marketing Automation จึงเป็นหัวใจของ Customers Journey ที่มีประสิทธิภาพ

      ในยุคที่ลูกค้ามีอำนาจในการเลือกสูงขึ้น และคาดหวังประสบการณ์ที่ราบรื่นจากทุกช่องทาง แบรนด์ที่สามารถเข้าใจและตอบสนองได้อย่างแม่นยำในแต่ละช่วงของ Customer Journey จะมีความได้เปรียบอย่างมาก การสื่อสารที่ “ตรงคน ตรงเวลา และตรงช่องทาง” ไม่เพียงช่วยสร้างความสนใจในช่วงแรกของการรับรู้แบรนด์เท่านั้น แต่ยังช่วยเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าให้แน่นแฟ้นในระยะยาว

      Marketing Automation เข้ามาเติมเต็มบทบาทนี้อย่างเป็นระบบ โดยทำหน้าที่เป็นกลไกเบื้องหลังที่ประมวลผลข้อมูลลูกค้าจากหลากหลาย Touchpoint แล้วนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการออกแบบแคมเปญการตลาดที่ตอบโจทย์เฉพาะบุคคล เช่น การแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับพฤติกรรมการซื้อเดิม การส่งข้อความต้อนรับที่สื่อสารอย่างเป็นมิตร หรือแม้แต่การแจ้งเตือนเมื่อมีโปรโมชั่นที่ตรงความสนใจของลูกค้าในช่วงเวลาที่เหมาะสม

      การมีระบบที่ช่วยบริหารกระบวนการเหล่านี้แบบอัตโนมัติ ไม่เพียงช่วยลดภาระของทีมงาน แต่ยังช่วยลดความผิดพลาดจากการทำงานแบบแมนนวล ขณะเดียวกันก็ทำให้ทุกจุดสัมผัสของลูกค้ากับแบรนด์ “สื่อสารด้วยเสียงเดียวกัน” (consistent messaging) ไม่ว่าจะผ่านอีเมล แชท โซเชียลมีเดีย หรือแม้แต่หน้าร้านจริง

      นอกจากนี้ Marketing Automation ยังทำให้แบรนด์สามารถวัดผลและประเมินความสำเร็จในแต่ละขั้นของ Customer Journey ได้แบบเรียลไทม์ แบรนด์จึงสามารถปรับปรุงกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว เพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุน และตอบสนองต่อความคาดหวังของลูกค้าได้อย่างทันเหตุการณ์

      ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า Marketing Automation ไม่ใช่แค่เครื่องมือสำหรับ “การส่งข้อความอัตโนมัติ” แต่คือแกนกลางของการออกแบบประสบการณ์ลูกค้าในโลกที่ทุกการคลิก ทุกการเปิดอีเมล หรือทุกการสั่งซื้อ ล้วนมีความหมายต่อภาพรวมของธุรกิจ และเมื่อนำมาใช้ร่วมกับการวางแผน Customer Journey อย่างมีกลยุทธ์ ก็จะกลายเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

      ขับเคลื่อน Customers Journey ด้วยระบบจาก Connect X

      Marketing Automation ไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่คือเครื่องมือสำคัญที่ธุรกิจยุคใหม่ต้องมี หากต้องการบริหาร Customers Journey ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ครอบคลุม และยืดหยุ่น เมื่อระบบสามารถทำหน้าที่แทนในเรื่องที่ซ้ำซ้อน ส่งข้อความได้ตรงจุด และวิเคราะห์ผลได้แบบเรียลไทม์ ธุรกิจจะมีเวลาและทรัพยากรเหลือพอในการโฟกัสกับสิ่งที่สำคัญที่สุด คือ “ลูกค้า”

      ที่ Connect X เราเข้าใจดีว่าเส้นทางของลูกค้าไม่ใช่เรื่องง่าย การบริหารจัดการหลายช่องทางให้เชื่อมโยงกันอย่างไร้รอยต่อ จำเป็นต้องอาศัยทั้งเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพและทีมที่มีความเข้าใจในระบบอย่างแท้จริง เราจึงพัฒนาโซลูชันด้าน Marketing Automation ที่ผสานกับระบบ CRM, CDP และ Social Chats ได้อย่างลงตัว พร้อมให้ธุรกิจของคุณขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างมั่นใจ

      หากคุณกำลังมองหาวิธีบริหาร Customer Journey ที่ไม่ใช่แค่ “ตามทัน” แต่ “นำหน้า” คู่แข่ง Connect X พร้อมให้คำปรึกษาและเดินไปกับคุณในทุกจุดสัมผัสของลูกค้าอย่างแท้จริง

      ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

      *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

        Yearly Budget

        How do you know us?

        PDPA คืออะไร? เจาะลึกข้อจำกัดที่ธุรกิจต้องรู้ก่อนนำข้อมูลลูกค้าไปใช้งาน

        Connect X จะมาแนะนำว่า PDPA คืออะไร หรือ พรบ.คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลคืออะไร ครอบคลุมข้อมูลอะไรบ้าง ผู้ใช้บริการมีสิทธิในด้านใด และองค์กรธุรกิจต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

        ทุกวันนี้ “ข้อมูล (Data)” มีประโยชน์มากสำหรับการต่อยอดทางธุรกิจในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นด้านกลยุทธ์ กิจกรรมทางการตลาด หรือตัวช่วยในด้านระบบการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ (Customer Relationship Management: CRM) และการบริหารความเสี่ยง รวมทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้บริการให้ใช้งานได้สะดวก รวดเร็ว และเพิ่มโอกาสในการได้รับโปรโมชันดีๆ อีกด้วย

        ในเว็บไซต์และแพลตฟอร์มซื้อ-ขายต่างๆ ล้วนมีการเก็บข้อมูลของลูกค้าเอาไว้ ยิ่งสามารถเก็บได้ละเอียดและมีจำนวนมากเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นประโยชน์ให้ต่อยอดได้มากขึ้นเท่านั้น แต่การเก็บข้อมูลเหล่านี้ก็มีขอบเขตจำกัดอยู่ ว่าจะสามารถเก็บข้อมูลได้แค่ไหนและนำไปใช้อะไรได้บ้าง จะถูกกำหนดด้วยกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค วันนี้ Connect X จะพาไปเจาะลึกว่า พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA ว่าคืออะไร และมีข้อจำกัดอะไรที่องค์กรธุรกิจหรือร้านค้าควรทราบ

        PDPA คืออะไร?

        กฎหมาย PDPA (Personal Data Protection Act) หรือ พรบ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.​ 2562 คือ กฎหมายที่ช่วยคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของผู้บริโภค ให้สามารถจัดเก็บหรือนำไปใช้ประโยชน์ได้ตามความยินยอมเท่านั้น ไม่สามารถเก็บข้อมูลหรือนำไปใช้โดยไม่แจ้งให้ผู้บริโภคทราบ และ/หรือได้รับความยินยอมในฐานะเจ้าของข้อมูลก่อน ซึ่งมาพร้อมกับมาตรการเยียวยาหากผู้บริโภคถูกละเมิดสิทธิ์ไม่ว่าจะเกิดจากองค์กรภายในประเทศหรือต่างประเทศ หากองค์กรธุรกิจหรือร้านค้าไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA จะมีความผิดตามกฎหมาย โดยมีบทลงโทษทั้งในทางแพ่ง อาญา หรือโทษปรับทางปกครองสูงสุด 5 ล้านบาท จำคุกสูงสุด 1 ปี รวมถึงต้องจ่ายค่าสินไหมทดแทนอีกด้วย

        ข้อมูลอะไรบ้างที่ PDPA คุ้มครอง

        ข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป (Personal Data) ประกอบด้วย

        • ชื่อ-นามสกุล
        • หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน, เลขหนังสือเดินทาง, เลขใบอนุญาตขับขี่
        • หมายเลขโทรศัพท์, อีเมล, ที่อยู่
        • วันเดือนปีเกิด, อายุ, น้ำหนักส่วนสูง, สัญชาติ
        • รูปถ่าย, ประวัติการทำงาน และอายุ
        • ข้อมูลทางการศึกษา, ข้อมูลทางการเงิน, ข้อมูลทางการแพทย์
        • ทะเบียนรถยนต์, โฉนดที่ดิน, ทะเบียนบ้าน
        • ข้อมูลบนอื่นๆ บนอินเทอร์เน็ตที่สามารถระบุตัวตนได้ เช่น Username /Password, Cookies, IP address และ GPS Location

        ข้อมูลที่มีความอ่อนไหว (Sensitive Personal Data) ประกอบด้วย

        • เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์
        • ความคิดเห็นทางการเมือง
        • ความเชื่อในลัทธิ, ศาสนา หรือปรัชญา
        • พฤติกรรมทางเพศ
        • ประวัติอาชญากรรม
        • ข้อมูลด้านสุขภาพ ความพิการ เช่น โรคประจำตัว, การฉีดวัคซีน, ใบรับรองแพทย์
        • ข้อมูลสหภาพแรงงาน
        • ข้อมูลพันธุกรรม
        • ข้อมูลชีวภาพ เช่น ลายนิ้วมือ, แบบจำลองใบหน้า, ข้อมูลม่านตา

        ทั้งนี้ ข้อมูลบริษัทไม่ถือว่าเป็นข้อมูลที่ได้รับการคุ้มครองจาก PDPA เพราะไม่ถือว่าเป็นข้อมูลส่วนบุคคล และสำหรับข้อมูลที่มีความอ่อนไหว อาจส่งผลต่อเจ้าของข้อมูลในวงกว้าง ไม่ว่าจะเป็นในแง่ของสังคม, ความเป็นอยู่ และการทำงาน จึงมีการกำหนดโทษหนักกว่าการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป ซึ่งอาจนำไปสู่โทษทางอาญาได้อีกด้วย

        PDPA คุ้มครองสิทธิของผู้ใช้บริการด้านใดบ้าง?

        • สิทธิได้รับการแจ้งให้ทราบและขอเข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล – ผู้ให้บริการจะต้องบอกให้ทราบถึงวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลและการนำไปใช้ และต้องได้รับความยินยอมจากผู้ใช้บริการก่อนเสมอ
        • สิทธิในการขอรับและโอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล – ผู้ใช้บริการสามารถขอรับสำเนาข้อมูลจากผู้ให้บริการ และหากมีการโอนย้ายข้อมูลจากผู้ควบคุมรายแรกไปยังผู้ควบคุมรายอื่นได้ แต่จะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย สัญญา หรือละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น
        • สิทธิคัดค้านการเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล – ผู้ใช้บริการสามารถคัดค้านการเก็บรวบรวม, ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลได้ โดยสามารถร้องขอต่อผู้ควบคุมข้อมูลผ่านแบบฟอร์มที่ผู้ให้บริการจัดไว้ หรือติดต่อกับผู้ดูแลระบบเมื่อไหร่ก็ได้
        • สิทธิขอให้ลบหรือทำลายและระงับการใช้ข้อมูล – หากข้อมูลที่ถูกจัดเก็บหมดความจำเป็นในการใช้งานตามวัตถุประสงค์ หรือมีการนำไปเผยแพร่ต่อสาธารณะหรือถูกเข้าถึงได้ง่าย ผู้ใช้บริการมีสิทธิขอให้ผู้ควบคุมลบหรือทำลายข้อมูลส่วนบุคคล หรือทำให้ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นข้อมูลที่ไม่สามารถระบุตัวตนได้ โดยผู้ควบคุมข้อมูลต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายและการดำเนินการนั้น
        • สิทธิในการขอให้แก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล – ผู้ใช้บริการมีสิทธิในการขอแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคลให้มีความถูกต้อง เป็นปัจจุบัน และไม่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดได้ โดยการแก้ไขดังกล่าวจะต้องเป็นไปด้วยความสุจริต และไม่ขัดต่อหลักกฎหมาย ไม่ว่าจะแก้ไขผ่านหน้าข้อมูลสมาชิก หรือติดต่อกับผู้ควบคุมระบบ
        • สิทธิในการร้องเรียน – หากมีการละเมิดข้อมูลส่วนบุคคล มีการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นจากผู้ควบคุม, ผู้ประมวลผล, ลูกจ้าง และผู้รับจ้างของผู้ควบคุม ผู้ใช้บริการสามารถร้องเรียนได้ และมีสิทธิในการเรียกค่าสินไหมทดแทนทางศาลได้

        องค์กรธุรกิจและร้านค้าจะต้องทำอย่างไรเมื่อ PDPA ถูกบังคับใช้

        • เตรียมเอกสารเพื่อบันทึกกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล (Record of Processing หรือ ROP) เป็นเอกสารที่ใช้บันทึกรายละเอียดการจัดเก็บข้อมูล โดยระบุว่ามีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร และมีใครเกี่ยวข้องบ้าง
        • เตรียมแบบฟอร์มเพื่อให้ผู้ใช้บริการขอใช้สิทธิบนเว็บไซต์ เพื่อให้สามารถขอสิทธิการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวได้ในทุกช่องทาง และต้องมีการดำเนินการตามคำร้องภายใน 30 วัน
        • แจ้งให้ผู้ใช้บริการทราบเกี่ยวกับนโยบายความเป็นส่วนตัวหรือ Privacy Policy และแจ้งวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ให้เข้าใจได้ง่าย มีเงื่อนไขอะไรบ้าง รวมถึงระยะเวลาในการจัดเก็บข้อมูล และต้องขอรับการยินยอมก่อนทุกครั้ง โดยที่จะต้องไม่เก็บข้อมูลมากกว่าความจำเป็นในการใช้ต่อธุรกิจ
        • การขอคำยินยอมในการใช้ Cookie ธุรกิจ หรือแต่ละเว็บไซต์จะต้องมีการแจ้งเตือนผ่านแบนเนอร์ (Cookie Consent Banner) เพื่อขอความยินยอมจากผู้ใช้บริการในการจัดเก็บข้อมูลของผู้ใช้งานออนไลน์ รวมถึงประเภทข้อมูลที่ถูกจัดเก็บ
        • การเก็บข้อมูลจะต้องจัดเก็บอย่างเหมาะสมและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อมูลที่มีความอ่อนไหวจะต้องเก็บรักษาให้รัดกุมที่สุด และจัดตั้ง DPO (Data Protection Officer) หรือเจ้าหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของข้อมูลภายในและภายนอกองค์กร
        • การแจ้งเตือนผู้ใช้บริการหากข้อมูลเกิดการรั่วไหล จะต้องมีการแจ้งต่อผู้ใช้บริการ และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะมีการประเมินความเสียหาย และวิธีการเยียวยาเจ้าของข้อมูล

        จากที่ Connect X ได้แนะนำไปแล้วว่า PDPA คืออะไร และครอบคลุมข้อมูลอะไรบ้าง รวมทั้งเรื่องที่องค์กรธุรกิจควรต้องรู้ ซึ่งกฎหมาย PDPA เกี่ยวกับธุรกิจจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มิ.ย. 65 นี้ องค์กรธุรกิจควรเตรียมตัวรับมือ ปรับตัว และสร้างความเข้าใจให้กับคนในองค์กรให้ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า รวมทั้งประเมินความเสี่ยงต่อการใช้ข้อมูลดังกล่าว และวางระบบที่สามารถรองรับให้สามารถบริหารจัดการข้อมูลได้ง่ายและปลอดภัยให้เร็วที่สุด ซึ่งแพลตฟอร์ม CDP ของ Connect X เป็นแพลตฟอร์มที่มีเครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูลลูกค้าเอาไว้ในที่เดียวกันและมี Marketing Automation คอยช่วยเรื่องการตลาดแบบอัตโนมัติด้วย ทั้งยังมีการรองรับ PDPA ผู้ประกอบการจึงไม่ต้องกังวลว่าพบปัญหาระหว่างการทำธุรกิจ และไม่ผ่านเกณฑ์ของ PDPA

        สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

        เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

        Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

          Yearly Budget

          How do you know us?

          5 วิธีเลือกระบบ Customer Relationship Management CRM ให้ปังที่สุด

          CRM-Customer-Relationship- Management

          เจ้าของแบรนด์มือใหม่ที่อยากยกระดับการให้บริการจะเลือกระบบ Customer Relationship Management CRM ให้เหมาะสมได้อย่างไร? Connect X จะมาบอกให้รู้เอง!

          การให้บริการและการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า เป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่สุดของธุรกิจยุคนี้เพื่อให้ “อยู่รอด” เพราะผู้บริโภคในปัจจุบันล้วนต้องการการบริการที่ดีและตอบโจทย์ความต้องการได้ทั้งนั้น หากแบรนด์ไหนที่ไม่สามารถให้บริการได้ดีเท่าที่ลูกค้าคาดหวัง ก็อาจจะต้องยุติธุรกิจลงเลยก็เป็นได้

          ในการบริหารความสัมพันธ์และให้บริการลูกค้านั้น แบรนด์จำเป็นต้องมีการ “จัดเก็บ” ข้อมูลและการ “จัดการ” ที่เหมาะสม ระบบ Customer Relationship Management (CRM) และกระบวนการ CRM จึงเป็นส่วนสำคัญที่จะเข้ามาเป็นตัวช่วยในการบริหาร จัดการข้อมูลลูกค้า และยกระดับการบริการลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่คำถามสำคัญคือเลือกระบบ CRM อย่างไร? ในบทความนี้ Connect X จะมาบอก 5 วิธีเลือกระบบ CRM ให้เจ้าของธุรกิจมือใหม่ได้ทราบกัน

          5 วิธีเลือกระบบ Customer Relationship Management

          หนึ่งในปัญหาหลักๆ ของแบรนด์เมื่อนำระบบ CRM เข้ามาใช้ในธุรกิจคือ พบว่าระบบไม่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ดีที่เท่าที่คิด ทั้งๆ ที่ลงทุนไปแล้วแต่กลับไม่ได้รับผลตอบแทนกลับมา เชื่อว่าเจ้าของธุรกิจทุกคนคงไม่ต้องการให้เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นการคัดเลือกระบบ Customer Relationship Management จึงเป็นขั้นตอนที่มองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาด

          1. เริ่มจากคำถามพื้นฐานเกี่ยวกับธุรกิจของคุณ

          ก่อนจะเลือกระบบ CRM คุณควรเริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์ตัวเองว่า “เราเป็นใคร” และ “เราต้องการอะไร” เพราะแต่ละธุรกิจมีบริบทที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ระบบ CRM ที่เหมาะกับร้านอาหารอาจไม่ตอบโจทย์ธุรกิจขายของออนไลน์ หรือบริการ B2B ขนาดใหญ่ก็อาจต้องการฟีเจอร์ที่ซับซ้อนกว่าร้านค้า B2C ขนาดเล็ก ดังนั้นคำถามที่ควรถามตัวเองก่อนมีดังนี้:

          • ธุรกิจของเราเป็น B2B หรือ B2C?
          • ทีมขายของเราทำงานผ่านช่องทางไหนบ้าง เช่น LINE OA, โทรศัพท์, อีเมล หรือหน้าร้าน?
          • มีทีมขายกี่คน และมีความสามารถด้านเทคโนโลยีแค่ไหน?
          • ข้อมูลลูกค้าแบบใดที่เราจำเป็นต้องเก็บ เช่น ประวัติการซื้อ ความสนใจ หรือพฤติกรรมการใช้งาน?
          • กระบวนการขายของเรามีกี่ขั้นตอน และใครเป็นผู้เกี่ยวข้องบ้าง?

          คำตอบเหล่านี้จะช่วยให้คุณเข้าใจว่าระบบ CRM แบบไหนควรเลือก เช่น หากทีมงานยังไม่เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี อาจต้องเลือกแพลตฟอร์มที่ใช้งานง่าย และมีการเทรนนิ่งชัดเจนอย่าง Connect X CRM

          2. ลิสต์ความต้องการจากระบบ Customer Relationship Management CRM

          หลังจากเข้าใจธุรกิจของตัวเองแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการเขียนรายการความต้องการจากระบบ CRM ให้ชัดเจนที่สุด เพราะ CRM ในตลาดมีมากมายหลากหลายเจ้า บางระบบเด่นด้านการเก็บข้อมูล บางระบบเด่นด้านการวิเคราะห์ หรือบางระบบออกแบบมาเพื่อการตลาดโดยเฉพาะ การมีลิสต์ที่ชัดเจนจะช่วยให้คุณกรองตัวเลือกได้ง่ายขึ้น เช่น

          • ต้องการให้เชื่อมกับ Facebook, LINE OA, Shopee หรือระบบ POS ได้หรือไม่?
          • ระบบต้องมีแดชบอร์ดแบบ Real-Time หรือไม่?
          • ต้องการระบบ Marketing Automation ที่ส่งอีเมลหรือข้อความอัตโนมัติตามพฤติกรรมลูกค้าหรือเปล่า?
          • อยากให้มีระบบ AI ช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้าไหม?
          • ระบบต้องรองรับทีมงานหลายคนพร้อมกันหรือเปล่า?

          สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้คุณไม่ตกหลุมพรางของ CRM ที่มีฟีเจอร์มากเกินไปแต่ไม่จำเป็นต่อธุรกิจ และยังช่วยลดต้นทุนในระยะยาวได้ด้วย

          3. ใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน

          ความง่ายในการใช้งานเป็นหัวใจของระบบ CRM ที่ดี เพราะต่อให้ระบบจะมีความสามารถมากมายขนาดไหน ถ้าใช้งานจริงแล้วพนักงานสับสน ใช้ไม่เป็น หรือเสียเวลาในการอบรมมากเกินไป ก็จะกลายเป็นภาระมากกว่าประโยชน์ ควรพิจารณาดังนี้:

          • ระบบมีอินเทอร์เฟซเป็นมิตรต่อผู้ใช้ (User Friendly) หรือไม่?
          • มีภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษที่ทีมงานเข้าใจได้ง่ายไหม?
          • รองรับการใช้งานผ่านมือถือหรือแท็บเล็ตหรือไม่?
          • สามารถทำงานร่วมกับแพลตฟอร์มอื่นได้ไหม เช่น เชื่อมกับอีเมลอัตโนมัติ หรือ LINE OA แบบไม่ต้องเปลี่ยนแพลตฟอร์มไปมา?

          Connect X CRM ถูกออกแบบมาให้คนไทยใช้งานได้ง่าย มีการแสดงข้อมูลที่เข้าใจได้ทันที ลดเวลาในการเทรนนิ่ง และช่วยให้ทีมงานโฟกัสกับการดูแลลูกค้าได้อย่างเต็มที่

          4. ทดลองใช้หรือขอ DEMO จากผู้ให้บริการ

          อีกหนึ่งข้อที่ห้ามมองข้ามคือ “การทดลองใช้ระบบจริง” หรืออย่างน้อยก็ขอให้ผู้ให้บริการจัด Demo ให้ก่อนตัดสินใจซื้อ เพื่อให้คุณเห็นภาพรวมของระบบก่อน ว่าฟีเจอร์ต่างๆ ทำงานอย่างไร และตรงกับความต้องการของทีมงานหรือไม่ บางระบบเปิดให้ทดลองใช้ฟรี 14 วัน หรือ 30 วัน ก็ถือเป็นโอกาสดีที่จะให้ทีมทดลองใช้งานก่อนตัดสินใจจริง

          หากเป็นระบบที่ไม่ได้เปิดให้ทดลองใช้งานทันที คุณสามารถติดต่อทีมขายเพื่อขอ Demo หรือจัดประชุมอธิบายการใช้งาน ซึ่ง Connect X มีทีมผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมนำเสนอและแนะนำระบบแบบเจาะลึกให้เข้าใจง่ายที่สุด

          5. การบริการหลังการขายก็สำคัญไม่แพ้ระบบ

          ถึงแม้ว่าระบบจะดีเพียงใด แต่ถ้าคุณไม่มีทีมสนับสนุนที่ไว้ใจได้ การใช้งานในระยะยาวก็อาจติดขัดได้ตลอดเวลา ผู้ให้บริการที่ดีควรมีศูนย์ช่วยเหลือลูกค้า (Customer Support) ที่เข้าถึงได้ง่าย มีช่องทางติดต่อหลากหลาย เช่น โทรศัพท์ อีเมล หรือแชตไลฟ์ และมีเจ้าหน้าที่ที่พูดภาษาเดียวกับคุณ พร้อมแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที

          นอกจากนี้ ควรตรวจสอบว่า มีการจัดเทรนนิ่งเบื้องต้นให้หรือไม่? มีคู่มือหรือวิดีโอการใช้งานหรือเปล่า? และมีทีม Customer Success ที่ติดตามการใช้งานหลังจากติดตั้งหรือไม่? Connect X CRM มีทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลลูกค้าตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่าไม่ว่าจะเกิดปัญหาเมื่อไร ก็จะมีคนช่วยเหลืออยู่เสมอ

          Connect X ขอแนะนำว่า หลังจากตัดสินใจเลือกระบบได้แล้ว ควรวางแผนวันติดตั้งอย่างชัดเจน โดยเริ่มจากการกำหนดช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนผ่านระบบ เพื่อไม่ให้กระทบต่อการดำเนินงานประจำวันของทีมขายหรือทีมบริการลูกค้า จากนั้นควรเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้พร้อมล่วงหน้า เช่น รายชื่อลูกค้า รายการสินค้า หรือข้อมูลการติดต่อสำคัญ เพื่อนำเข้าสู่ระบบใหม่ได้อย่างแม่นยำและเป็นระบบระเบียบ

          นอกจากนี้ อย่าลืมจัดการอบรมหรือเวิร์กชอปให้กับทีมงาน เพื่อให้ทุกคนเข้าใจวิธีใช้งานระบบ ตั้งแต่การบันทึกข้อมูลลูกค้า การติดตามสถานะการขาย ไปจนถึงการใช้ฟีเจอร์การวิเคราะห์หรือระบบอัตโนมัติต่างๆ อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะการเตรียมความพร้อมของทีม คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้การใช้งาน CRM เป็นไปอย่างราบรื่น ไม่สะดุด และยังส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพการขายและการดูแลลูกค้าในระยะยาว

          ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

          *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

            Yearly Budget

            How do you know us?

            Customer Relationship Management (ระบบ CRM) สำคัญอย่างไร ทำไมทุกธุรกิจต้องมี?

            Customer-Relationship-Management

            ปัจจัยที่ทำให้องค์กรธุรกิจทั้งหลายประสบความสำเร็จได้ ไม่เป็นเพียงแค่การเพิ่มช่องทางการขายและการบริการที่ดีเท่านั้น แต่การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับองค์กรธุรกิจหรือ Customer Relationship Management (CRM) คือ “กุญแจ” สำคัญในยุคปัจจุบัน

            Customer Relationship Management (ระบบ CRM) สำคัญอย่างไร ทำไมทุกธุรกิจต้องมี?

            ปัจจัยที่ทำให้องค์กรธุรกิจทั้งหลายประสบความสำเร็จได้ ไม่เป็นเพียงแค่การเพิ่มช่องทางการขายและการบริการที่ดีเท่านั้น แต่การบริหารความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับองค์กรธุรกิจหรือ CRM คือ “กุญแจ” สำคัญในยุคปัจจุบัน

            เนื่องจากการซื้อขายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ทำให้ผู้ซื้อมีตัวเลือกมาก สามารถค้นหาสินค้าหรือบริการที่คล้ายกันพร้อมเปรียบเทียบราคาและคุณสมบัติต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย จึงต้องมีสิ่งที่องค์กรธุรกิจใช้มัดใจลูกค้าให้กลับมาซื้อซ้ำๆ และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ (Brand Loyalty) ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดที่ปรับตัวให้ทันโลกตลอดเวลา

            วันนี้ Connect X จะพามาแนะนำให้รู้จัก CRM ว่าคืออะไร มีความสำคัญอย่างไรต่อธุรกิจ พร้อมพามาดูตัวอย่างแบรนด์ดังที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ระบบ CRM เข้ามาบริหารจัดการองค์กรและการให้บริการลูกค้า

            Customer Relationship Management หรือ ระบบ CRM คืออะไร

            CRM คือ ระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า ให้ธุรกิจหรือองค์กรสามารถสร้างและรักษาความสัมพันธ์ของลูกค้าเอาไว้ให้ได้นานที่สุด พร้อมสร้างโอกาสจากบุคคลที่มีศักยภาพในการเป็นลูกค้า (Potential Customer) โดยมุ่งเน้นไปในการสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าและการปฏิสัมพันธ์แบบเฉพาะตัวอย่างมีคุณค่า รวมถึงการนำเสนอสินค้าอย่างถูกที่ถูกเวลาอีกด้วย ซึ่งกระบวนการดังกล่าวจะต้องอาศัยการเก็บข้อมูลของผู้บริโภคมาวิเคราะห์ เพื่อหากลยุทธ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด

            Tips: บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับระบบ CRM (Customer Relationship Management)

            ระบบ CRM สำคัญกับธุรกิจอย่างไร

            • ช่วยปรับปรุงการบริการ ตั้งแต่ช่วงต้นน้ำ-ปลายน้ำ กล่าวคือตั้งแต่เริ่มขายไปจนถึงการบริการหลังการขาย เช่น แบรนด์สามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับสินค้าได้ตรงความต้องการของลูกค้าตามข้อมูลที่ได้มา ทำให้ปิดการขายได้รวดเร็ว สามารถให้บริการหลังการขายได้อย่างตรงจุด และสามารถส่งโปรโมชันใหม่ๆ กับลูกค้าได้ผ่านระบบสมาชิก
            • เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้า เพราะสามารถนำข้อมูลประวัติการซื้อหรือความสนใจของบุคคลที่มีศักยภาพที่จะเป็นลูกค้าได้ มาวางแผนกลยุทธ์และทำการตลาด เพื่อโน้มน้าวให้ตัดสินใจซื้อสินค้า เช่น ส่งคำแนะนำสินค้าและโปรโมชัน ระบบการแจ้งเตือนผ่านแพลตฟอร์มให้ลองทบทวนการซื้ออีกครั้ง เป็นต้น
            • มัดใจลูกค้าขาจรเป็นขาประจำ เนื่องจากระบบ CRM จะช่วยติดตามและเก็บข้อมูลของลูกค้าแต่ละคนไว้ ซึ่งสามารถนำข้อมูลมาต่อยอดให้เกิดการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) เพื่อสร้างคุณค่าและสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าได้ พร้อมกับช่วยให้พนักงานสามารถตอบคำถามหรือแนะนำการบริการได้อย่างรวดเร็วและตรงจุด ผ่านการรวบรวมช่องทางการบริการเข้าไว้ด้วยกันในรูปแบบ Omni Channel ไม่ว่าจะให้บริการที่หน้าร้านหรือบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ก็สามารถเชื่อมกันได้อย่างไร้รอยต่อ จนทำให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ และอยากกลับมาซื้อซ้ำ
            • มีความน่าเชื่อถือ เมื่อลูกค้าเกิดความประทับใจในการให้บริการทุกมิติแล้ว ก็สามารถแนะนำคนอื่นต่อๆ ไปได้ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางปากต่อปาก (Word of Mouth) และการรีวิวในแพลตฟอร์มต่างๆ ซึ่งจะทำให้แบรนด์มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น มีชื่อเสียงด้านบวกเพิ่มมากกว่าเดิม
            • บริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบและรวดเร็ว สำหรับองค์กรธุรกิจที่เลือกใช้ระบบ CRM จะทำให้มีการรวมข้อมูลไว้อย่างเป็นระเบียบ และมีช่องทางการให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเรื่องการบริหารจัดการ สามารถประเมินและวัดผลต่างๆ ได้ชัดเจน
            • สร้างแคมเปญการตลาดได้ตามเป้าหมาย เพราะระบบ CRM จะช่วยให้เห็นข้อมูลเชิงลึกและยังช่วยวิเคราะห์แนวโน้มในอนาคต ทั้งกำไร ปัญหาระยะสั้น ระยะยาว และกำหนดขอบเขตของกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจนขึ้น เพื่อเป็นแนวทางในการวางกลยุทธ์ในอนาคต
            • ลดค่าใช้จ่าย การใช้ระบบ CRM จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทุ่มงบประชาสัมพันธ์สำหรับลูกค้าใหม่ ลดกิจกรรมทางการตลาดที่ได้ผลลัพธ์ไม่คุ้มค่า และสามารถนำต้นทุนส่วนนี้มาใช้ในการรักษาฐานลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น
            Tips: บทความเพิ่มเติมเกี่ยวกับธุรกิจ และระบบ CRM
            [/col]

            3 แบรนด์ดังที่ประสบความสำเร็จจากการใช้ Customer Relationship Management

            • Apple

            ผู้ครองตลาดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลก ไม่ว่าคุณจะใช้อุปกรณ์ใดของ Apple อย่าง iPhone, iPad, MacBook จะมีการเข้าระบบด้วย Apple ID เพื่อใช้งานบริการของ Apple และเชื่อมทุกอุปกรณ์เข้าหากัน ซึ่ง Apple ได้ใช้ระบบ CRM ในการเก็บข้อมูล บันทึกการความสนใจต่างๆ ของผู้ใช้งาน พร้อมให้คำแนะนำตามความต้องการโดยอิงจากสิ่งที่ชอบ อีกทั้งยังเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับพฤติกรรมและความชอบของลูกค้า เพื่อต่อยอดกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีความแม่นยำ ตรงเป้าหมาย และตัดสินใจซื้อได้อย่างง่ายดาย

            • Amazon

            เว็บไซต์แพลตฟอร์ม E-Commerce เจ้าดังระดับโลก มีโครงสร้างพื้นฐาน CRM ที่สมบูรณ์แบบที่สุดแห่งหนึ่ง เพื่อแนะนำข้อเสนอพิเศษให้กับลูกค้าแบบรายบุคคล ไม่ว่าจะเป็นคำแนะนำและโปรโมชันต่างๆ ซึ่งสามารถปรับแต่งประสบการณ์ออนไลน์ของผู้ใช้ได้ทันที โดยใช้ข้อมูลจากบัญชี Amazon ที่สามารถติดตามประวัติการซื้อและการเข้าชม เพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมและความสนใจของลูกค้า นอกจากนี้ยังมีระบบการแจ้งเตือนสินค้าที่เลือกไว้ในตะกร้าแต่ยังไม่ได้ชำระเงิน และระบบที่ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าใหม่ได้ง่ายในการคลิกเพียงไม่กี่ครั้ง

            • Coca Cola

            บริษัทเครื่องดื่มอัดลมระดับโลกที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน บริษัท Coca-Cola ได้ใช้ CRM เพื่อส่งเสริมการบริหารจัดการภายใน ซึ่งทำให้ช่วยแก้ไขปัญหาของลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยสามารถระบุและบันทึกปัญหาหรือข้อร้องเรียนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะมาจากลูกค้าหรือซัพพลายเออร์ก็สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายและเป็นระบบ เพื่อส่งต่อให้ทีมช่างหรือทีมบริการหลังการขายเข้าไปแก้ไขได้แบบเรียลไทม์ นอกจากนี้สมาชิกของทีมสามารถเข้าถึงข้อมูลของลูกค้า ทั้งประวัติการซื้อ พฤติกรรม และความสนใจผ่านมือถือได้จากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งช่วยให้ได้รับข้อมูลมาวิเคราะห์เพื่อส่งเสริมข้อเสนอพิเศษและโปรโมชันได้อย่างเจาะจงและตรงกลุ่มเป้าหมาย

            Tips: ตัวอย่างธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและใช้ระบบ CRM

            หลังจาก Connect X ได้แนะนำมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่า Customers Relationship Management (CRM) หรือระบบบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า เป็นตัวช่วยทางธุรกิจที่มีความสำคัญในยุคปัจจุบันและอนาคตเป็นอย่างมาก เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภคในโลกออนไลน์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา หากธุรกิจไหนสามารถเก็บข้อมูลและสานสัมพันธ์กับลูกค้าไว้ได้พร้อมๆ กันแล้วไม่ว่าจะโลกจะหมุนไปไวแค่ไหน ธุรกิจของก็จะก้าวข้ามคู่แข่ง และไม่ตกเทรนด์โลกอย่างแน่นอน

            ส่วนใครที่กำลังมองหาแพลตฟอร์มที่มีระบบ CRM ในตัวที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพสูง Connect X คือแพลตฟอร์ม CDP ที่คุณกำลังมองหา เพราะมีการรองรับ PDPA และมีเครื่องมือเก็บข้อมูลลูกค้าที่มาพร้อมกับระบบ CRM ในตัว นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Marketing Automation กับ AI อัจฉริยะที่คอยช่วยเรื่องการตลาดแบบอัตโนมัติด้วย จึงมั่นใจได้ว่า Connect X มีเทคโนโลยีที่ทันสมัย และพร้อมที่จะช่วยให้แบรนด์ของคุณเติบโตอย่างก้าวกระโดด

            [/row]

            สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

            เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

            Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

            ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

            *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

              Yearly Budget

              How do you know us?

              First Party Data คืออะไร ?

              First-Party-Data

              ConnectX พาไปทำความรู้จักกับ First Party Data ว่าทำไมถึงมีสำคัญในยุคปัจจุบันและทุกๆองค์กรควรมีเป็นของตัวเอง

              First party data ก็คือ ข้อมูลที่คุณรวบรวมโดยตรงจากลูกค้า ผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ และผู้ใช้แอปพลิเคชั่นต่างๆ ตามการโต้ตอบจริงของพวกเขากับธุรกิจของคุณผ่านจุดติดต่อต่างๆมากมาย (Touchpoint) ทั้งในอดีตและแบบเรียลไทม์ โดยสรุปแล้วสิ่งนี้ คือข้อมูลที่คุณรวบรวมด้วยความยินยอมของผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์ (Consent)

              “76% ของผู้บริโภคมีความพึงพอใจที่จะมอบข้อมูล (Consent) ให้กับธุรกิจเพื่อแลกกับประสบการณ์ที่เหนือกว่าไปทำการ Personalize Marketing”

              ข้อมูลจาก First-party data ช่วยให้ธุรกิจต่างๆ สามารถสร้างเนื้อหาที่มีความเป็น Personalize ได้สูงเป็นพิเศษรวมถึงการโฆษณาและที่สำคัญที่สุดคือประสบการณ์ที่ตอบสนองต่อผู้ใช้แต่ละราย เนื่องจากเป็นแหล่งข้อมูลที่แม่นยำที่สุดซึ่งคุณสามารถรวบรวมข้อมูลเชิงลึกของลูกค้าได้ (เช่น สิ่งที่ลูกค้าสนใจ ปัญหาอะไรที่พวกเขากำลังเผชิญ ความต้องการและความชอบของพวกเขาคืออะไร) อย่างไรก็ตาม การรวบรวมข้อมูลและการดำเนินการที่ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจหรือตรงกับจริตของลูกค้าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคุณมีกลไกและการปรับแต่งในเว็บไซต์ของคุณที่ตรงกับลูกค้าในขณะนั้นเพื่อถามพวกเขาว่าพวกเขาต้องการอะไรและพึงพอใจกับสิ่งใด

              ในอดีต เราได้พูดคุยกันว่าประสบการณ์ของลูกค้าได้กลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดและรักษาลูกค้าไว้ได้อย่างไร และข้อมูลของบุคคลที่หนึ่ง  เป็นเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องมือสร้างประสบการณ์นั้น ในขณะที่ผู้บริโภคลังเลใจเกี่ยวกับการแบ่งปันข้อมูลในอดีต แต่ 76% ในปัจจุบันยินดีที่จะมอบข้อมูลนั้นให้กับธุรกิจเพื่อแลกกับประสบการณ์ ข้อเสนอ และผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่า นี่คือสิ่งที่ทุกฝ่ายได้รับประโยชน์ทั้งเจ้าของธุรกิจและตัวลูกค้า

              “ช่องทางการสื่อสารแบบเปิดระหว่างลูกค้ากับธุรกิจและผลิตภัณฑ์จะต้องทำภายในช่วงเวลาและตามเงื่อนไขที่ถูกต้องและเหมาะสมเพราะเป็นสิ่งจำเป็นในการรวบรวมและควบคุมข้อมูลบุคคลที่หนึ่ง แต่การที่จะสร้าง Value ให้กับผลิตภัณฑ์จะทำได้ก็ต่อเมื่อคุณเปิดใช้งานช่องทางการมีส่วนร่วมนั้นตลอด Journey ของลูกค้าทั้งหมด” – Anna Griffin ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของ Intercom

              ประสบการณ์การซื้อของลูกค้าในปัจจุบันไม่ใช่เป็นเส้นตรงแบบในอดีตอีกต่อไป ในปัจจุบันลูกค้าสามารถที่จะเจอประสบการณ์การซื้อได้จากหลากหลายช่องทางไม่ว่าจะเป็นทาง Website, Social หรือผ่านทาง E-commerce ยกตัวอย่างเช่น ลูกค้าอาจจะสอบถามข้อมูลผ่านทาง Social platform มีการคุยพูดคุยสอบถามรายละเอียดสินค้าแต่สุดท้ายแล้วลูกค้าซื้อของและชำระเงินผ่าน E-commece นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า CDP (Customer data platform) การผสานรวมข้อมูลจากแพลตฟอร์มต่างๆให้มาอยู่ในที่ที่เดียว ซึ่งหมายความว่าบริบทของลูกค้าจะถูกติดตาม ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใดในเส้นทางของลูกค้าหรือกำลังพูดคุยกับใคร แบรนด์พยายามทุกวิถีทางเพื่อนำเสนอประสบการณ์แบบ Omni-channel ที่ไร้รอยต่อ โดยผู้มีอำนาจตัดสินใจทางธุรกิจ (Senior) ประมาณครึ่งหนึ่งกล่าวว่าแบรนด์ของตนไม่มีความสามารถถ่ายทอดบริบท (Journey) ผ่านช่องทางต่างๆ นี่เป็นอุปสรรคสำคัญในการรักษาความสามารถในการแข่งขัน เนื่องจากประมาณ 85% ของผู้ตอบแบบสำรวจทางธุรกิจยังระบุด้วยว่าลูกค้าของพวกเขาต้องการให้บริบทของพวกเขาติดตามจากช่องทางหนึ่งไปอีกช่องทางหนึ่งเพื่อประสบการณ์แบรนด์ที่ราบรื่น ดังนั้น การนำแหล่งข้อมูลมารวมกันในที่ที่เดียวช่วยให้ทีมของคุณสามารถโต้ตอบกับลูกค้าในลักษณะที่ยังคงตอบสนองความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

              ปัญหาของข้อมูล Third-party ในยุคปัจจุบัน

              ข้อมูล Third-party คือ ข้อมูลที่ถูกรวบรวมมาจากข้อมูล aggregators เป็นข้อมูลที่ซื้อจากแหล่งภายนอกที่ไม่ใช่ผู้รวบรวมข้อมูลดั้งเดิมของข้อมูลนั้น แต่ซื้อจากผู้รวบรวมข้อมูลขนาดใหญ่ที่ดึงมาจากแพลตฟอร์มและเว็บไซต์อื่นๆ ที่สร้างขึ้น ผู้รวบรวมเหล่านี้จ่ายเงินให้ผู้เผยแพร่และเจ้าของข้อมูลอื่นๆ

              แต่ปัญหาของมันอยู่ที่ปัจจุบัน ข้อมูลที่ได้มามีเยอะเกินทำให้ไม่มีคุณภาพเท่าที่ควรจะเป็นบวกกับในประเทศไทยเรามีการบังคับใช้กฏหมาย PDPA ซึ่งทำให้ยากต่อการจัดเก็บข้อมูลยิ่งขึ้นไปอีก

              ก่อนจะจากกันไปขอทิ้งท้ายไว้ตรงนี้ว่าในปัจจุบันทุกๆธุรกิจควรที่จะเริ่มรีบเก็บข้อมูล First-party เป็นของตัวเองได้แล้ว ใครที่มีข้อมูลเยอะก็จะยิ่งได้เปรียบเยอะในการแข่งขันในโลกธุรกิจปัจจุบันเนื่องจากข้อมูลไม่สามารถที่จะตามเก็บย้อนหลังได้ ดังนั้นถ้าธุรกิจไหนยิ่งมีข้อมูลของลูกค้าเยอะก็จะได้เปรียบในการแข่งขันมากยิ่งขึ้น

              ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

              *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                Yearly Budget

                How do you know us?

                เจาะลึก! ความเป็นมาของ CRM Platform ที่ธุรกิจยุคใหม่ต้องมี

                Customer-Relationship-Management

                ระบบ CRM Platform ที่ธุรกิจทั่วโลกใช้งานอยู่ในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นมาได้อย่างไร? แล้วเป็นประโยชน์ต่อแบรนด์มากแค่ไหน? Connect X มีคำตอบ

                ปัจจุบันนี้กระบวนการตลาดสามารถดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว เข้าถึงง่าย และตรงกับความต้องการของผู้บริโภคได้มากขึ้น อันเนื่องจากข้อมูลดิจิทัลต่างๆ เช่น Cookies หรือ Big Data เป็นต้น รวมไปถึงเครื่องมือ Marketing Automation ต่างๆ ทั้งระบบ POS, ระบบ CDP, ระบบ CRM Platform ที่กลายเป็นองค์ประกอบสำคัญที่นักการตลาดขาดไม่ได้ในยุคนี้

                Connect X จึงขอมาเจาะลึกถึงความเป็นมาของระบบ CRM หนึ่งในเครื่องมือสุดสำคัญของการตลาดยุคดิจิทัล

                ยุคการตลาดก่อน CRM Platform

                หากจะพูดถึงระบบ CRM หรือ Customer Relationship Management ก็ต้องย้อนกลับไปในยุคแรกๆ ของการตลาดหรือก็คือในช่วง “Product Era” ในช่วงปี 1860s – 1920s ที่ธุรกิจต่างๆ เน้นการผลิตสินค้าจำนวนมากในต้นทุนต่ำและอาศัยการนำเสนอถึงคุณภาพและประสิทธิภาพของสินค้าเท่านั้น รวมถึงยังมีแนวคิดที่ว่า “หากผลิตได้ ก็ต้องมีคนซื้อ” ซึ่งอาจจะใช้ไม่ได้ผลนักในปัจจุบัน

                ต่อมาในช่วงปี 1920s-1940s เป็นยุคแห่ง “Sales Era” ที่ทุกคนจะโฟกัสไปที่การ “ขาย” ผ่านการทำโปรโมชันแบบหนักหน่วง ซึ่งทำให้สินค้าที่ไม่ค่อยได้ถูกเสาะหามากอย่าง เช่น ประกันชีวิตได้นำมาขาย หลายคนอาจคุ้นเคยกับเซลล์แมนที่จะไปขายของตามบ้านหรือที่เรียกว่า Hard Sell กันนั้นเอง

                เนื่องจากการ Hard Sell ไม่ได้เป็นแนวทางการตลาดที่ยั่งยืนมากนัก จึงได้เกิด “Marketing Era” ในช่วงปี 1950s – 1990s ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่ได้มีการโฆษณามากขึ้น มีการตลาดอย่างเป็นระบบมากขึ้น เช่น แนวคิด Marketing Mix อย่าง 4P (Product, Promotion, Price, Place) ก็ได้เกิดขึ้นมาในยุคนี้เช่นกัน โดยจะโฟกัสไปที่การผลิตสินค้าและบริการที่ตรงความต้องการของลูกค้ามากขึ้น

                จุดเริ่มต้นของระบบ CRM

                แนวคิด CRM ได้ถือกำเนิดขึ้นช่วงปี 1990s หรือ “Relationship Marketing Era”  ซึ่งการตลาดนั้นจะเน้นการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ระยะยาว ระหว่างแบรนด์และลูกค้า โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้าง Brand Loyalty ให้ลูกค้ากลับมาซื้อสินค้าหรือบริการอีกครั้งและไม่เปลี่ยนใจไปหาแบรนด์คู่แข่ง จึงส่งผลให้ Customer Relationship Management หรือการบริการความสัมพันธ์ลูกค้าเกิดขึ้นมานั่นเอง

                ตั้งแต่ตอนนั้นจนปัจจุบัน ด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีระบบ CRM จึงได้เกิดขึ้นมาเพื่อช่วยบริหารความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าหรือบุคคลที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นลูกค้า ให้ทำได้ง่ายและเป็นระเบียบมากกว่าเดิมนั่นเอง

                ประโยชน์ของระบบ CRM

                ระบบ CRM เป็นทางออกของปัญหาต่างๆ ทั้งในด้านการขายสินค้าและปัญหาที่ลูกค้ามักจะพบเจอบ่อยๆ เพราะสามารถช่วยจัดเก็บข้อมูลของลูกค้าจาก Point of Sales ได้อย่างเป็นระเบียบ ง่ายต่อการนำมาวิเคราะห์ ช่วยปรับปรุงการขายผ่าน Sales Funnel ได้ ติดตามการขาย จึงแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ในทันที

                นอกจากนี้ นักการตลาดยังสามารถนำข้อมูลที่ได้มาศึกษา ปรับเปลี่ยนกลวิธีการตลาด  ปรับปรุงแคมเปญและโปรโมชัน ช่วยให้แบรนด์เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในอนาคต ทั้งยังมีส่วนช่วยในการตัดสินใจได้ว่าจะลงทุนเท่าไหร่ต่อการรักษาฐานลูกค้าเดิม หรือสร้างฐานลูกค้าใหม่

                สิ่งที่ควรคำนึงในการทำ Customer Relationship Management

                ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบันนี้ระบบ CRM นั้นมีฟีเจอร์มากมายเข้ามาอำนวยความสะดวกให้กับธุรกิจ แต่ก็ยังคงมีปัญหาต่างๆ ที่อาจตามมาได้ ยกตัวอย่างเช่น

                • การจัดการข้อมูลมีความ “Silo” หรือแยกตามทีม ตามภาคส่วน และกระจัดกระจายไปตามแต่ละช่องทาง ส่งผลให้นักการตลาด เซลล์ขายของ และเจ้าของธุรกิจขาดความเข้าใจหรือเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Customer Journey
                • แบรนด์ต้องเชื่อมโยงข้อมูลที่ได้จาก CRM เข้าด้วยกัน ทั้ง Online และ Offline เพื่อให้เข้าใจ Touch Point ของลูกค้าอย่างแท้จริงหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นการมองแบบ Single View นั่นเอง

                ทั้งนี้เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงและลดโอกาสที่ปัญหาจะเกิดขึ้นระหว่าง Customer Journey ซึ่งจะทำให้ประสบการณ์การซื้อขายไม่เป็นไปอย่างที่คิด

                ข้อแนะนำในการพัฒนา CRM ให้มีประสิทธิภาพ

                การพัฒนา CRM ให้ดีขึ้นนั้นสามารถทำได้หลากหลายด้าน Connect X จึงขอมาแนะนำ 3 ปัจจัยสำคัญที่จะช่วยพัฒนา CRM ให้ดีกว่าเดิม

                1. ปรับปรุงทุก Touch Point มอบประสบการณ์ที่ดีตั้งแต่ต้นจนจบ

                ปัญหาการทำงานแบบ Silo ที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการวิเคราะห์​ Customer Journey และระบุ Touchpoint ที่สำคัญออกมา โดยเริ่มจากการใส่ข้อมูล ในแต่ละขั้นตอนที่ลูกค้ามี Interaction กับแบรนด์ เป็นการตอบคำถามดังต่อไปนี้

                • ลูกค้ากำลังคาดหวังอะไร?
                • ลูกค้าคิดอะไรอยู่หรือมีคำถามอะไรต่อสินค้า/บริการหรือไม่?
                • ลูกค้ารู้สึกอย่างไรในขณะนั้น?
                • ลูกค้ากำลังมีปฏิสัมพันธ์กับแบรนด์ผ่านช่องทางไหนบ้าง?

                2. รับฟัง Feedback จากลูกค้าและนำมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

                เสียงและคำตอบรับของลูกค้าถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากที่จะส่งผลต่อการพัฒนาของแบรนด์ในอนาคต ซึ่งแบรนด์สามารถนำ Feedback จากลูกค้ามาวิเคราะห์ สร้างประสบการณ์ที่ตรงใจกลุ่มเป้าหมายได้ ไม่ว่าจะเป็นคำตอบรับแบบ

                • Feedback ทางตรง – จาก Survey/Poll, คำติชม หรือวิจัยการตลาด
                • Feedback ทางอ้อม – คอมเมนต์บนโซเชียลมีเดีย, อีเมลที่ลูกค้าส่งถึงแบรนด์, การสนทนาจากทีม Call Center
                • Feedback แบบ Inferred – เว็บไซต์, หน้าร้านค้า หรือ Contact Center

                โดยแบรนด์ควรนำคำตอบรับทั้งหมดจากทุกช่องทางมาวิเคราะห์ร่วมกัน และทำการอัปเดตแบบเรียลไทม์ และมอบหมายให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องได้แก้ปัญหาอย่างรวดเร็วกว่าเดิม

                3. สร้างประสบการณ์แบบ Personalized ให้แต่ละบุคคล

                การมีระบบ CRM ที่ดี จะสามารถส่งมอบประสบการณ์ที่ดีให้เหมาะสมกับลูกค้ารายบุคคลได้ ขึ้นอยู่กับการเก็บข้อมูลที่มีคุณภาพ เพื่อนำมาวิเคราะห์และเข้าใจความต้องการของลูกค้าแต่ละคน ซึ่ง ระบบ CRM ในปัจจุบันก็มักจะทำงานควบคู่กับ CDP (Customer Data Platform) เพื่อการตลาดที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยที่ธุรกิจไม่จำเป็นต้อง Integrate หลายๆ ระบบเข้าด้วยกันให้ซับซ้อน

                อย่าง Connect X ที่เป็น CDP พร้อมด้วย Marketing Automation และระบบ CRM ครอบคลุมการตลาดออนไลน์ในทุกด้าน สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ Customer Insight ได้แบบ 360° เปลี่ยนจาก Unknown Customer เป็น Known Customer ได้ง่ายๆ มีระบบ Customer Journey แบบ Cross Channel หากส่งข้อความโปรโมชันหรือแคมเปญแล้วไม่มีการตอบรับ ระบบจะส่งผ่านไปยังช่องทางอื่นๆ ให้อัตโนมัติ สร้าง Brand Awareness, Conversion และรักษาความสัมพันธ์ระยะยาวได้ย่างแน่นอน

                บทความอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ระบบ CRM (Customer Relationship Management)

                ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                  Yearly Budget

                  How do you know us?

                  CRM (Customer Relationship Management) กับ CDP แตกต่างกันอย่างไร?

                  มาทราบถึงความแตกต่างของ CRM (Customer Relationship Management) และ CDP (Customer Data Platform)

                  การทำ Digital Marketing (การตลาดดิจิทัล) เป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้สำหรับธุรกิจหรือแบรนด์ต่างๆ ในยุคปัจจุบันที่ต้องการเข้าหาลูกค้าอย่างทั่วถึง ประสิทธิภาพของการทำ Marketing จะเพิ่มมากขึ้นหากสามารถนำ ‘ข้อมูล’ มาใช้ได้ครับ จึงเป็นสาเหตุให้นักการตลาดเริ่มหันมาใช้ระบบต่างๆ ในการบริหารความสัมพันธ์และจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ของลูกค้า

                  หลายคนอาจสับสนระหว่างระบบเหล่านี้ว่ามีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร และระบบทั้งสองจำเป็นจะต้องทำงานร่วมกันรึเปล่า ดังนั้นวันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับระบบ CRM (Customer Relationship Management) และ CDP (Customer Data Platform) กันครับ

                  CRM คืออะไร? 

                  CRM หรือ Customer Relationship Management สามารถเรียกเป็นภาษาไทยได้ว่า ‘การบริหารความสัมพันธ์ลูกค้า’ นิยามได้ว่าเป็นการบริหารความสัมพันธ์และปฏิสัมพันธ์ระหว่างแบรนด์กับลูกค้าหรือบุคคลที่มีศักยภาพที่จะกลายเป็นลูกค้านั่นเองครับ เพราะไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ไหนๆ ก็ต้องการลูกค้าเพิ่มมากขึ้นและ Customer Loyalty ที่มากขึ้น

                  ในปัจจุบันนี้ ด้วยเทคโนโลยีต่างๆ  ระบบ CRM (Customer Relationship Management) ก็คือโซลูชั่นที่เกิดมาเพื่อช่วยจัดการปัญหางานขายและปัญหาลูกค้าที่มักเกิดขึ้นบ่อยๆ ในธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างเป็นระบบ การปรับปรุงกระบวนการขายผ่าน Sales Funnel ที่ถูกออกแบบมาเพื่อการติดตามงานขาย และดูแลเคสปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งโดยปกติแล้ว CRM จะเป็นกระบวนที่เกิดขึ้นหลังการหลังจากการทำการตลาดครับ

                  CDP คืออะไร?

                  CDP มีชื่อเต็มๆ ว่า Customer Data Platform เป็นแพลตฟอร์มสำหรับจัดการข้อมูลลูกค้าในระบบต่างๆ และจากทุกแหล่งในองค์กรเข้าด้วยกัน ถือเป็นฐานลับของแบรนด์ก็ว่าได้ครับ เพราะนอกจากการเก็บข้อมูลแล้ว ยังสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกหรือ Customer Insight เพื่อให้นักการตลาดนำมาทำ Personalized Marketing ได้อย่างแม่นยำครับ ซึ่งระบบ CDP ในปัจจุบันจะมีความสามารถ ดังนี้

                  • CDP สามารถรวมกับระบบ API ต่างๆ ได้ เช่น POS หรือ ERP
                  • CDP เก็บข้อมูลในแหล่งเดียวได้ ทำให้วิเคราะห์ได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
                  • CDP สามารถเปิดเผยลักษณะของลูกค้าเพื่อใช้ทำการตลาดแบบ Personalized Marketing
                  • CDP เก็บข้อมูลที่เป็นบริบท ประวัติย้อนหลัง และข้อมูลทั่วไปของลูกค้า แยกเป็นสัดส่วนได้แบบชัดเจน

                  CRM vs. CDP ทั้งสองต่างกันอย่างไร? 

                  ในขณะที่ CDP จะเก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าทุกคนจากหลายๆ แหล่งที่ลูกค้าเข้ามาเยี่ยมชมสินค้าและบริการของแบรนด์ ไม่ว่าจะผ่านโซเชียลมีเดีย, เว็บไซต์, POS, หรือ E-Commerce ไว้ในที่เดียวกัน ส่วนระบบ CRM (Customer Relationship Management) จะเก็บข้อมูลของลูกค้าจาก Point of Sale หรือจากจุดที่ลูกค้าได้มีการติดต่อ ซื้อขายสินค้าและบริการกับพนักงานของแบรนด์

                  CRM จะบอกได้ถึงประวัติการซื้อขายและการติดต่อกับทีม Sale ส่วน CDP นั้นจะเก็บข้อมูลตั้งแต่เมื่อลูกค้าคลิกเข้ามาดูสินค้า ว่ามาจากช่องทางไหน เห็นสินค้าจากโฆษณาอะไร ลูกค้าคลิกเข้ามาดูสินค้ารึเปล่า ทำให้เกิดข้อมูลเชิงลึกมากกว่าครับ

                  การทำงานควบคู่ไปด้วยกัน

                  ปัจจุบันนี้แพลตฟอร์ม CDP มักมาพร้อมกับระบบ CRM ในตัว ทำให้นักการตลาดไม่ต้องสับสนกับการ Integrate หลายๆ ระบบเข้าด้วยกัน สามารถทำ Marketing ได้จากระบบเดียวอย่างสะดวก ซึ่ง ConnectX เป็นหนึ่ง Marketing Platform ที่มีระบบ Customer Relationship Management ในตัวพร้อมกับฟีเจอร์ทันสมัยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น การ Create Lead จากช่องทางต่างๆ, Sales Path ที่ทำให้พนักงานจัดการกับ Status ลูกค้าได้ง่ายขึ้น สามารถรองรับ Loyalty Program ได้ด้วยฟีเจอร์ต่างๆ รวมไปถึงการทำ Real-Time Marketing Automation อีกด้วย ครับ

                  บทความอื่นๆที่น่าสนใจเกี่ยวกับ ระบบ CRM (Customer Relationship Management)

                  สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

                  เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

                  Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

                    Yearly Budget

                    How do you know us?

                    ธุรกิจระวังไว้ จะเก็บข้อมูลลูกค้ายังไงไม่ให้ละเมิด PDPA Consent

                    ธุรกิจระวังไว้ จะเก็บข้อมูลลูกค้ายังไงไม่ให้ละเมิด PDPA Consent

                    ธุรกิจต้องเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าอย่างรอบคอบไม่ให้ผิด PDPA Consent เพื่อหลีกเลี่ยงการฟ้องร้องและภาพลักษณ์ที่เสียหาย แล้วต้องคำนึงเรื่องอะไรบ้าง? มาดูกันเลย

                    ในยุคดิจิทัลที่ข้อมูลคือทรัพย์สินล้ำค่าของธุรกิจ การเข้าถึงและใช้ข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้องกลายเป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่สามารถมองข้ามได้ ธุรกิจจำนวนมากต่างพึ่งพาการเก็บข้อมูลเพื่อวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า สร้างแคมเปญการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Marketing) รวมถึงพัฒนาประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน ความสะดวกนี้ก็มาพร้อมกับความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในเรื่อง “ความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล” หรือ PDPA ที่กฎหมายได้กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด

                    ทุกคนล้วนต้องการความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยทางข้อมูล ไม่ว่าจะเป็นชื่อ เบอร์โทร อีเมล หรือพฤติกรรมการใช้งานออนไลน์ ข้อมูลเหล่านี้ถือเป็นข้อมูลส่วนบุคคลที่กฎหมาย PDPA ให้ความคุ้มครองโดยตรง โดยกฎหมายฉบับนี้ได้เริ่มมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 และครอบคลุมทุกธุรกิจที่มีการเก็บ รวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบออนไลน์หรือออฟไลน์

                    หลายธุรกิจอาจยังไม่เข้าใจถึง “ขอบเขตของการละเมิด” ว่าจริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่การขายข้อมูลเท่านั้นที่ผิด แต่แม้กระทั่งการส่งอีเมลการตลาดโดยที่ลูกค้าไม่เคยให้ความยินยอม หรือการเก็บข้อมูลจากฟอร์มกรอกโดยไม่มีการแจ้งวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน ก็ล้วนเข้าข่ายละเมิด PDPA ทั้งสิ้น

                    สำหรับเจ้าของแบรนด์หรือผู้ประกอบการ การตระหนักรู้และเข้าใจเรื่อง PDPA ไม่ใช่เพียงเพื่อหลีกเลี่ยงโทษทางกฎหมาย แต่ยังเป็นการแสดงถึงความใส่ใจในสิทธิของลูกค้า และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับแบรนด์ในระยะยาว

                    บทความนี้ ConnectX จะพาคุณไปรู้จักสิ่งสำคัญที่ธุรกิจต้องคำนึงเมื่อจะเก็บข้อมูลลูกค้าอย่างถูกต้องตาม PDPA และแนวทางปฏิบัติที่จะช่วยให้คุณไม่พลาดจนต้องเสียทั้งเงินและชื่อเสียง

                    หน้าที่ของธุรกิจในการเก็บข้อมูลลูกค้า

                    อย่างที่ทราบกันดี PDPA คือกฎหมายที่ถูกร่างมาเพื่อให้ความปลอดภัยต่อเจ้าของข้อมูล ป้องกันไม่ให้ผู้ประสงค์ร้ายนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิดกฎหมายหรือใช้ข่มขู่เพื่อหวังผลประโยชน์ สำหรับแบรนด์ในฐานะ “ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล (Data Controller)” มีหน้าที่อันแสนสำคัญต่อลูกค้า (เจ้าของข้อมูล) ตามกฎหมาย PDPA ในการรับผิดชอบข้อมูลต่างๆ ที่ได้มา ไม่ว่าจะเป็น

                    • ระบุวัตถุประสงค์ในการเก็บข้อมูลให้ชัดเจนและครบถ้วน
                    • ในกรณีที่ต้องขอความยินยอม ธุรกิจต้องมอบอิสระแก่เจ้าของข้อมูลในการเลือกให้ความยินยอม
                    • ธุรกิจควรเก็บข้อมูลเท่าที่จำเป็นตามวัตถุประสงค์ และลบข้อมูลทั้งหมดเมื่อถึงกำหนดระยะเวลาที่ได้แจ้งเอาไว้
                    • แจ้งเจ้าของข้อมูลให้ทราบถึงสถานที่ติดต่อและผู้ดูแลหรือผู้ประสานงานข้อมูล
                    • ต้องเก็บของมูลจากเจ้าของเท่านั้น (1st Party Data) ไม่สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าจากแหล่งอื่นๆ ได้ เช่น การซื้อข้อมูลจากที่อื่น  ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ข้อมูลจากแหล่งอื่น ก็ต้องแจ้งขอความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลโดยเร็วที่สุด หรือภายใน 30 วัน

                    นอกจากความรับผิดชอบต่อข้อมูลเหล่านี้แล้ว ธุรกิจควรทำการกำหนดนโยบายในการเก็บข้อมูลอย่างชัดเจนที่สุด เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือความเข้าใจผิดในภายหลังนั่นเอง ทั้งนี้ทุกฝ่ายในองค์กรหรือธุรกิจต้องรับรู้และเข้าใจตรงกัน

                    ธุรกิจต้องคำนึงถึง PDPA Consent ก่อนเริ่มเก็บข้อมูลลูกค้า

                    เมื่อทราบถึงหน้าที่ในด้านต่างๆ ที่ธุรกิจต้องปฏิบัติต่อเจ้าของข้อมูลแล้ว ยังมีอีกหลายสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพื่อในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นไปอย่างราบรื่นและอยู่ภายใต้ PDPA โดยเริ่มจากบุคคลภายในองค์กรหรือบริษัท ดังนี้

                    1. กำหนดมาตรฐานในการเก็บรักษาข้อมูล

                    เมื่อข้อมูลสามารถเก็บรวบรวมได้จากหลายแหล่ง อาทิ การสมัครสมาชิกบนเว็บไซต์ ข้อมูลที่ลูกค้าให้ผ่านแชท หรือการกรอกแบบฟอร์ม ธุรกิจควรที่จะสร้างมาตรฐานในการเก็บและรักษาข้อมูลต่างๆ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างความปลอดภัยให้แก่เจ้าของข้อมูลแล้ว ยังทำให้ง่ายต่อการที่ธุรกิจจะต่อยอดกิจกรรมทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย โดยอาจทำผ่านระบบ CRM หรือระบบ CDP เป็นต้น

                    2. ระบุข้อมูลที่จำเป็นต้องเก็บรวบรวม

                    แต่ละฝ่ายในองค์กรต้องการข้อมูลที่แตกต่างไปเพื่อให้การทำงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ฝ่ายการตลาด, ฝ่ายขาย ฝ่ายบัญชี หรือฝ่ายบริการลูกค้า ล้วนต้องการชุดข้อมูลที่ไม่ซ้ำกัน เจ้าของธุรกิจจึงควรให้แต่ละฝ่ายระบุข้อมูลที่จำเป็นต้องเก็บและระยะเวลาที่เก็บข้อมูลที่ชัดเจน ก่อนร่างนโยบายการเก็บรวบรวมข้อมูล

                    3. จัดแยกประเภทของข้อมูล

                    กฎหมาย PDPA นั้นครอบคลุมทั้งข้อมูลในรูปแบบออฟไลน์และออนไลน์ ดังนั้นเพื่ออำนวยความสะดวกในการตรวจสอบ ธุรกิจควรจัดแบ่งประเภทของข้อมูลอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่จัดเก็บผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ข้อมูลที่จับต้องได้ (Hard Copy) จนกระทั่งรูปแบบข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป และข้อมูลส่วนบุคคลที่อ่อนไหว (Sensitive Personal Data) เพื่อสร้างความเป็นระเบียบ อีกทั้งทำให้มีหลักฐานพิสูจน์อำนาจในการจัดเก็บข้อมูลตามระยะเวลาที่กำหนดด้วย ซึ่งหากมีแพลตฟอร์มหรือซอฟต์แวร์ที่ช่วยจัดการข้อมูลที่เป็นไปตามกฎระเบียบของ PDPA จะช่วยธุรกิจได้อย่างมากเลยทีเดียว

                    4. จัดตั้งเจ้าหน้าที่ Data Protection Officer

                    เมื่อกฎหมาย PDPA ถูกบังคับใช้ เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล หรือ Data Protection Officer (DPO) นั้นควรเป็นส่วนหนึ่งของทุกธุรกิจ โดยเป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในด้านกฎหมาย PDPA และ GDPR โดยเฉพาะ ซึ่งจะเป็นผู้ที่คอยให้คำปรึกษากับธุรกิจ คอยแนะนำหากบริษัทยังปฏิบัติไม่ถูกต้องตามระเบียบ และสามารถช่วยเหลือประสานงานกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในกรณีที่ข้อมูลลูกค้าถูกล่วงละเมิด

                    5. สร้าง Privacy Policy ให้สอดคล้อง PDPA Consent

                    เชื่อว่าหลายธุรกิจคงคุ้นเคยกับการร่างนโยบายความเป็นส่วนตัวหรือ Privacy Policy กันแล้ว แต่หากเป็นธุรกิจใหม่หรือยังไม่เคยร่างนโยบาย ก็ควรทำนโยบายให้ชัดเจนและสอดคล้องกับ PDPA ไม่ว่าจะเป็นการเก็บรักษาหรือการลบข้อมูลก็ตาม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อลูกค้าไม่ได้ใช้บริการหรือยกเลิกสมาชิกแล้ว ก็ให้มีการกำจัดข้อมูลลูกค้าและข้อมูลการใช้บริการภายใน 3 ปี รวมไปถึงข้อมูลที่อ่อนไหวต่างๆ ทั้งนี้ระยะเวลาการจัดเก็บข้อมูลก็แตกต่างกันไป เจ้าของธุรกิจจึงควรศึกษาก่อนอย่างรอบคอบหรือปรึกษาเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลก่อนร่างนโยบายนั่นเอง

                    จะเห็นได้ชัดเจนว่านโยบายการเก็บรักษาข้อมูลและ PDPA เป็นสิ่งสำคัญต่อความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้าอย่างมาก เพียงธุรกิจทำความเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับกฎหมายได้ก็จะสามารถลดความเสี่ยงที่จะละเมิดข้อมูลของลูกค้าได้ ทั้งยังเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจแก่แบรนด์ในสายตาผู้บริโภคด้วย

                    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                      Yearly Budget

                      How do you know us?