Category Archives: other

Chat GPT คืออะไร ? รวมทุกคำตอบในการใช้งาน Chat GPT

what-is-chat-gpt

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว Generative Pre-trained Transformer  หรือ Chat GPT คือหนึ่งในนวัตกรรมที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหลายวงการ ทั้งในด้านการศึกษา การทำงาน และธุรกิจ โดยเป็นเครื่องมือที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ chat gpt คือ อะไรในการสร้างและตอบคำถามจากผู้ใช้งานอย่างอัตโนมัติ ทำให้ไม่เพียงแต่ช่วยให้การทำงานของเราเร็วขึ้น แต่ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างเนื้อหาหรือการสนทนาต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่ง

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Chat GPT  ตั้งแต่การใช้งานพื้นฐาน ประโยชน์ที่ได้รับ รวมถึงข้อควรรู้ต่างๆ ที่ช่วยให้คุณใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในภาษาไทย หรือการเข้าใจค่าบริการและข้อกำหนดต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถนำ Chat GPT ไปใช้ในชีวิตประจำวันหรือในธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สารบัญบทความ

Chat GPT คืออะไร ? รวมทุกคำตอบในการใช้งาน Chat GPT

Chat GPT ใช้งานอย่างไร?

ประโยชน์จาก Chat GPT คืออะไร

Chat GPT ทำอะไรได้บ้าง

ใช้งาน ChatGPT ภาษาไทยได้มั้ย?

เปิดค่าบริการ Chat GPT ล่าสุด ราคากี่บาท

10 ข้อควรรู้ในการใช้งาน Chat GPT

สรุป Chat GPT คืออะไร

 

ทำความรู้จัก Chat GPT คืออะไร

Chat GPT (Generative Pre-trained Transformer) คือโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาโดย OpenAI ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถเข้าใจและตอบคำถามจากผู้ใช้ได้อย่างธรรมชาติและมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างข้อความที่มีคุณภาพและเหมาะสมตามคำถามหรือคำขอที่ผู้ใช้ส่งมา ตัวอย่างเช่น หากคุณถาม Chat GPT ว่า “ประเทศไทยมีอาหารอะไรบ้างที่ดัง?” มันจะตอบด้วยการระบุชื่ออาหารดังๆ เช่น ต้มยำกุ้ง ผัดไทย หรือส้มตำ อย่างละเอียดและเข้าใจง่าย

 

Chat GPT ใช้งานอย่างไร?

การใช้งาน Chat GPT นั้นง่ายมาก เพียงแค่คุณเข้าไปที่เว็บไซต์ที่ให้บริการ Chat GPT หรือแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งาน Chat GPT และทำการลงทะเบียนหรือเข้าสู่ระบบ จากนั้นคุณสามารถพิมพ์คำถามหรือคำขอในช่องแชทและ Chat GPT จะตอบกลับทันที

ตัวอย่างการใช้งาน

  • ถามคำถามทั่วไป เช่น “น้ำหนักเฉลี่ยของเด็กทารกแรกเกิดเท่าไหร่?”
  • ขอคำแนะนำหรือบทความ เช่น “เขียนบทความเกี่ยวกับการตลาดดิจิทัลให้หน่อย”
  • คำสั่งต่าง ๆ เช่น “ช่วยแปลภาษาอังกฤษเป็นไทย”

 

ประโยชน์จาก Chat GPT คืออะไร

การใช้งาน Chat GPT สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายด้านดังนี้

  1. ช่วยในการทำงาน: Chat GPT สามารถช่วยในการเขียนเนื้อหา จัดการคำถามที่พบบ่อย หรือแม้แต่ให้คำแนะนำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
  2. การศึกษาหาความรู้: ช่วยค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็ว เช่น คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ หรือคำแนะนำในการเรียนภาษา
  3. การสนทนาและทำงานร่วมกับลูกค้า: ธุรกิจสามารถใช้ Chat GPT เพื่อให้บริการลูกค้าหรือสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
  4. แปลภาษา: สามารถแปลภาษาต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

Chat GPT ทำอะไรได้บ้าง

Chat GPT สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากมายดังนี้

  • สร้างเนื้อหาบทความ: เขียนบทความในหลากหลายหัวข้อ เช่น การตลาด ธุรกิจ หรือการศึกษา
  • ช่วยในการตัดสินใจ: เช่น การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน การเลือกซื้อสินค้า หรือแม้แต่การตัดสินใจในชีวิตประจำวัน
  • แปลภาษา: แปลภาษาได้หลายภาษารวมทั้งภาษาไทย
  • สนทนาและแก้ไขปัญหา: เช่น ช่วยแก้ไขข้อความหรือสร้างคำแนะนำในภาษาที่เข้าใจง่าย
  • สร้างโค้ดโปรแกรม: สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการโค้ดในการพัฒนาแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์

 

ใช้งาน ChatGPT ภาษาไทยได้มั้ย?

คำตอบนั้นก็คือ ได้ ! Chat GPT รองรับการใช้งานภาษาไทยได้ดีมาก เนื่องจากมันได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลจากหลากหลายภาษา ทำให้สามารถตอบคำถามในภาษาไทยได้อย่างถูกต้องและเข้าใจง่าย

ตัวอย่างเช่น

  • ถาม “สวัสดีครับ” Chat GPT ก็จะตอบ “สวัสดีครับ คุณต้องการให้ช่วยอะไรครับ?”
  • ถาม “สูตรทำข้าวต้มกุ้ง” ก็สามารถตอบเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน

 

เปิดค่าบริการ Chat GPT ล่าสุด ราคากี่บาท

ในปัจจุบัน Chat GPT คือมีการให้บริการในหลายรูปแบบ เช่น:

  1. บริการฟรี: สำหรับการใช้งานพื้นฐานที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
  2. Chat GPT Plus: ค่าบริการ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (ประมาณ 700 บาท) สำหรับการใช้งานที่มีความเร็วสูงขึ้น และการเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ

ค่าบริการที่สูงขึ้นจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นในการใช้งาน Chat GPT

 

10 ข้อควรรู้ในการใช้งาน Chat GPT

  1. การตั้งคำถามให้ชัดเจน: พยายามตั้งคำถามให้เฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้รับคำตอบที่ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการ
  2. ใช้คำสั่งอย่างละเอียด: ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น การเขียนบทความ ให้ระบุหัวข้อและจำนวนคำที่ต้องการ
  3. ใช้ภาษาที่เป็นทางการ: ใช้ภาษาที่ชัดเจนและเป็นทางการเพื่อให้คำตอบของ Chat GPT มีความถูกต้อง
  4. ไม่ควรใช้ข้อมูลส่วนตัว: อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวที่อาจเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผย
  5. รู้จักใช้ Chat GPT ตามสถานการณ์: สำหรับธุรกิจและการศึกษา Chat GPT สามารถเป็นเครื่องมือช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น
  6. ใช้หลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด: ลองถามคำถามหลายๆ แบบเพื่อให้ได้คำตอบที่ตรงที่สุด
  7. ตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับ: แม้ Chat GPT จะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ แต่ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
  8. ใช้ Chat GPT เป็นเครื่องมือช่วยคิด: ไม่ควรพึ่งพาเพียงคำตอบจาก Chat GPT แต่ควรใช้เป็นเครื่องมือในการคิดและพัฒนา
  9. ตั้งข้อจำกัดในการใช้งาน: ควบคุมการใช้งานเพื่อไม่ให้เกิดการใช้เวลาเกินไป
  10. เรียนรู้จากคำตอบ: เมื่อได้รับคำตอบจาก Chat GPT, ใช้เวลาทบทวนและเรียนรู้จากคำตอบนั้น

 

สรุป Chat GPT คืออะไร

Chat GPT คือ เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการให้ข้อมูล ช่วยเหลือในการสร้างเนื้อหา แปลภาษา และตัดสินใจในหลายๆ ด้าน ใช้งานง่ายและรองรับหลายภาษา รวมถึงภาษาไทย จึงเหมาะสำหรับการใช้ในงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การทำงาน หรือการบริการลูกค้า โดยค่าบริการที่เหมาะสมช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน อย่างเช่น ConnectX CDP ได้มีการพัฒนาโมเดลของ AI เช่นกันเพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถใช้เครื่องทางการตลาดที่ครบ รวดเร็วและลด human error 

อย่างไรก็ตาม ควรใช้ Chat GPT อย่างระมัดระวังและมีวิจารณญาณ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีนี้ 

 

ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

*รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

    Yearly Budget

    How do you know us?

     

    Data-driven marketing platform คืออะไร? สำคัญต่อธุรกิจยุคใหม่อย่างไร

    what-is-data-driven-marketing-platform

    ในยุคปัจจุบันการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ( Data-driven marketing platform ) ไม่ใช่แค่เป็นผลพลอยได้จากแคมเปญดิจิทัลแต่มันคือพลังที่ขับเคลื่อนการตัดสินใจที่ชาญฉลาด เพิ่มประสิทธิภาพ และพัฒนาประสบการณ์ของลูกค้า ข้อมูลช่วยให้เราสามารถปรับกลยุทธ์การตลาดที่แม่นยำยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการปรับแคมเปญอีเมล, การทำการตลาดที่เฉพาะเจาะจง, หรือการวัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI) ข้อมูลช่วยให้คุณสามารถตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและมีหลักฐาน แต่การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูลคืออะไร? และทำไมถึงสำคัญขนาดนี้?

    Data-Driven Marketing คืออะไร?

    การตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล (Data-Driven Marketing) คือการใช้ข้อมูลต่างๆ—ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลพฤติกรรม, หรือการวิเคราะห์การขาย—มาเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจทางการตลาด เพื่อออกแบบกลยุทธ์ที่ตรงจุดและมีประสิทธิภาพที่สุด
    องค์ประกอบหลักของ Data-Driven Marketing :
    ข้อมูลลูกค้า: ข้อมูลเกี่ยวกับความชอบ, พฤติกรรมการซื้อ, และการใช้งาน
    ข้อมูลพฤติกรรม: ข้อมูลเกี่ยวกับวิธีที่ลูกค้าตอบสนองต่อเว็บไซต์, อีเมล, หรือโฆษณา
    ข้อมูลตลาด: ข้อมูลเกี่ยวกับแนวโน้ม, กลุ่มเป้าหมาย, และการกระทำของคู่แข่ง
    การใช้ข้อมูลเหล่านี้ช่วยให้ธุรกิจสามารถสร้างแคมเปญที่มีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น, เพิ่มการมีส่วนร่วมของลูกค้า, และสามารถวัดผลความสำเร็จได้อย่างแม่นยำ

     

    ทำไมต้องใช้ Data-Driven Marketing Platform?

    เพื่อเข้าใจลูกค้า เข้าใจตลาด และคู่แข่ง
    ข้อมูลช่วยให้ธุรกิจเข้าใจลูกค้าได้ดีขึ้นว่าเขาต้องการอะไรและชอบอะไร ตัวอย่างเช่น ร้านค้าปลีกออนไลน์สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการเรียกดูสินค้าของลูกค้า เพื่อคาดเดาว่าลูกค้าคนนั้นน่าจะสนใจสินค้าชิ้นไหน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการขาย
    เช่นแบรนด์แฟชั่นอาจจะติดตามสินค้าที่ผู้ใช้งานเข้าชม, ที่ตั้ง, หรือแม้กระทั่งกิจกรรมบนโซเชียลมีเดีย โดยการวิเคราะห์ข้อมูลนี้ พวกเขาสามารถแนะนำสินค้าได้ตรงใจลูกค้า ทำให้เกิดอัตราการแปลงที่สูงขึ้น
    เพื่อการตัดสินใจที่มั่นใจ
    ในปัจจุบัน การตัดสินใจไม่จำเป็นต้องพึ่งเพียงแค่การคาดเดาหรือความรู้สึกอีกต่อไป Data Driven MarketingPlatform ช่วยให้การตัดสินใจเร็วขึ้นและมีความแม่นยำมากขึ้น นักการตลาดสามารถปรับแคมเปญได้ในทันทีตามตัวชี้วัดผลลัพธ์ เช่น อัตราการคลิก, การแปลง, หรือการมีส่วนร่วมของลูกค้า
    เช่นแคมเปญการตลาดดิจิทัลสามารถติดตามได้ว่าโฆษณาแบบใดมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งช่วยให้นักการตลาดสามารถเพิ่มงบประมาณให้กับโฆษณาที่มีประสิทธิภาพสูงสุดและปรับแคมเปญให้ตรงเป้าหมายมากขึ้น
    เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการตลาด
    การใช้ข้อมูลในการกำหนดเป้าหมายกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงและปรับแคมเปญให้ตรงจุด ช่วยให้ธุรกิจสามารถลดค่าใช้จ่ายที่สูญเปล่าและเพิ่มประสิทธิภาพในการตลาด
    เช่นผู้ค้าปลีกสามารถวิเคราะห์ข้อมูลการซื้อในอดีตเพื่อหากลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มจะขายดีในช่วงฤดูกาลต่างๆ ด้วยข้อมูลนี้ พวกเขาสามารถจัดสรรงบประมาณและวางแผนแคมเปญได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยให้เกิดผลตอบแทนที่สูงขึ้นโดยไม่ต้องใช้จ่ายเพิ่ม

     

    กรณีตัวอย่างการใช้ข้อมูลในการตลาด

    ร้านกาแฟทั่วไปใช้ข้อมูลเพื่อเพิ่มยอดขาย
    ลองจินตนาการถึงร้านกาแฟที่เก็บข้อมูลจากการซื้อและปฏิสัมพันธ์ของลูกค้า โดยการวิเคราะห์ข้อมูลนี้ ร้านกาแฟสามารถระบุแนวโน้ม เช่น ชั่วโมงที่มีคนเข้าร้านมากที่สุด, เมนูที่ขายดีที่สุด, และความชอบของลูกค้า ซึ่งช่วยให้พวกเขาสามารถปรับโปรโมชั่นและสต็อกสินค้าตามความต้องการได้
    ร้านอาหาร/ร้านค้าที่ใช้รายงานการขาย
    เจ้าของร้านอาหารสามารถวิเคราะห์ข้อมูลจากระบบ POS (Point of Sale) เพื่อจับคู่เมนูที่ได้รับความนิยมสูงสุด หรือแม้กระทั่งการตรวจจับแนวโน้มตามฤดูกาล ด้วยข้อมูลเหล่านี้ พวกเขาสามารถปรับเมนู, กลยุทธ์การตั้งราคา, หรือโปรโมชั่นให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า
    แบรนด์และองค์กรหาข้อมูลเชิงลึกสำหรับการตลาด
    องค์กรใหญ่ๆ เช่น โคคาโคล่าและยูนิลีเวอร์ใช้ข้อมูลในการทำความเข้าใจความรู้สึกของลูกค้า, ทำนายพฤติกรรมการซื้อ, และปรับแต่งการใช้จ่ายโฆษณา โดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากฟีดแบ็กของลูกค้า, ประวัติการซื้อ, และแนวโน้มตลาด พวกเขาสามารถออกแคมเปญโฆษณาที่ตรงใจลูกค้าได้มากขึ้น
    แบรนด์ใช้ข้อมูลในการทำการตลาดเฉพาะบุคคลและการตลาดอัตโนมัติ
    1. แมคโดนัลด์แนะนำเมนูอัตโนมัติตามบริบทด้วยเทคโนโลยีการตัดสินใจ
    แมคโดนัลด์ใช้เทคโนโลยีในการตัดสินใจเพื่อแนะนำเมนูตามข้อมูลลูกค้า เช่น ผ่านแอปพลิเคชันของแมคโดนัลด์ที่แนะนำการสั่งซื้อจากเวลา, คำสั่งซื้อในอดีต, หรือแม้กระทั่งตำแหน่งที่ตั้ง
    เช่นลูกค้าที่สั่งกาแฟในตอนเช้าอาจได้รับคำแนะนำให้สั่งเมนูอาหารเช้าหรือขนมปังในครั้งถัดไป
    2. สตาร์บัคส์ทำ Hyper-Personalization
    สตาร์บัคส์ทำการตลาดเฉพาะบุคคลด้วยการส่งข้อความที่ปรับแต่งให้เหมาะกับแต่ละลูกค้า โดยแอปของสตาร์บัคส์จะแตกต่างกันไปตามความชอบของผู้ใช้
    เช่นแอปสตาร์บัคส์จะแสดงหน้าต่างที่แตกต่างกันตามพฤติกรรมของผู้ใช้ เช่น การแนะนำร้านที่ใกล้ที่สุดที่รองรับการสั่งซื้อผ่านมือถือ
    ผลลัพธ์จากข้อความ Hyper-Personalized ของ Starbucks:
    การมีส่วนร่วมกับแอปเพิ่มขึ้น
    ยอดขายสูงขึ้นจากการเสนอโบนัสและโปรโมชั่นที่เหมาะสม
    ความพึงพอใจของลูกค้าเพิ่มขึ้นจากการแนะนำที่ตรงใจ
    3. Netflix แสดงภาพปกภาพยนตร์ที่ปรับเฉพาะตัว
    Netflix ใช้ข้อมูลในการแสดงภาพปกของภาพยนตร์ต่างๆ ที่แตกต่างกันให้กับผู้ใช้แต่ละคน ขึ้นอยู่กับประวัติการรับชมที่ผ่านมา
    4. Grene ใช้ข้อมูลเพื่อปรับแต่งตะกร้าสินค้า
    Grene ใช้ข้อมูลของลูกค้าในการปรับแต่งตะกร้าสินค้าให้เหมาะสม ด้วยการวิเคราะห์การซื้อในอดีต พวกเขาสามารถแนะนำสินค้าใหม่ที่เกี่ยวข้อง ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น

    ประโยชน์ของ Data Driven Marketing Platform

    1. ใช้หาข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า (Customer Insight)
    การใช้ข้อมูลทำให้สามารถค้นหาความต้องการที่ซ่อนอยู่ของลูกค้า ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
    2. ใช้ในการทำการตลาดหลายช่องทาง (Omni-Channel Optimization)
    ข้อมูลช่วยให้นักการตลาดสามารถส่งข้อความที่สอดคล้องและเป็นส่วนตัวในหลายๆ ช่องทาง เช่น โซเชียลมีเดีย, อีเมล, หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์
    3. วัดผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)
    Data-Driven MarketingPlatform ช่วยให้สามารถติดตามผลลัพธ์ได้ทันที เพื่อตรวจสอบว่าแคมเปญต่างๆ ประสบความสำเร็จหรือไม่

    สรุป

    Data Driven Marketing ไม่ใช่แค่แนวโน้มในยุคดิจิทัล แต่เป็นสิ่งจำเป็นในการเข้าใจลูกค้าและปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีประสิทธิภาพที่สุด การใช้ข้อมูลช่วยให้แบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ดีขึ้น ปรับแคมเปญให้ตรงใจลูกค้า และวัดผลได้อย่างแม่นยำ เพียงแค่ใช้ข้อมูลที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด คุณก็สามารถเพิ่มยอดขายและสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับลูกค้าได้ เช่น Data Driven MarketingPlatform

    Marketing Automation คืออะไร ทำไมแบรนด์ยุคนี้ถึงขาดไม่ได้

    marketing-automation

    Marketing Automation หรือ ระบบการตลาดอัตโนมัติ คือการใช้เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ในการส่งข้อความการตลาด ติดตามพฤติกรรมลูกค้า และสร้างแคมเปญที่ Personalized Marketing แบบ Real‑time Marketing ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ Email, SMS, Facebook, LINE, Web Push, Mobile Push, Google Ads รวมถึงจอหน้าร้าน

    แล้วที่สำคัญ ถ้าจะให้ดีในยุคนี้ ก็ต้องตอบสนองได้แบบทันที (Real-time Marketingก็จะช่วยให้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีในยุคดิจิทัลได้ รวมถึงการส่งสิ่งที่ลูกค้าต้องการไปให้ได้ตรงจด ก็อาจจะต้องให้การทำงานร่วมกัน Customer Insight ก็ช่วยให้เราสามารถทำ Personalized Marketing ได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น

    ทำไม Marketing Automation สำคัญต่อธุรกิจยุคดิจิทัล

    1. ตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้า

      • ลูกค้าปัจจุบันต้องการการสื่อสารที่รวดเร็ว ถูกที่ ถูกเวลา

      • การทำ Real‑time Marketing ช่วยเพิ่มอัตราการเปิด (Engagement) และคลิก (CTR)

    2. ขับเคลื่อนยอดขายด้วย Personalization

      • แคมเปญอัตโนมัติที่อิงพฤติกรรม (Website, Social Media) เพิ่มโอกาสปิดการขาย

      • ลดต้นทุนโฆษณา ด้วยการส่งข้อเสนอให้เฉพาะกลุ่มเป้าหมายจริง

    3. ประหยัดเวลาและทรัพยากร

      • ลดงานซ้ำซ้อน เมื่อตั้ง Workflow เอาไว้ ระบบจะส่งข้อความแทนทีมงานอัตโนมัติ

      • ทีมการตลาดโฟกัสที่กลยุทธ์และครีเอทีฟมากขึ้น

    4 ฟีเจอร์หลักของ Marketing Automation

    1. Omnichannel Real‑time

    รวมทุกช่องทาง (Online & Offline) ให้เชื่อมกันแบบ Seamless Customer Experience

    ตัวอย่าง: ลูกค้าดูลิปสติกบนเว็บ → ได้ส่วนลดทางอีเมล → พนักงานหน้าร้านแนะนำสินค้าตามโค้ดนั้น → ปิดการขาย

    2. Audience Segmentation

    แบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรม (Lead Scoring) เพื่อส่งแคมเปญแบบเจาะจง

    ตัวอย่าง: แยกลูกค้าที่คลิกดูสินค้า >5 ครั้ง → ส่ง Email โค้ดส่วนลด + แถมของแถมตรงกลุ่ม

    3. Customer Journey Automation

    กำหนดเส้นทางลูกค้า (Customer Journey) ตั้งแต่การเป็น Lead จนถึง Loyal Customer

    ตัวอย่าง:

    • ส่ง Web Push แจ้งโปรโมชั่น →

    • ถ้าไม่สนใจ ยิง Ads ตาม retargeting →

    • หากคลิกรับโปร → ส่ง SMS ยืนยันอัตโนมัติ

    4. Social Media Connect & Live Chat

    รวมทุกแชทจาก Facebook, LINE@, Instagram, Pantip, เว็บไซต์ เข้าหน้าจอเดียว พร้อม AI Chatbot

    ตัวอย่าง: แอดมินเห็นทุกการ Mention รวดเดียว ไม่พลาดดราม่า ตอบ Real‑time แล้วส่งต่อฝ่ายบริการ

    ใช้ Marketings Automation อย่างไรให้ได้ผลจริง?

    การใช้ระบบ Marketing Automation ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่แค่การติดตั้งเครื่องมือแล้วจบ แต่ต้องอาศัยการวางแผนที่ดีและเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าอย่างลึกซึ้ง:

    ✅ 1. เริ่มจากการรู้จักลูกค้า (Customer Insight)

    ใช้ Customer Data Platform (CDP) หรือระบบ CRM เพื่อรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าในทุกช่องทาง เช่น การเข้าชมเว็บไซต์, ประวัติการซื้อ, การโต้ตอบผ่าน Social Media ฯลฯ

    ✅ 2. ออกแบบเส้นทางลูกค้า (Customer Journey Mapping)

    วาง Flow ให้ชัดเจนว่า ลูกค้าจะได้รับข้อความอะไร เมื่อไร และจากช่องทางใด เช่น:

    • ลูกค้าใหม่ → ได้รับ Welcome Email

    • ลูกค้าไม่เปิด Email ภายใน 3 วัน → ส่งข้อความทาง LINE

    • ลูกค้าซื้อแล้ว → ได้รับคูปองส่วนลดครั้งต่อไป

    ✅ 3. ทดสอบและปรับแต่งอย่างสม่ำเสมอ

    ใช้ A/B Testing ทดสอบข้อความ, รูปภาพ หรือเวลาส่งแคมเปญ แล้ววัดผลด้วย Conversion Rate และ ROI เพื่อพัฒนาแคมเปญให้แม่นยำยิ่งขึ้น

    ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Marketings Automation

    • ❌ ส่งข้อความซ้ำซ้อน หรือถี่เกินไปจนลูกค้ารู้สึกรำคาญ

    • ❌ ใช้ข้อมูลลูกค้าไม่ถูกต้อง หรือไม่มีการอัปเดตข้อมูล

    • ❌ ไม่มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการยอดขาย, เพิ่ม engagement หรือสร้าง brand awareness

    ประโยชน์ของ Marketings Automation

    • เพิ่ม Conversion Rate: ข้อความตรงกลุ่ม เพิ่มโอกาสปิดการขาย

    • ปรับปรุง Customer Experience: ลูกค้าได้รับประสบการณ์ต่อเนื่อง

    • ลดค่าใช้จ่ายโฆษณา: ยิง Ads เฉพาะกลุ่มที่มีโอกาสสูง

    • เก็บข้อมูลเชิงลึก: วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า สร้างกลยุทธ์ระยะยาว

    ขั้นตอนเริ่มต้นใช้งาน Marketings Automation

    1. กำหนดเป้าหมาย (Goals & KPIs)

    2. เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้า (CDP/CRM Integration)

    3. สร้าง Workflow & Campaign

    4. ทดสอบ (A/B Testing)

    5. ติดตามและปรับปรุง (Analytics & Optimization)

    ทำไมต้องเลือก Connect X Marketing Platform

    Connect X มอบครบทั้ง

    • CDP: รวมข้อมูลลูกค้า 360°

    • Marketings Automation: ตั้งค่า Omnichannel & Personalization ได้ทันที

    • CRM & PDPA‑Ready: รองรับการใช้งานในไทยและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

    สรุป: Marketing Automation คือกุญแจสู่ความสำเร็จของธุรกิจยุคใหม่

    ระบบการตลาดอัตโนมัติไม่ใช่แค่ “เครื่องมือ” แต่คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่ช่วยให้แบรนด์เข้าใจลูกค้า สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และเปลี่ยนข้อมูลเป็นยอดขายได้จริง

    Marketing Automation ช่วยให้ธุรกิจสามารถ…

    • 📈 ขยายยอดขายและลูกค้าใหม่อย่างแม่นยำ

    • 🔁 สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าเดิม

    • ⏱ ลดภาระงานซ้ำซ้อนของทีมการตลาด

    • 💡 วัดผลทุกแคมเปญแบบเรียลไทม์

     

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ


      Yearly Budget

      How do you know us?

      เจาะลึก 4 ข้อดีของ การตลาดอัตโนมัติ Marketing Automation ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต

      4-ข้อดี-การตลาดอัตโนมัติ-Marketing-Automation-มีอะไรบ้าง

      เจาะลึก 4 ข้อดีของ การตลาดอัตโนมัติ Marketing Automation ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต

      หลายคนอาจสงสัยว่า Marketing Automation มีอะไรบ้าง และทำไมธุรกิจยุคใหม่ถึงให้ความสำคัญกับการใช้ระบบนี้มากขึ้น คำตอบคือ Marketing Automation ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือส่งอีเมลอัตโนมัติ แต่เป็นโซลูชันครบวงจรที่ช่วยให้แบรนด์สื่อสารกับลูกค้าได้แม่นยำ มีประสิทธิภาพ และใช้เวลาน้อยลงกว่าที่เคย ในบทความนี้ Connect X จะพาไปทำความรู้จักกับ Marketing Automation มากขึ้นกันค่ะ

      Marketing Automation คืออะไร?

      Marketing Automation คือ เทคโนโลยีที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจกรรมทางการตลาดได้แบบอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้แรงงานคนในทุกขั้นตอน ช่วยลดเวลาการทำงานซ้ำ เพิ่มความแม่นยำในการสื่อสาร และเปิดโอกาสให้ทีมงานสามารถโฟกัสกับกลยุทธ์ที่ซับซ้อนหรือสร้างสรรค์มากขึ้น

      ระบบนี้ทำงานผ่านการตั้งค่า “กฎ” หรือ “เงื่อนไข” ล่วงหน้า เช่น การส่งอีเมลอัตโนมัติเมื่อมีผู้สมัครรับข่าวสาร การติดตามผู้ที่เคยเข้าชมหน้าเว็บไซต์ หรือการส่งโปรโมชันให้เฉพาะกลุ่มลูกค้าที่แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์บางประเภท สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยที่ทีมไม่ต้องคอยกดส่งเองในแต่ละครั้ง

      เป้าหมายของ Marketing Automation

      แม้หลายคนจะเข้าใจว่า Marketing Automation มีไว้เพื่อ “ประหยัดเวลา” แต่ความจริงแล้ว ระบบนี้มีบทบาทลึกกว่านั้น เพราะมันช่วยให้ธุรกิจสามารถ:

      • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

      • ส่งสารที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล

      • ติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมแบบ Real-Time

      • วัดผลลัพธ์ของแต่ละแคมเปญได้อย่างแม่นยำ

      • ปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วโดยอิงจากข้อมูลจริง

      ช่องทางที่รองรับ Marketing Automation

      ระบบ Marketing Automation สามารถทำงานข้ามแพลตฟอร์มอย่างมีประสิทธิภาพ โดยครอบคลุมช่องทางสำคัญ เช่น:

      • Email Marketing: ส่งจดหมายข่าว โปรโมชัน หรือแคมเปญเฉพาะกลุ่มแบบอัตโนมัติ

      • SMS Marketing: ส่งข้อความสั้นเพื่อกระตุ้นการกลับมาซื้อ หรือแจ้งเตือนลูกค้าในจังหวะสำคัญ

      • Line OA / Facebook Messenger: สื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางที่พวกเขาใช้งานจริง

      • Website / App Trigger: ตั้งเงื่อนไขให้ส่งข้อมูลหรือติดตามลูกค้าจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ เช่น การคลิกปุ่ม การหยุดดูสินค้าบางรายการ หรือการไม่กดสั่งซื้อภายในระยะเวลาที่กำหนด

      ประโยชน์ของ Marketing Automation ต่อธุรกิจ

      การใช้ Marketing Automation อย่างมีระบบ ช่วยให้แบรนด์สามารถบริหารต้นทุนด้านเวลาและทรัพยากรบุคคลได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการสื่อสารกับลูกค้า และสร้างความต่อเนื่องในทุกแคมเปญโดยไม่ขาดช่วง

      นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดแบบ Personalized Marketing ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของประสบการณ์ลูกค้าในยุคดิจิทัล เพราะลูกค้ายุคใหม่ไม่ได้คาดหวังแค่ “ได้รับข้อความ” แต่คาดหวังว่า “ข้อความต้องตรงใจ” และ “ส่งมาในเวลาที่เหมาะสม”

      ฟังก์ชันหลักของ การตลาดอัตโนมัติ ทำอะไรได้บ้าง?

      • กำหนดกลุ่มเป้าหมายอัตโนมัติตามพฤติกรรมลูกค้า (Segmentation)

      • สร้าง Journey หรือ Flow การสื่อสารที่แตกต่างกันตามกลุ่ม

      • ตั้งเวลาและเงื่อนไขการยิงแคมเปญแบบแม่นยำ (Trigger-based Marketing)

      • ติดตามผลการสื่อสารแบบ Real-Time พร้อมระบบรายงานในตัว

      • เชื่อมต่อกับระบบ CRM หรือ CDP เพื่อเพิ่มคุณภาพข้อมูล

      เมื่อเครื่องมือเหล่านี้ถูกนำมาใช้ร่วมกันอย่างเหมาะสม ธุรกิจจะสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ใน “จังหวะที่ใช่” ด้วย “เนื้อหาที่ตรงใจ” โดยไม่ต้องทำงานซ้ำซ้อนหรือเสียเวลาไปกับงานที่ไม่สร้างมูลค่า

      4 ข้อดีของการใช้เครื่องมือ การตลาดอัตโนมัติ Marketing Automation มีอะไรบ้าง

      1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดเวลาทำงานซ้ำ

      หนึ่งในข้อดีหลักของการใช้ Marketing Automation คือความสามารถในการช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อนและงานที่ต้องทำตามรอบเวลา ระบบสามารถตั้งค่าการทำงานให้เป็นแบบอัตโนมัติ ทำให้ไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงงานคนในทุกขั้นตอนอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารกับลูกค้า การตั้งแคมเปญ หรือการติดตามผลลัพธ์ สิ่งนี้ช่วยให้ทีมสามารถจัดสรรเวลาและทรัพยากรไปใช้กับงานที่สร้างมูลค่ามากขึ้น เช่น การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ การออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ หรือการวางแผนทางการตลาดเชิงลึก ส่งผลให้การทำงานทั้งระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น และต้นทุนทรัพยากรโดยรวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

      2. เจาะกลุ่มเป้าหมายและทำ Personalized Marketing ได้ลึกกว่า

      Marketing Automation ไม่ได้เพียงแค่ส่งข้อความอัตโนมัติ แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถรวบรวมและประมวลผลข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่พฤติกรรมการใช้งานไปจนถึงรูปแบบการตอบสนองต่อสื่อสารการตลาด ด้วยข้อมูลเชิงลึกนี้ ธุรกิจสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำยิ่งขึ้น และสร้างประสบการณ์การตลาดที่ปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะบุคคลได้จริง การสื่อสารจึงไม่ใช่แค่การกระจายข้อความแบบกว้าง แต่เป็นการสื่อสารที่ตรงกับความต้องการ ความสนใจ และความพร้อมของแต่ละคน ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในระยะยาว

      3. เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างลีดและเปลี่ยนเป็นยอดขาย

      ระบบ Marketing Automation ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการกับโอกาสทางการขายได้ดีขึ้น ผ่านการตรวจสอบและตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้สนใจในแบบเรียลไทม์ โดยไม่พลาดจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนลีดให้เป็นลูกค้าจริง อีกทั้งยังสามารถสร้างกระบวนการเลี้ยงดู (nurturing) กลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความคุ้นเคย ความเชื่อมั่น และแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อ ด้วยกระบวนการที่แม่นยำและต่อเนื่องนี้ ทำให้ประสิทธิภาพในการปิดการขายเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งลดช่องว่างของลีดที่ตกหล่นหรือถูกมองข้ามไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

      4. วิเคราะห์ผลและวัด ROI ได้แบบเรียลไทม์

      Marketing Automation ไม่ใช่แค่เครื่องมือส่งสาร แต่ยังทำหน้าที่เป็นระบบวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่มีความละเอียดและแม่นยำสูง ธุรกิจสามารถเห็นข้อมูลเชิงสถิติแบบเรียลไทม์จากทุกแคมเปญที่กำลังดำเนินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพของการส่งข้อความ ผลลัพธ์ของกลยุทธ์ที่ใช้ หรือแนวโน้มพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม การวัดผลเช่นนี้ทำให้สามารถตัดสินใจปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด และมีข้อมูลสนับสนุนอยู่เสมอ ส่งผลให้ ROI ของการทำการตลาดดีขึ้นต่อเนื่อง และงบประมาณถูกใช้อย่างคุ้มค่า

      พร้อมเริ่มใช้งานเครื่องมือ การตลาดอัตโนมัติ Marketing Automation แบบครบวงจรหรือยัง?

      ConnectX พาคุณไปไกลกว่าคำว่า “อัตโนมัติ” ด้วยแพลตฟอร์มที่รวม Marketing Automation และ Customer Data Platform (CDP) เข้าด้วยกัน ช่วยให้คุณวางแผนแคมเปญ วิเคราะห์พฤติกรรม และส่งข้อความ “ที่ใช่” ใน “เวลาที่เหมาะสม” ได้ง่ายกว่าที่เคย

      ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

      *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

        Yearly Budget

        How do you know us?

        CDP Platform: 5 ข้อดีและประโยชน์ของที่ธุรกิจยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม

        CDP-Platform

        5 ข้อดีและประโยชน์ของ CDP Platform ที่ธุรกิจยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม

        ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพยากรสำคัญของธุรกิจ การเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งและใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นหัวใจสำคัญของการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในเครื่องมือที่กำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องคือ CDP ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากหลายแหล่งให้มาอยู่ในศูนย์กลางเดียว พร้อมจัดโครงสร้างข้อมูลให้ใช้งานได้ทันที

        แพลตฟอร์มประเภทนี้มีความแตกต่างจากระบบ CRM หรือ DMP อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสามารถรวบรวมข้อมูลแบบ first-party data ได้อย่างครบถ้วน ทั้งข้อมูลพฤติกรรมจากเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือแม้แต่จุดสัมผัสหน้าร้าน โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาประมวลผลและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้แบบเจาะลึก

        มาดูกันว่า 5 ข้อดีหลักที่ทำให้ธุรกิจจำนวนมากตัดสินใจใช้งานแพลตฟอร์มนี้คืออะไรบ้าง:

        1. เจาะลึกกลุ่มเป้าหมายด้วยการแบ่งเซกเมนต์อย่างแม่นยำด้วย CDP Platform

        CDP สามารถรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือแอปพลิเคชัน แล้วนำมาประมวลผลเพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นเซกเมนต์ที่ชัดเจน เช่น กลุ่มที่ซื้อซ้ำบ่อย กลุ่มที่มีแนวโน้มเลิกใช้งาน หรือกลุ่มที่มีศักยภาพในการอัปเซลล์

        เมื่อเข้าใจว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมและความต้องการที่แตกต่างกัน ธุรกิจสามารถออกแบบเนื้อหา แคมเปญ และโปรโมชันให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนอง (Engagement Rate) และโอกาสในการปิดการขายอย่างมีนัยสำคัญ

        2. การตลาดแบบ Omni-Channel เป็นเรื่องง่าย

        ในยุคที่ลูกค้าใช้งานหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน การทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าบนแต่ละช่องทางมีความสอดคล้องกันคือสิ่งสำคัญ CDP ช่วยให้แบรนด์สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากอีเมล Facebook Instagram LINE เว็บไซต์ หรือแม้แต่ POS หน้าร้านไว้ในระบบเดียว

        การมีมุมมองแบบ 360 องศาต่อพฤติกรรมลูกค้า ทำให้สามารถส่งข้อความหรือข้อเสนอที่เกี่ยวข้องได้ถูกที่ ถูกเวลา และบนช่องทางที่ลูกค้าชอบ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนผ่านแอป ส่งอีเมล หรือส่งคูปองส่วนลดทางไลน์ เพิ่มโอกาสให้แบรนด์สื่อสารได้อย่างต่อเนื่องและไม่ขาดตอน

        3. CDP Platform เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ด้วยระบบอัตโนมัติ

        CDP ช่วยลดภาระของทีมงานผ่านฟีเจอร์การทำงานอัตโนมัติ เช่น การกำหนด Workflow ในการส่งข้อความอัตโนมัติ เมื่อมีลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ หรือการตั้งเงื่อนไขเพื่อเรียกใช้แคมเปญเมื่อเกิดเหตุการณ์เฉพาะ เช่น มีการเพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ไม่ชำระเงิน

        การจัดการงานซ้ำ ๆ แบบอัตโนมัติช่วยลดความผิดพลาด และประหยัดเวลาของทีมการตลาด ทำให้สามารถนำทรัพยากรไปใช้กับการคิดเชิงกลยุทธ์ เช่น การออกแบบประสบการณ์ลูกค้าหรือพัฒนาคอนเทนต์ที่สร้างมูลค่าได้มากกว่า

        4. ข้อมูลคุณภาพสูงและแม่นยำ

        ข้อมูลที่ได้รับจาก CDP ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่ได้จากลูกค้าโดยตรง (First-party data) ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ ประวัติการสั่งซื้อ หรือการตอบแบบสอบถาม ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและแม่นยำสูง

        เมื่อธุรกิจมีฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ ก็สามารถใช้ในการวิเคราะห์เชิงลึก เช่น การคาดการณ์ยอดขาย การประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญ หรือการทำ A/B Testing เพื่อหาสิ่งที่เวิร์กจริงสำหรับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมั่นใจ ลดการตัดสินใจที่อิงแค่สัญชาตญาณ

        5. ยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น

        เมื่อเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งผ่านข้อมูลที่รวบรวมไว้ใน CDP ธุรกิจสามารถส่งมอบประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลได้ในทุกจุดสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับความสนใจของลูกค้าในหน้าเว็บไซต์ การส่งอีเมลโปรโมชันที่เหมาะกับความต้องการ หรือแม้แต่ปรับหน้าตาแอปให้ตรงกับพฤติกรรมการใช้งาน

        ลูกค้าจะรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและใส่ใจในความต้องการส่วนบุคคล ทำให้เกิดความประทับใจ ความไว้วางใจ และความภักดีในระยะยาว ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่การแข่งขันสูง

        CDP กับการสร้างทีมการตลาดยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

        นอกเหนือจากประโยชน์ด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยีแล้ว CDP ยังช่วยเปลี่ยนวิธีคิดและการทำงานของทีมการตลาดในยุคปัจจุบัน โดยการเปิดโอกาสให้ทีมทำงานแบบ Cross-Functional ร่วมกับทีมอื่น ๆ เช่น ทีมขาย ทีมบริการลูกค้า หรือแม้แต่ทีมพัฒนาโปรดักต์ ด้วยข้อมูลชุดเดียวกันที่เป็นจริงและอัปเดตตลอดเวลา

        สิ่งนี้ช่วยลดความสับสนในการตีความข้อมูล สร้างความเข้าใจร่วม และยกระดับการทำงานแบบ Collaborative ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งผลให้ทั้งองค์กรสามารถตอบสนองต่อลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และตรงจุดมากกว่าเดิม

        ทำไม CDP Platform ถึงเป็นเครื่องมือสำคัญในยุคดิจิทัล?

        ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การมีระบบบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างครอบคลุมช่วยให้ธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำและมั่นใจ CDP ยังช่วยให้ทุกทีมในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการตลาด ฝ่ายขาย หรือฝ่ายบริการลูกค้า สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างสอดคล้อง

        นอกจากนี้ ยังช่วยให้สามารถพัฒนาแคมเปญใหม่ได้รวดเร็ว ทดสอบแนวคิดใหม่ ๆ ได้บ่อยขึ้น และตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

        อีกหนึ่งประโยชน์ที่สำคัญคือการเก็บข้อมูลแบบต่อเนื่อง ทำให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มของลูกค้าในระยะยาว และสร้างโมเดลคาดการณ์พฤติกรรมในอนาคตได้แม่นยำ ซึ่งส่งผลต่อการเพิ่ม Conversion, ลด Churn และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

        หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือเพื่อยกระดับกลยุทธ์การตลาด เพิ่มยอดขาย และเสริมความภักดีของลูกค้าในยุคดิจิทัล CDP คือคำตอบ

        ConnectX พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ของคุณในการวางระบบ CDP ที่เหมาะกับธุรกิจทุกขนาด พร้อมบริการให้คำปรึกษาเพื่อให้คุณเติบโตได้อย่างมั่นคงในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

        ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

        *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

          Yearly Budget

          How do you know us?

          ทำไม Personalize Marketing ถึงช่วยให้แบรนด์รู้ใจลูกค้ายุคใหม่?!

          personalize-marketing

          การแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และผู้บริโภคยุคนี้มีความคิดแบบใหม่ หากแบรนด์ของท่านไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์หรือความแตกต่างได้ อีกไม่นานธุรกิจของท่านอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง “Personalize Marketing” จึงมีบทบาทอย่างมากในปัจจุบัน

          Personalize Marketing คืออะไร?

          การตลาดเฉพาะบุคคล หรือ Personalized Marketing คือ การเสนอสินค้าและบริการ โปรโมชัน สิทธิพิเศษ และคอนเทนต์ ที่เจาะจงไปตามความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือการทำให้ลูกค้าคนดังกล่าวรู้เหมือนได้เป็นคนพิเศษนั่นเอง

          แบรนด์จะรู้ใจลูกค้าได้อย่างไร?

          Personalized Marketing ไม่ใช่การเดาใจลูกค้าแต่อย่างใดนะครับ แต่เป็นการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ “Data” หรือข้อมูลต่างๆ ของลูกค้า และนำมาทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล Cookies จากการท่องเว็บไซต์ แบบฟอร์มที่กรอก หรือการสมัครสมาชิก ข้อมูลที่มียกตัวอย่างเช่น ชื่อ ที่อยู่ ความสนใจ พฤติกรรมการบริโภค หรือประวัติการติดต่อกับแบรนด์ เป็นต้น

          ข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้นักการตลาดสามารถออกแบบแคมเปญใหม่ๆ ให้ตรงใจลูกค้ายุคปัจจุบันได้มากที่สุด

          มีอะไรที่ช่วยให้เก็บข้อมูลได้อีก?

          นอกจากการเก็บข้อมูลในแบบข้างต้นแล้ว ในยุคใหม่นี้ก็ได้มีการประยุกต์ใช้ AI หรือ Machine Learning เข้ามาช่วยเก็บและประมวลผลข้อมูล รวมไปถึงแพลตฟอร์ม CDP (อย่าง Connect X) และระบบ CRM ที่เข้ามาช่วยให้การทำ Personalized Marketing มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมอีกด้วย

          ทำไมต้องทำการตลาดแบบ Personalize Marketing?

          การตลาดรูปแบบเดิมๆ เช่น การติดโฆษณาบนป้ายบิลบอร์ด (Billboard) การโทรไปขายตรง หรือโฆษณาแบบแมส (Mass Marketing)  มีผลวิจัยได้แสดงให้เห็นมากกว่า 60% ของผู้บริโภครู้สึกเบื่อหน่ายในวิธีการตลาดเหล่านี้ ที่นำเสนอข้อความโฆษณาแบบซ้ำๆ และกว้างๆ เนื่องจากสิ่งที่ลูกค้าในปัจจุบันต้องการ คือ การให้แบรนด์ใส่ใจต่อลูกค้าแต่ละคนมากกว่า

          อีกทั้งจากผลการสำรวจของ Epsilon ที่สอบถามผู้บริโภค 1,000 คน อายุระหว่าง 18-64 ปี พบว่ากว่า 80% มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าและบริการกับแบรนด์ที่สามารถมอบประสบการณ์แบบส่วนตัวได้

          ประโยชน์ของการทำ Personalize Marketing

          กลยุทธ์การทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล จะสามารถสร้างผลดีให้กับแบรนด์ในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้นำมาใช้นั้น เป็นแบบ Real-Time อยู่เสมอ ทำให้นักการตลาดสามารถสื่อคอนเทนต์ต่างๆ ที่ตรงใจ เสนอสินค้า และบริการให้ผู้บริโภคได้แบบคนรู้ใจ รวมถึงมอบสิทธิพิเศษได้อย่างเหมาะสม ซึ่งประโยชน์ที่แบรนด์จะได้จาก Personalized Marketing มีดังนี้

          • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ด้วยคอนเทนต์ที่ตรงใจและขายสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ ลดโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจไปใช้สินค้าและบริการจากคู่แข่ง
          • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าปัจจุบัน ให้กลายเป็นลูกค้าภักดี (Loyal Customer) และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้ในระยะยาว
          • สร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้น เมื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าได้ตรงกับที่ต้องการ
          • ใช้ Data คาดการณ์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ในอนาคต
          • มอบประสบการณ์ดีๆ ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์

          ทำ Personalize Marketing บน Connect X

          อย่างที่ทราบกันดี Connect X เป็น CDP (Customer Data Platform) ที่มาพร้อมกับระบบ Marketing Automation ที่จะช่วยให้แบรนด์ของท่านสามารถทำ Personalized Marketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำการตลาดออนไลน์ได้หลายช่องทาง เช่น Email Personalized Marketing, SMS Personalization, หรือผ่านโซเชียลมีเดียก็ทำได้ สามารถแนบชื่อลูกค้า เพิ่มความเอาใจใส่ได้อีกขั้น

          Connect X สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้ตั้งแต่ Unknown Data จนเป็น Known จะเป็นลูกค้าหน้าใหม่ก็รู้ใจได้ไม่ยาก หากส่งโปรโมชันไปแล้วลูกค้าไม่สนใจ ก็สามารถตั้งค่าให้ส่งผ่านช่องทางอื่นได้ทันที ผ่านช่องที่หลากหลาย เช่น Line Message, Facebook Message, Email ,SMS เป็นต้น ช่วยให้แบรนด์รู้ถึงข้อมูล Insight เบื้องลึกของลูกค้า สามารถเก็บข้อมูลได้แบบรอบด้าน

          อย่ารอช้าและมา….

          สร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

          Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

          ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

          *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

            Yearly Budget

            How do you know us?

            6 กลยุทธ์ใช้ Marketing Automation Platform ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ

            Marketing-Automation-Platform

            Connect X จะมาแนะนำ 6 กลยุทธ์ Marketing Automation Platform ที่ธุรกิจควรเลือกใช้ เพราะจะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย

            ทุกวันนี้ หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า Marketing Automation  กันมากขึ้น เพราะเป็นรูปแบบการตลาดที่มีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยผลสำรวจพบว่าเกินกว่าครึ่งของธุรกิจแบบ B2B (ประมาณ 53% ของธุรกิจทั้งหมด) ได้มีการใช้ B2B Marketing Automation แล้วในตอนนี้ และอีกกว่า 37% เริ่มวางแผนใช้เครื่องมือดังกล่าวเข้ามาเป็นตัวช่วยให้กับธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้ แต่การตลาดแบบอัตโนมัตินี้ก็มีกลยุทธ์ในรูปแบบต่างๆ ซ่อนอยู่มากมาย แล้วเราจะเลือกใช้กลยุทธ์อะไรบ้างในธุรกิจของเราเพื่อให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุด

            วันนี้ Connect X จะพาทุกท่านมารู้จักกับ 6 กลยุทธ์ของการตลาดแบบอัตโนมัติที่เวิร์กสุดๆ ใช้แล้วเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน เพื่อให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จและก้าวสู่การเป็นผู้นำทางการตลาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จัก “Marketing Automation” กันก่อนว่าคืออะไร และเหมาะกับธุรกิจประเภทใดบ้าง

            Marketing Automation Platform คืออะไร และเหมาะกับใคร

            Marketing Automation Platforms หรือการตลาดแบบอัตโนมัติ คือเครื่องมือทางการตลาดที่เข้ามาช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจลูกค้าได้ตรงจุด สามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการได้มากที่สุด อีกทั้งช่วยให้ลำดับความสำคัญและดำเนินงานด้านการตลาดได้อย่างคล่องตัว เพื่อเพิ่มยอดขายและปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าในด้านต่างๆ แล้วตอบโต้กลับได้แบบเรียลไทม์ พร้อมนำไปวิเคราะห์ เพื่อพัฒนากิจกรรมทางการตลาด ตลอดจนสินค้าและบริการให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

            การตลาดแบบอัตโนมัติสามารถนำไปใช้กับธุรกิจหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าทุกประเภทและการให้บริการด้านต่างๆ เช่น การบิน, การโรงแรม, การขนส่ง เป็นต้น ซึ่งครอบคลุมทั้งธุรกิจแบบ B2C (Business-to-Customer) ธุรกิจแบบ B2B (Business-to-Business) และธุรกิจ B2B2C (Business-to-Business-to-Customer) ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบไหน ประเภทอะไรก็สามารถนำ Marketing Automation มาปรับใช้ได้อย่างลงตัว ซึ่งข้อมูลจาก Nucleus Research พบว่าการตลาดแบบดังกล่าวช่วยเพิ่มยอดขายได้ถึง 14.5% พร้อมยังลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตลาดได้ 12.2% เห็นได้ว่า Marketing Automation ช่วยให้ประหยัดเวลาและแรงงาน แต่กลับได้ประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จึงเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จที่ธุรกิจทั่วโลกเลือกใช้

            [/col]

            6 กลยุทธ์ Marketing Automation Platform ที่ธุรกิจควรเลือกใช้งาน

            เนื่องจากการใช้งาน Marketing Automation มีความซับซ้อน การเลือกกลยุทธ์ทางการตลาดแบบอัตโนมัติ (Marketing Automation Strategy) ที่เหมาะสมจะทำให้ธุรกิจของคุณไม่เสียค่าใช้จ่ายไปอย่างสูญเปล่า พร้อมกับเห็นผลลัพธ์จากการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดย Connect X ขอแนะนำ 5 กลยุทธ์ให้รู้จัก ได้แก่

            • Lead Scoring คือการให้คะแนนลูกค้า เพื่อจัดอันดับให้ Lead หรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ มีประโยชน์ในการวิเคราะห์ศักยภาพของผู้เข้าชม ว่าสามารถพัฒนาเป็น “ลูกค้า” ต่อไปได้หรือไม่ และต้องสร้างบทสนทนาแบบไหน เพิ่มแคมเปญการตลาดแบบใด เพื่อปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดยจะวัดคะแนนจากกิจกรรมที่เกิด Engagement ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกลิงก์ การสมัครสมาชิก และการสอบถามข้อมูล เป็นต้น
            • Automated Email Sequences คือระบบการส่งอีเมลแบบอัตโนมัติไปถึงคนที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสม หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (Personalized Marketing) เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเป็นรายบุคคล ด้วยอีเมลที่มีการแนะนำได้ตรงความต้องการ หรือการเสนอโปรโมชันและแคมเปญ เช่น โปรโมชันสำหรับวันเกิดหรือแคมเปญตามเทศกาลสำคัญ เป็นต้น
            • Chatbots คือการตอบข้อความในช่องทางแชทต่างๆ โดยอัตโนมัติด้วยระบบ AI เพื่อให้คำแนะนำกับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วทันใจตลอด 24 ชม. ซึ่งจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า นำไปสู่การปิดการขายได้ว่องไวและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถส่งแคมเปญทางการตลาดต่างๆ ด้วยข้อความอัตโนมัติไปสู่ผู้ที่เคยพูดคุยกับธุรกิจหรือร้านค้ามาก่อนได้อีกด้วย
            • Self-Nurturing Content คือการใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม (Lead) เข้าถึงข้อมูลที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น ในลักษณะแบบ Personalize เช่น มีผู้คนมาอ่านบทความภายในเว็บ เมื่ออ่านจบแล้วมีการแนะนำบทความถัดไป หรือมีการเชื่อมโยงให้ไปถึงข้อมูลที่ตรงกับความต้องการได้มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความประทับใจต่อธุรกิจของคุณได้มากยิ่งขึ้น
            • Omni-Channel คือการรวมช่องทางที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาไว้ในที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน บนเว็บไซต์ หรือบนโซเชียลก็ตาม ทั้งหมดสามารถทำได้ผ่านแพลตฟอร์มเดียว อาทิ แพลตฟอร์ม CRM หรือ CDP ซึ่งเมื่อนำมาผสมผสานกับ Marketing Automation ด้วยแล้ว ธุรกิจจะสามารถสื่อสาร ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ แนะนำโปรโมชัน หรือทำกิจกรรมทางการตลาดอื่นๆ ในช่องทางที่ลูกค้าต้องการหรือช่องทางที่ลูกค้าใช่งานเป็นหลักได้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าหาลูกค้า และมีโอกาสปิดการขายมากกว่าเดิม
            • Trigger Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่นำไปสู่การขายด้วยการกระตุ้นให้เกิดการซื้อ โดยการใช้ระบบอัตโนมัติในการวิเคราะห์และสร้างการโต้ตอบกับผู้เข้าชม (Lead) ที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นลูกค้าได้ ในลักษณะของการแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การส่งข้อความมาเตือนว่ามีการเลือกสินค้าไว้ในรถเข็น การแนะนำโปรโมชันสินค้าที่ใกล้เคียงกับที่เคยซื้อหรือมีความสนใจ รวมทั้งการแจ้งเตือนตามช่วงเวลาที่มีเทศกาลต่างๆ เป็นต้น เพื่อให้ผู้เข้าชม (Lead) และลูกค้าเก่ากลับมาใช้บริการเว็บไซต์อีกครั้ง ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าได้อีกด้วย

            จากที่ได้แนะนำ 6 กลยุทธ์ทางการตลาดแบบอัตโนมัติที่ธุรกิจควรเลือกใช้งานไปแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้อย่างเห็นผล ตั้งแต่การเพิ่มยอดขาย การเปลี่ยนผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ (Lead) มาสู่การเป็นลูกค้า การเพิ่มโอกาสในการซื้อ และการสร้างความประทับใจต่อธุรกิจได้ไม่เหมือนใครนั้น จะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จและก้าวสู่การเป็นผู้นำทางการตลาดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการเลือกใช้ Digital Platform ที่มีประสิทธิภาพอย่าง Connect X ที่มาพร้อมกับ CDP และ Marketing Automation จะช่วยให้สามารถจัดการธุรกิจได้เป็นระบบ สามารถวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสม และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้น เพื่อให้คุณสามารถไปถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว

            ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

            *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

              Yearly Budget

              How do you know us?

              โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า จะส่งผลดีต่อแบรนด์อย่างไร?

              Customer-data-platform-โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า

              โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า เป็นสิ่งที่นักการตลาดยุคดิจิทัลขาดไม่ได้ สิ่งนี้มีผลดีต่อแบรนด์อย่างไร? Connect X จะมาบอกให้คุณได้รู้…

              ทำการตลาดต้องอาศัย “ข้อมูล”

              ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลถือเป็นส่วนสำคัญในการทำการตลาดให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอายุ เพศ พฤติกรรม หรือความสนใจ ซึ่งทั้งหมดล้วนสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ การออกแบบสินค้าและบริการ การทำโปรโมชันต่าง ไปจนถึงการสร้าง Marketing Campaign ที่เหมาะจะดึงดูดผู้บริโภค

              รูปแบบการเก็บข้อมูลที่เปลี่ยนไป

              เมื่อก่อนที่สื่อออนไลน์ต่างๆ ยังไม่เกิดขึ้น การเก็บข้อมูลนั้นทำได้ยาก เพราะต้องอาศัยการลงพื้นที่ แจกแบบสำรวจ ซึ่งผู้คนมักปฏิเสธ ส่วนการสัมภาษณ์ข้อมูลก็ต้องทำแบบ Face-to-Face ใช้เวลาเก็บรวบรวมนาน และการเก็บข้อมูลมากๆ ก็มักทำได้อย่างไม่เป็นระเบียบ

              ในปัจจุบัน “โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า” อย่างระบบ CRM (Customer Relationship Management) และ CDP (Customer Data Platform) จึงเป็นเครื่องมือที่คุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างมาก เพราะสามารถจะรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, LINE หรือเว็บไซต์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าจะทำการจัดเก็บรายละเอียดต่างๆ ได้แบบอัตโนมัติ

              โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า ช่วยแบรนด์อย่างไร?

              ข้อดีของโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าต่อแบรนด์นั้นมีมากมาย ขึ้นอยู่กับรูปแบบการทำธุรกิจและวิธีการนำข้อมูลไปใช้ในเชิงการตลาด ซึ่ง Connect X ขอยกตัวอย่างข้อดีมาให้เจ้าของธุรกิจทุกท่านได้ทราบ ดังนี้

              1. เก็บข้อมูลได้เป็นระเบียบผ่านโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า

              เมื่อแบรนด์เติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ฐานข้อมูลลูกค้าก็จะขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าจะสามารถช่วยในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ได้อย่างเป็นระเบียบ จัดแบ่งข้อมูลตามกลุ่มลูกค้า และ Profile รายบุคคลได้

              CDP ของ Connect X มีฟีเจอร์ Customer Single View ที่จะทำให้นักการตลาด สามารถสื่อสารไปยังลูกค้าแต่ละคนได้แบบแม่นยำ ข้อมูลไม่กระจัดกระจาย ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อจากช่องทางไหน หรือรู้จักแบรนด์จาก Ads ไหนก็ตาม และยังผสานประสบการณ์ของลูกค้าได้แบบ Omni-Channel อีกด้วย

              2. รู้ถึงความสนใจและพฤติกรรมลูกค้า

              หลังจากรวบรวมข้อมูลได้อย่างเป็นระเบียบแล้ว โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าจะสามารถแสดงข้อมูลความสนใจและความต้องการของลูกค้าได้ด้วย ซึ่งแบรนด์สามารถนำการวิเคราะห์ส่วนนี้เพื่อทำ Campaign ต่างๆ ได้

              Connect X นั้นมีความพิเศษต่างจากระบบ CDP อื่นๆ เพราะสามารถรู้ข้อมูลเชิงลึกถึงระดับ Insight ด้วยระบบ AI Predictive Lead Scoring ช่วยจัดลำดับลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสินค้าสูงที่สุด สามารถทำแคมเปญการตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น เข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

              3. ทำ Personalized Marketing ได้

              ระบบ CRM ทั่วไปอาจสามารถจัดเก็บได้แค่เพียงข้อมูลพื้นฐาน เพื่อนำไปประกอบการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายโดยรวม แต่แพลตฟอร์ม CDP อย่าง Connect X สามารถทำได้มากกว่านั้น เพราะสามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เปลี่ยน Unknown Customer เป็น Known Customer แม้ลูกค้าจะติดต่อมาจากช่องทางที่ต่างกัน ก็รู้ว่าเป็นคนเดียวกัน

              จะทำ Personalized Marketing เอาใจลูกค้าก็ทำได้ง่ายๆ พร้อมกับระบุชื่อของแต่ละบุคคลได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น SMS Marketing, Email Marketing, หรือจะส่งโปรโมชันพิเศษผ่านโซเชียลและแอปฯ ก็ทำได้ ด้วย Marketing Automation

              4. โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าช่วยวัดผลได้แบบ Real-Time

              อีกหนึ่งความสามารถที่โดดเด่นของโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า คือการวิเคราะห์และวัดผลของการทำการตลาดได้แบบเรียลไทม์ ผู้บริหารสามารถดูข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าได้ทันที ตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น ช่วยประหยัดเวลาและงบประมาณ

              5. ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า

              เมื่อแบรนด์มีข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า การสื่อสารก็จะตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว (Customer Loyalty) ได้ดีกว่าแบรนด์ที่ไม่มีข้อมูล

              ข้อมูลคือหัวใจของการตลาดยุค Digital Disruption

              โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้ายังมีข้อดีอีกเพียบ หากคุณต้องการทำการตลาดในยุค Digital Distruption นี้ ไม่สามารถขาด “ข้อมูล” ไปไม่ได้เลย และก็ต้องขอย้ำอีกรอบว่า หากธุรกิจของคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่จะช่วยเก็บและจัดการข้อมูลที่ครบครัน โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า โดยเฉพาะจาก Connect X ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่เหมาะสมและคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างมาก

              เลือกโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าที่เหมาะกับธุรกิจของคุณวันนี้ แล้วเตรียมพร้อมสู่ความสำเร็จทางการตลาดในอนาคต!

              ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

              *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                Yearly Budget

                How do you know us?

                ธุรกิจออนไลน์ต้องรู้! โทษ PDPA และ 5 วิธีรับมือก่อนโดนปรับ

                โทษ-PDPA

                ธุรกิจออนไลน์ต้องรู้! โทษ PDPA และ 5 วิธีรับมือก่อนโดนปรับ

                หลายคนคงเคยเห็นว่าเวลาเข้าเว็บไซต์มักมีป๊อปอัปให้ “ยินยอม” หรือ “ปฏิเสธ” การเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ หรือ Cookies Consent ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA กฎหมายที่เน้นการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานออนไลน์

                ในยุคดิจิทัล “ข้อมูล” คือหัวใจของการตลาด ไม่ว่าจะนำไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือพัฒนาแคมเปญต่าง ๆ การเก็บข้อมูลเหล่านี้ต้อง “ได้รับความยินยอม” อย่างชัดเจน เพราะหากละเมิด อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย PDPA ซึ่งมี โทษทั้งจำและปรับ

                Connect X ขอสรุปสาระสำคัญเพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฟ้องร้องในอนาคต

                PDPA คืออะไร?

                PDPA หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act) คือกฎหมายที่ออกมาเพื่อปกป้องสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยกำหนดให้ทุกองค์กรที่มีการเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ต้องได้รับ “ความยินยอมโดยชัดแจ้ง” จากเจ้าของข้อมูลก่อนเสมอ

                ข้อมูลส่วนบุคคลในที่นี้ครอบคลุมตั้งแต่ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ที่อยู่ IP Address พิกัด GPS ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ หรือแม้แต่ประวัติการซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนบุคคลได้โดยตรงหรือโดยอ้อม

                PDPA ครอบคลุมทั้งองค์กรภายในประเทศไทยและองค์กรต่างประเทศที่ให้บริการกับคนไทย ไม่ว่าจะดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย หรือเอกสารกระดาษ

                เป้าหมายของ PDPA คือการกำหนด “กรอบการใช้ข้อมูล” ให้โปร่งใส เป็นธรรม และควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เช่น การส่งต่อข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการใช้ข้อมูลในทางการตลาดโดยเจ้าของข้อมูลไม่รู้ตัว

                องค์กรใดที่ไม่ปฏิบัติตาม PDPA จะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่ชัดเจนทั้งในทางแพ่ง อาญา และทางปกครอง รวมถึงเสี่ยงต่อความเสียหายด้านชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือทางธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ

                โทษ PDPA หากไม่ปฏิบัติตาม

                การละเมิด พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำผิดทางเทคนิค แต่ส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ และอาจสร้างความเสียหายทั้งในเชิงกฎหมายและภาพลักษณ์องค์กรอย่างรุนแรง

                หากองค์กรใดเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจน ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย โดยไม่ว่าจะเป็น ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) หรือ ผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Processor) ก็มีโทษทางกฎหมายที่ครอบคลุมทั้ง แพ่ง, อาญา และ ทางปกครอง ดังนี้:

                • โทษทางแพ่ง
                  เจ้าของข้อมูลสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และอาจมีการเรียกค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) ได้ในกรณีที่องค์กรกระทำโดยเจตนา หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

                • โทษทางอาญา
                  กรณีที่มีการนำข้อมูลไปใช้โดยมิชอบ เช่น ขายต่อ ส่งต่อ หรือใช้ในทางที่เจ้าของข้อมูลไม่เคยยินยอม อาจมีโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี และ/หรือ ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับเจตนาและผลกระทบที่เกิดขึ้น

                • โทษทางปกครอง
                  หน่วยงานกำกับดูแลสามารถสั่ง ปรับทางปกครองได้สูงสุด 5 ล้านบาทต่อกรณี โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งศาล

                นอกจากโทษในเชิงกฎหมายแล้ว องค์กรยังเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยชื่อ (Name & Shame) หรือขึ้นบัญชีดำโดยหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ

                ดังนั้น การเตรียมตัวให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น ทั้งด้านนโยบาย กระบวนการ และเครื่องมือที่ใช้ จึงเป็นทางรอดของธุรกิจในยุคที่ “ข้อมูล” คือสินทรัพย์ และ “ความยินยอม” คือเงื่อนไขในการใช้ข้อมูลนั้นอย่างถูกกฎหมาย

                5 ข้อที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด ในการเตรียมตัวก่อน PDPA มีผลบังคับใช้

                1. สร้าง Awareness ด้าน Data Privacy ให้กับบุคลากรในองค์กร

                เพราะแทบทุกแผนกอาจมีความเกี่ยวข้องที่ทำให้ต้องใช้งาน เก็บรวบรวม และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า พนักงานบริษัท บริษัทคู่ค้า (Vendor) บริษัทที่ได้รับการว่าจ้าง (Outsource) ฯลฯ จึงจำเป็นจะต้องมีความตระหนักถึงความสำคัญของนโยบายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้น นอกจากนี้ควรศึกษาข้อมูลและปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA เพราะทุกคนมีความเสี่ยงต่อการที่ข้อมูลส่วนบุคคลที่องค์กรประมวลผลอาจถูกละเมิดร่วมกัน รวมถึงช่วยกันการดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้นลง

                2. วางนโยบายความเป็นส่วนตัว Privacy Policy

                นโยบายดังกล่าวควรครอบคลุมทั้งภายในองค์กร รวมถึงการสร้างเงื่อนไขสำหรับผู้ใช้บริการหรือลูกค้าของเรา ซึ่งองค์กรควรจัดหาเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ Data Protection Officer: DPO เพื่อช่วยให้คำแนะนำและตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กรให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA สามารถลดความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง

                ในส่วนของนโยบายความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ธุรกิจต้องระบุให้ชัดเจนว่าต้องการเก็บข้อมูลอะไร เพื่อใช้ประโยชน์อะไร มีการส่งต่อข้อมูลให้บริษัทภายนอกหรือไม่ และมีระยะเวลาในการเก็บนานเท่าใด รวมทั้งมีมาตรการในการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งทำส่วนการแจ้งเตือนหรือฟอร์มในการสอบถามความยินยอมให้ชัดเจน เช่น บนเว็บไซต์อาจจะเป็น “รูปแบบคุกกี้แบนเนอร์ (Cookie Consent Banner)” โดยระบุเงื่อนไข Cookies Privacy Policy ให้ผู้ใช้งานอ่านและกดยินยอมหรือปฏิเสธ ทำให้เหล่าธุรกิจไม่ต้องห่วงปัญหาที่จะตามมาในเรื่อง PDPA กับเว็บไซต์อีกเลย ส่วนในช่องทางอื่นๆ อย่างแอปพลิเคชันก็สามารถแจ้งเตือนภายในแอป (In-App Notification) เมื่อผู้ใช้งานทำการเปิดแอปพลิเคชันครั้งแรก หรือทำการสมัครสมาชิกได้เช่นกัน

                3. กำหนดมาตรการในการดูแลข้อมูลส่วนบุคคล

                เมื่อองค์กรได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการหรือลูกค้าแล้วนั้น จะต้องจัดการระบบให้มีความปลอดภัย เพราะหากมีการรั่วไหลอาจทำให้เกิดการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีได้ โดยอาจเริ่มจากการจัดทำ Access Control & Logging เพื่อตรวจสอบคนที่เข้าถึงข้อมูล และเพิ่ม IT Security เช่น Firewall หรือ Encryption เป็นต้น ควรเตรียมมาตรการในการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน เมื่อเกิดเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลโดยตั้งใจหรือมิได้ตั้งใจ ทางองค์กรจะต้องมีการรายงานผลและแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกกรณี

                4. สร้างระบบรองรับเมื่อมีการยกเลิกการยินยอมแบบอัตโนมัติ

                ในเงื่อนไขนโยบายความเป็นส่วนตัว จะต้องมีการระบุว่าเมื่อผู้ใช้งานหรือลูกค้ากดยินยอมให้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลแล้ว ลูกค้าสามารถทำการยกเลิกการยินยอมก่อนระยะเวลาที่ธุรกิจกำหนดได้ ซึ่งหมายถึงว่าเจ้าของข้อมูลสามารถทำการยกเลิกได้ตลอดเวลา การมีระบบรองรับสำหรับการยกเลิกการยินยอมแบบอัตโนมัติจะช่วยให้สร้างความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการหรือลูกค้าได้มากกว่า เพราะสามารถดำเนินการได้ทันที จึงช่วยลดโอกาสในการฟ้องร้องดำเนินคดีจากความล่าช้าในการดำเนินการได้อีกด้วย

                5. เตรียมเครื่องมือให้พร้อม

                ให้ Connect X เป็นตัวช่วยให้กับธุรกิจของคุณ เราคือแพลตฟอร์ม CDP (Customer Data Platform) สามารถช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน มาพร้อมกับระบบ Marketing Automation ที่ช่วยทำการตลาดแบบอัตโนมัติ โดยเป็นแพลตฟอร์มหรือระบบที่รองรับกฎหมาย PDPA เป็นระบบที่ได้รับมาตรฐานการเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย มีมาตรฐาน ISO27001 ทำให้เหล่าธุรกิจคลายกังวลได้เพราะข้อมูลของลูกค้าจะปลอดภัยและมีขั้นตอนการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA อย่างแน่นอน

                จากที่ Connect X ได้แนะนำ 5 ข้อที่ธุรกิจควรเตรียมตัวก่อนที่กฎหมาย PDPA บังคับใช้กันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมีความสำคัญที่เหล่าธุรกิจจะต้องคำนึงถึงโดยมีมาตรการสร้างทั้งความเข้าใจและความพร้อมของบุคลากรกับระบบที่ใช้งานให้พร้อมก่อน 1 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA แล้วมีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือใช้ผิดวัตถุประสงค์ ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลหรือลูกค้าของเรา และส่งผลกระทบต่อองค์กรเป็นวงกว้าง

                หากองค์กรธุรกิจปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด โดยที่มีการชี้แจงเรื่องการใช้ข้อมูลอย่างโปร่งใส ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา ก็จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ พร้อมสร้างความสบายใจจนเกิดเป็นความไว้วางใจให้กับลูกค้าได้อย่างแน่นอน

                ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                  Yearly Budget

                  How do you know us?

                  Marketing Automation สามารถช่วยลดต้นทุนได้ทั้งด้านการเงินและช่วยประหยัดเวลา

                  Marketing Automation สามารถช่วยลดต้นทุนได้ทั้งด้านการเงินและช่วยประหยัดเวลา

                  วันนี้ทางทีมงาน ConnectX จะพาเพื่อนๆไปดูข้อดีของ Marketing Automation ว่ามีข้อดีมากกว่าที่เพื่อนๆคิดสามารถช่วยลดต้นทุนได้ทั้งเงินและเวลา

                  เริ่มแรกเลยหลายๆท่านอาจจะสงสัยว่าเจ้าตัว Marketing automation นั้นสามารถช่วยให้ประหยัดได้ทั้งต้นทุนและเวลาจริงหรือไม่ ขอตอบไว้ตรงนี้เลยว่าจริงค่ะ โดยแนวคิดเบื้องหลังการตลาดอัตโนมัติก็คือการทำให้การตลาดมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้ธุรกิจสามารถประหยัดเวลาและทรัพยากร ระบบอัตโนมัติทางการตลาดสามารถใช้สำหรับกลวิธีทางการตลาดที่หลากหลาย รวมถึงการสร้างโอกาสในการขาย การแบ่งกลุ่มลูกค้า การจัด Customer journey ของลูกค้า และอื่นๆ อีกมากมาย

                  Marketing automation คือ การตลาดแบบอัตโนมัติโดยใช้โปรแกรมหรือซอฟต์แวร์เพื่อทำการตลาดออกไปหากลุ่มลูกค้าเป้าหมาย กระบวนการเหล่านี้อาจรวมทุกอย่างตั้งแต่การตลาดผ่านอีเมลไปจนถึงแคมเปญโซเชียลมีเดียไปจนถึงโฆษณาที่ตรงเป้าหมาย

                  แล้ว Marketing automation มีหน้าที่หลักๆอะไรบ้าง ?

                  อย่างที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่า Marketing automation เป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานด้านการตลาดของธุรกิจในด้านต่างๆโดยอัตโนมัติ เรามาดูความสามารถของเจ้าตัว Marketing automation กันดีกว่าว่าหลักๆแล้วสามารถทำอะไรได้บ้าง

                  • สร้างและดูแลฐานข้อมูลลูกค้าให้เป็นฐานข้อมูลเดียว
                  • ทำงานซ้ำๆ โดยอัตโนมัติ เช่น อีเมลต้อนรับและการแท็กผู้ซื้อ
                  • สร้างกลุ่มผู้ชม
                  • ส่งข้อความที่กำหนดเองไปยังกลุ่มลูกค้ากลุ่มต่างๆ
                  • ทดสอบข้อความต่างๆ เพื่อให้เห็นว่าแคมเปญไหนมีประสิทธิภาพมากที่สุด
                  • สร้างรายงานการวิเคราะห์

                  ตัวอย่าง Use case ของ Marketing automation : เราตั้งค่าให้ตัว Marketing automation ส่งข้อความส่วนบุคคลที่ส่งถึงลูกค้าโดยอัตโนมัติเมื่อลูกค้าดำเนินการบางอย่าง เช่น ลงชื่อสมัครรับจดหมายข่าวหรือใส่ของในตะกร้าสินค้า

                  ข้อความเหล่านี้จะถูกส่งตามเวิร์กโฟลว์หรือชุดคำสั่งที่เราได้ตั้วค่าไว้ ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถส่งข้อความเฉพาะให้กับลูกค้าเมื่อลูกค้าทำบางอย่าง เวิร์กโฟลว์สามารถเป็นเทมเพลตหรือสร้างขึ้นใหม่ตั้งแต่ต้น และสามารถเปลี่ยนแปลงระหว่างแคมเปญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพผลลัพธ์ให้กับ Marketing automation ได้

                  อีกหนึ่งตัวอย่าง สมมติว่ามีลูกค้าเยี่ยมชมเว็บไซต์และลงทะเบียนเพื่อรับ Code โปรโมชั่นส่วนลดผ่านการขายทางอีเมล การดำเนินการนั้นอาจเรียกชุดอีเมลที่เริ่มต้นด้วยข้อความต้อนรับและรหัสส่วนลด เมื่อลูกค้าลงทะเบียนขอรับโค้ดส่วนลด ในอีกสัปดาห์ถัดไปเราก็สามารถตั้งค่าให้ Marketing automation นั้นส่งข้อความอัตโนมัติ ที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือแบรนด์เพิ่มเติมได้

                  Marketing automation นั้นสามารถช่วยลดต้นทุนด้านการเงินและเวลา

                  เนื่องจากระบบ Marketing automation จะใช้เวลาในการตั้งค่าระบบภายในไม่กี่นาทีเราก็สามารถที่จะส่งข้อความหรือแคมเปญด้านการตลาดไปหาลูกค้าหรือผู้บริโภคได้หลักหมื่นคน จากในภาพด้านบนสุดของเราจะเห็นได้ว่ามีให้เลือกทั้ง Sms, E-mail, Facebook messenger และ Line OA ซึ่งนั่นหมายความว่าเราต้องการที่จะส่งข้อมูลหรือข้อความไปหาลูกค้าผ่านช่องทางไหน ในส่วนของ Flow Control หมายความว่า เราจะต้องกำหนดเงื่อนไขให้กับตัว Marketing automation ของเรา

                  https://financesonline.com/marketing-automation-trends/

                  สรุป

                  Marketing automation เป็นเครื่องมือของนักการตลาดที่จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นและยังช่วยให้นักการตลาดประได้ทั้งเงินและเวลา และลดขั้นตอนการทำงานในด้านการตลาดปัจจุบันที่มีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆเพราะมีหลายช่องทางให้สื่อสารออกไปนั่นเอง

                  สำหรับเจ้าของธุรกิจท่านใดที่กำลังมองหาระบบ CRM ดีๆ สักอัน หรือต้องการคำปรึกษาก่อนตัดสินใจ Connect X ก็พร้อมจะช่วย ด้วยแพลตฟอร์ม CDP ที่มาพร้อมกับระบบ CRM, Marketing Automation และรองรับกฎหมาย PDPA เพื่อให้ธุรกิจสามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มยอดขายในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน

                  เริ่มต้นสร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

                  Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย