Category Archives: other

Chat GPT คืออะไร ? รวมทุกคำตอบในการใช้งาน Chat GPT

what-is-chat-gpt

ในยุคที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว Generative Pre-trained Transformer  หรือ Chat GPT คือหนึ่งในนวัตกรรมที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในหลายวงการ ทั้งในด้านการศึกษา การทำงาน และธุรกิจ โดยเป็นเครื่องมือที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ chat gpt คือ อะไรในการสร้างและตอบคำถามจากผู้ใช้งานอย่างอัตโนมัติ ทำให้ไม่เพียงแต่ช่วยให้การทำงานของเราเร็วขึ้น แต่ยังสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างเนื้อหาหรือการสนทนาต่างๆ ได้อย่างน่าทึ่ง

ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปทำความรู้จักกับ Chat GPT  ตั้งแต่การใช้งานพื้นฐาน ประโยชน์ที่ได้รับ รวมถึงข้อควรรู้ต่างๆ ที่ช่วยให้คุณใช้เครื่องมือนี้ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นการใช้งานในภาษาไทย หรือการเข้าใจค่าบริการและข้อกำหนดต่างๆ เพื่อให้คุณสามารถนำ Chat GPT ไปใช้ในชีวิตประจำวันหรือในธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

สารบัญบทความ

Chat GPT คืออะไร ? รวมทุกคำตอบในการใช้งาน Chat GPT

Chat GPT ใช้งานอย่างไร?

ประโยชน์จาก Chat GPT คืออะไร

Chat GPT ทำอะไรได้บ้าง

ใช้งาน ChatGPT ภาษาไทยได้มั้ย?

เปิดค่าบริการ Chat GPT ล่าสุด ราคากี่บาท

10 ข้อควรรู้ในการใช้งาน Chat GPT

สรุป Chat GPT คืออะไร

 

ทำความรู้จัก Chat GPT คืออะไร

Chat GPT (Generative Pre-trained Transformer) คือโมเดลปัญญาประดิษฐ์ที่พัฒนาโดย OpenAI ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถเข้าใจและตอบคำถามจากผู้ใช้ได้อย่างธรรมชาติและมีประสิทธิภาพ โดยใช้เทคโนโลยีการเรียนรู้จากข้อมูลจำนวนมหาศาลเพื่อสร้างข้อความที่มีคุณภาพและเหมาะสมตามคำถามหรือคำขอที่ผู้ใช้ส่งมา ตัวอย่างเช่น หากคุณถาม Chat GPT ว่า “ประเทศไทยมีอาหารอะไรบ้างที่ดัง?” มันจะตอบด้วยการระบุชื่ออาหารดังๆ เช่น ต้มยำกุ้ง ผัดไทย หรือส้มตำ อย่างละเอียดและเข้าใจง่าย

 

Chat GPT ใช้งานอย่างไร?

การใช้งาน Chat GPT นั้นง่ายมาก เพียงแค่คุณเข้าไปที่เว็บไซต์ที่ให้บริการ Chat GPT หรือแอปพลิเคชันที่รองรับการใช้งาน Chat GPT และทำการลงทะเบียนหรือเข้าสู่ระบบ จากนั้นคุณสามารถพิมพ์คำถามหรือคำขอในช่องแชทและ Chat GPT จะตอบกลับทันที

ตัวอย่างการใช้งาน

  • ถามคำถามทั่วไป เช่น “น้ำหนักเฉลี่ยของเด็กทารกแรกเกิดเท่าไหร่?”
  • ขอคำแนะนำหรือบทความ เช่น “เขียนบทความเกี่ยวกับการตลาดดิจิทัลให้หน่อย”
  • คำสั่งต่าง ๆ เช่น “ช่วยแปลภาษาอังกฤษเป็นไทย”

 

ประโยชน์จาก Chat GPT คืออะไร

การใช้งาน Chat GPT สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลายด้านดังนี้

  1. ช่วยในการทำงาน: Chat GPT สามารถช่วยในการเขียนเนื้อหา จัดการคำถามที่พบบ่อย หรือแม้แต่ให้คำแนะนำในการพัฒนาผลิตภัณฑ์
  2. การศึกษาหาความรู้: ช่วยค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็ว เช่น คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ หรือคำแนะนำในการเรียนภาษา
  3. การสนทนาและทำงานร่วมกับลูกค้า: ธุรกิจสามารถใช้ Chat GPT เพื่อให้บริการลูกค้าหรือสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า
  4. แปลภาษา: สามารถแปลภาษาต่างๆ ได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว

Chat GPT ทำอะไรได้บ้าง

Chat GPT สามารถทำสิ่งต่างๆ ได้มากมายดังนี้

  • สร้างเนื้อหาบทความ: เขียนบทความในหลากหลายหัวข้อ เช่น การตลาด ธุรกิจ หรือการศึกษา
  • ช่วยในการตัดสินใจ: เช่น การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน การเลือกซื้อสินค้า หรือแม้แต่การตัดสินใจในชีวิตประจำวัน
  • แปลภาษา: แปลภาษาได้หลายภาษารวมทั้งภาษาไทย
  • สนทนาและแก้ไขปัญหา: เช่น ช่วยแก้ไขข้อความหรือสร้างคำแนะนำในภาษาที่เข้าใจง่าย
  • สร้างโค้ดโปรแกรม: สำหรับนักพัฒนาที่ต้องการโค้ดในการพัฒนาแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์

 

ใช้งาน ChatGPT ภาษาไทยได้มั้ย?

คำตอบนั้นก็คือ ได้ ! Chat GPT รองรับการใช้งานภาษาไทยได้ดีมาก เนื่องจากมันได้รับการฝึกฝนด้วยข้อมูลจากหลากหลายภาษา ทำให้สามารถตอบคำถามในภาษาไทยได้อย่างถูกต้องและเข้าใจง่าย

ตัวอย่างเช่น

  • ถาม “สวัสดีครับ” Chat GPT ก็จะตอบ “สวัสดีครับ คุณต้องการให้ช่วยอะไรครับ?”
  • ถาม “สูตรทำข้าวต้มกุ้ง” ก็สามารถตอบเป็นขั้นตอนที่ชัดเจน

 

เปิดค่าบริการ Chat GPT ล่าสุด ราคากี่บาท

ในปัจจุบัน Chat GPT คือมีการให้บริการในหลายรูปแบบ เช่น:

  1. บริการฟรี: สำหรับการใช้งานพื้นฐานที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย
  2. Chat GPT Plus: ค่าบริการ 20 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน (ประมาณ 700 บาท) สำหรับการใช้งานที่มีความเร็วสูงขึ้น และการเข้าถึงฟีเจอร์ใหม่ๆ

ค่าบริการที่สูงขึ้นจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดียิ่งขึ้นในการใช้งาน Chat GPT

 

10 ข้อควรรู้ในการใช้งาน Chat GPT

  1. การตั้งคำถามให้ชัดเจน: พยายามตั้งคำถามให้เฉพาะเจาะจงเพื่อให้ได้รับคำตอบที่ตรงกับสิ่งที่คุณต้องการ
  2. ใช้คำสั่งอย่างละเอียด: ถ้าคุณต้องการผลลัพธ์ที่เฉพาะเจาะจง เช่น การเขียนบทความ ให้ระบุหัวข้อและจำนวนคำที่ต้องการ
  3. ใช้ภาษาที่เป็นทางการ: ใช้ภาษาที่ชัดเจนและเป็นทางการเพื่อให้คำตอบของ Chat GPT มีความถูกต้อง
  4. ไม่ควรใช้ข้อมูลส่วนตัว: อย่าให้ข้อมูลส่วนตัวที่อาจเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผย
  5. รู้จักใช้ Chat GPT ตามสถานการณ์: สำหรับธุรกิจและการศึกษา Chat GPT สามารถเป็นเครื่องมือช่วยให้ทำงานได้เร็วขึ้น
  6. ใช้หลายครั้งเพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุด: ลองถามคำถามหลายๆ แบบเพื่อให้ได้คำตอบที่ตรงที่สุด
  7. ตรวจสอบข้อมูลที่ได้รับ: แม้ Chat GPT จะให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ แต่ควรตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล
  8. ใช้ Chat GPT เป็นเครื่องมือช่วยคิด: ไม่ควรพึ่งพาเพียงคำตอบจาก Chat GPT แต่ควรใช้เป็นเครื่องมือในการคิดและพัฒนา
  9. ตั้งข้อจำกัดในการใช้งาน: ควบคุมการใช้งานเพื่อไม่ให้เกิดการใช้เวลาเกินไป
  10. เรียนรู้จากคำตอบ: เมื่อได้รับคำตอบจาก Chat GPT, ใช้เวลาทบทวนและเรียนรู้จากคำตอบนั้น

 

สรุป Chat GPT คืออะไร

Chat GPT คือ เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการให้ข้อมูล ช่วยเหลือในการสร้างเนื้อหา แปลภาษา และตัดสินใจในหลายๆ ด้าน ใช้งานง่ายและรองรับหลายภาษา รวมถึงภาษาไทย จึงเหมาะสำหรับการใช้ในงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา การทำงาน หรือการบริการลูกค้า โดยค่าบริการที่เหมาะสมช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการใช้งาน อย่างเช่น ConnectX CDP ได้มีการพัฒนาโมเดลของ AI เช่นกันเพื่อช่วยให้แบรนด์สามารถใช้เครื่องทางการตลาดที่ครบ รวดเร็วและลด human error 

อย่างไรก็ตาม ควรใช้ Chat GPT อย่างระมัดระวังและมีวิจารณญาณ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากเทคโนโลยีนี้ 

 

Data-driven marketing platform คืออะไร และสำคัญกับธุรกิจอย่างไร?

what-is-data-driven-marketing-platform

Data-driven marketing platform คืออะไร?

Data-driven marketing platform คือระบบอัจฉริยะที่ออกแบบมาเพื่อช่วยธุรกิจในการรวบรวม จัดเก็บ และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกจากหลากหลายแหล่งข้อมูล ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ ซึ่งรวมถึง:

  1. Customer Data (ข้อมูลลูกค้า)
    – ข้อมูลประชากร (Demographics) เช่น อายุ เพศ อาชีพ
    – โปรไฟล์ส่วนบุคคล (Profiles) เช่น ความชอบ ความสนใจ ประวัติการติดต่อ
    – ประวัติการซื้อและการใช้บริการ (Purchase & Usage History)

  2. Behavioral Data (ข้อมูลพฤติกรรม)
    – วิธีที่ลูกค้าโต้ตอบกับเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน หรืออีเมล (Clickstream, Session Data)
    – การตอบสนองต่อโฆษณาและแคมเปญ (Ad Engagement, Open & Click Rates)
    – กิจกรรมในโซเชียลมีเดียและรีวิว (Social Listening, Sentiment Analysis)

  3. Market Data (ข้อมูลแนวโน้มตลาด)
    – ข้อมูลสภาพแวดล้อมการแข่งขัน (Competitor Analysis, Benchmarking)
    – แนวโน้มอุตสาหกรรมและพฤติกรรมผู้บริโภค (Industry Reports, Trend Forecasts)
    – สถานการณ์เศรษฐกิจและภาวะตลาด (Economic Indicators, Seasonal Patterns)

ฟังก์ชันหลักของ Data driven marketing platform

  • Data Integration: รวมรวมข้อมูลจาก CRM, CDP, โซเชียลมีเดีย, เว็บแอนะลิติกส์ ฯลฯ มาไว้ในที่เดียว

  • Segmentation & Personalization: แบ่งกลุ่มลูกค้าตามลักษณะและพฤติกรรม เพื่อส่งข้อความทางการตลาดที่ตรงใจ

  • Real-time Analytics: วิเคราะห์และแสดงผลข้อมูลแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ปรับแผนการตลาดได้ทันทีเมื่อสถานการณ์เปลี่ยน

  • Campaign Orchestration: วางแผนและควบคุมการส่งข้อความทุกช่องทาง (Omni-Channel) จากแดชบอร์ดกลาง

  • Performance Measurement: ติดตาม KPI สำคัญ เช่น CAC, CLV, Conversion Rate และ ROI ด้วยรายงานอัตโนมัติ

ด้วย Data-driven marketing platforms ธุรกิจไม่เพียงแต่เข้าถึงข้อมูลเชิงลึกแต่ยังแปลงข้อมูลเหล่านั้นให้กลายเป็นกลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดความสูญเปล่าของงบประมาณ เพิ่มโอกาสในการปิดการขาย และสร้างสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับลูกค้าในระยะยาว

ทำไมต้องใช้ Data-Driven Marketing Platform?

การนำ Data Driven Marketing Platforms มาใช้จะช่วยให้ธุรกิจทำการตลาดได้อย่างแม่นยำ มีประสิทธิภาพ และประหยัดต้นทุน ด้วยเหตุผลสำคัญดังนี้:

  1. เข้าใจลูกค้า เข้าใจตลาด และคู่แข่ง
    – ข้อมูลเชิงลึกช่วยให้รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร ชอบอะไร และพฤติกรรมการซื้อของพวกเขาเป็นอย่างไร
    – ตัวอย่าง: ร้านค้าปลีกออนไลน์วิเคราะห์พฤติกรรมการเรียกดูสินค้า (clickstream) เพื่อคาดเดาว่าลูกค้าจะสนใจสินค้าชิ้นไหน และแสดงคอนเทนต์หรือข้อเสนอเฉพาะกลุ่ม จึงเพิ่มโอกาสในการปิดการขายได้สูงขึ้น
    – แบรนด์แฟชั่นอาจติดตามสินค้าที่ผู้ใช้เข้าชม เก็บข้อมูลที่ตั้ง หรือวิเคราะห์คอนเทนต์บนโซเชียลมีเดีย เพื่อแนะนำสินค้าให้ตรงใจและสร้างอัตราการแปลง (conversion) ที่สูงขึ้น

  2. การตัดสินใจที่มั่นใจ
    – ลดการคาดเดา ด้วยตัวชี้วัดเชิงตัวเลข (เช่น Click-through Rate, Conversion Rate, Engagement) ที่เห็นผลแบบเรียลไทม์
    – นักการตลาดสามารถปรับงบประมาณและกลยุทธ์ทันทีหากพบว่าแคมเปญใดทำผลงานได้ดีหรือไม่ดี
    – ตัวอย่าง: แคมเปญโฆษณาดิจิทัลสามารถติดตามได้ว่าโฆษณาแบบไหนให้ผลตอบแทนสูงสุด จึงสลับงบไปยังช่องทางหรือครีเอทีฟที่ได้ผลที่สุด

  3. ลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพ
    – เจาะกลุ่มเป้าหมายได้เฉพาะเจาะจง ลดการใช้จ่ายกับกลุ่มที่ไม่คุ้มค่า
    – วางแผนโปรโมชั่นและสต็อกสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการจริง
    – ตัวอย่าง: ผู้ค้าปลีกวิเคราะห์ยอดขายในอดีตเพื่อคาดการณ์สินค้ายอดนิยมในแต่ละฤดูกาล และจัดสรรงบโฆษณาอย่างมีประสิทธิภาพ

กรณีตัวอย่างการใช้ข้อมูลในการตลาด

  • ร้านกาแฟทั่วไป
    เก็บข้อมูลยอดขายตามช่วงเวลาและเมนูที่ขายดี เพื่อปรับโปรโมชั่นช่วงเร่งด่วน เช่น “Happy Hour” และเพิ่มสต็อกเมล็ดกาแฟยอดนิยม

  • ร้านอาหาร/ร้านค้าปลีก
    ใช้รายงานจากระบบ POS วิเคราะห์เมนูหรือสินค้าที่นิยมสูงสุดในแต่ละเดือน ช่วยปรับเมนูหรือกลยุทธ์การตั้งราคาให้เหมาะสม

  • องค์กรขนาดใหญ่ (Coca-Cola, Unilever)
    วิเคราะห์ฟีดแบ็กลูกค้า ประวัติการซื้อ และแนวโน้มตลาด เพื่อนำมาออกแคมเปญโฆษณาที่ตรงกลุ่มเป้าหมาย

  • แมคโดนัลด์ (McDonald’s)
    ใช้เทคโนโลยี Decisioning Engine แนะนำเมนูอัตโนมัติในแอปตามข้อมูลเวลา คำสั่งซื้อเก่า และตำแหน่งที่ตั้ง

  • สตาร์บัคส์ (Starbucks)
    ทำ Hyper-Personalization ในแอป ส่งข้อเสนอและโปรโมชั่นเฉพาะบุคคล ส่งผลให้ Engagement กับแอปและยอดขายเพิ่มขึ้น

  • Netflix
    ปรับภาพปกหนัง/ซีรีส์แต่ละเรื่องให้เหมาะกับประวัติการรับชมของผู้ใช้แต่ละคน

  • Grene
    วิเคราะห์ประวัติการซื้อ แนะนำสินค้าที่เกี่ยวข้องผ่านตะกร้าสินค้า (shopping cart) ทำให้ยอดขายต่อออเดอร์สูงขึ้น

ประโยชน์หลักของ Data-Driven Marketing Platforms

  1. Customer Insight – ค้นหาความต้องการที่ซ่อนอยู่ของลูกค้า เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการให้ตรงความต้องการ

  2. Omni-Channel Optimization – ส่งข้อความสอดคล้องกันในทุกช่องทาง (เว็บไซต์, อีเมล, โซเชียลมีเดีย) เพื่อสร้างประสบการณ์ลูกค้าแบบไร้รอยต่อ

  3. Real-Time Performance Tracking & ROI Measurement – ติดตามผลและปรับกลยุทธ์ได้ทันที พร้อมวัดผลตอบแทนจากการลงทุนอย่างแม่นยำ

ด้วย Data-Driven Marketing Platforms คุณจะเปลี่ยนข้อมูลดิบให้กลายเป็นกลยุทธ์การตลาดอันทรงพลัง ตอบโจทย์ “ถูกที่ ถูกเวลา ถูกใจลูกค้า” และขับเคลื่อนการเติบโตของธุรกิจอย่างยั่งยืน

มาร่วมเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นผลลัพธ์ที่จับต้องได้ไปกับ ConnectX – ผู้เชี่ยวชาญด้าน Data-Driven Marketing Platforms ที่พร้อมยกระดับทุกแคมเปญของคุณ ตั้งแต่การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้าแบบเรียลไทม์ ไปจนถึงการวางกลยุทธ์แคมเปญแบบเฉพาะบุคคล ด้วยเครื่องมือและทีมงานมืออาชีพของ ConnectX คุณจะได้ทั้งการตัดสินใจที่แม่นยำ ลดต้นทุนในจุดที่ไม่จำเป็น และสร้างประสบการณ์เหนือระดับให้กับลูกค้าทุกคน ติดต่อเราเพื่อเริ่มต้นออกแบบเส้นทางการตลาดที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล และก้าวสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน!

ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

*รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

    Yearly Budget

    How do you know us?

    Marketing Automation ช่วยสนับสนุน Real-Time Marketing ได้แค่ไหน?

    Real-Time-Marketing

    Real-Time Marketing เป็นการตลาดแนวไหน แล้วระบบ Marketing Automation สามารถช่วยสนับสนุนการตลาดประเภทนี้ได้ดีมากน้อยแค่ไหน มาหาคำตอบได้กับ Connect X

    คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการตลาดต้องแข่งขันกันที่ “ความเร็ว” แต่ด้วยโลกดิจิทัลในยุคนี้ทำให้แบรนด์และธุรกิจต่างต้องเร็วมากขึ้นไปอีก ถึงจะมีโอกาสขยายการรับรู้ทางการตลาดก่อนคู่แข่ง แล้วในปัจจุบันกระแสต่างๆ มักมาไวไปไวเหมือนสายฟ้าแลบแบบนี้ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่มีกลยุทธ์ทางการตลาดรูปแบบใหม่อย่าง Real-Time Marketing ที่ถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเอาใจผู้บริโภคยุคใหม่นี่เอง

    มาดูกันเลยว่ากลยุทธ์ Real-Times Marketing มีรูปแบบอย่างไร? มีข้อดีข้อเสียอะไร? แล้วตัวช่วยอย่างระบบ Marketing Automation นั้นสามารถสนับสนุนการตลาดประเภทนี้ได้ดีแค่ไหน?

    Real-Time Marketing คืออะไรกันแน่?

    คือ กลยุทธ์การตลาดที่อาศัย “กระแสหรือเทรนด์” ที่เกิดขึ้นในสังคมขณะนั้นมาประยุกต์หรือดัดแปลงเป็นคอนเทนต์ต่างๆ เพื่อให้แบรนด์เข้าถึงความต้องการและความสนใจของผู้บริโภค ณ ตอนนั้นแบบทันทีทันใด

    กลยุทธ์นี้แตกต่างจากการวางแผนการตลาดแบบเดิมที่ต้องมีหลายขั้นตอน แต่ Real-Times Marketing เน้นการนำประเด็นร้อนมาสื่อสารให้ “ผู้บริโภคมีส่วนร่วม” และเกิดความรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจความรู้สึกและมุมมองของพวกเขาในช่วงเวลานั้น ซึ่งจะนำไปสู่ความชื่นชอบ การแชร์ต่อ และการติดตามแบรนด์ในระยะยาว

    ช่องทางที่เหมาะสมที่สุดในการทำ Real-Times Marketing คือ “โซเชียลมีเดีย” เช่น Facebook, Instagram, X (Twitter), LINE และ TikTok ที่มีความเร็วในการกระจายข้อมูลสูง ตอบสนองต่อกระแสสังคมได้ทันที

    ตัวอย่าง Real Time Marketing ในไทย

    • ละครบุพเพสันนิวาส ทำให้มะม่วงน้ำปลาหวานขายดี ร้านอาหารทะเลมีเมนูกุ้งเผายอดพุ่ง และ “กระแสออเจ้า” กลายเป็น Talk of the Town

    • เลือดข้นคนจาง กับฉากไคลแมกซ์ที่กลายเป็น Meme สุดไวรัล

    • MK กับไวรัลใน Twitter เรื่อง #ทีมลวกหมี่หยก และ #ทีมไม่ลวกหมี่หยก ที่ถูกแบรนด์นำมาต่อยอดเป็นคอนเทนต์ได้อย่างแยบยล

    ผลลัพธ์ที่ตามมาคือกระแสที่ “แบรนด์เกาะทัน” จะสามารถสร้างการรับรู้และการมีส่วนร่วมที่สูงมากจนเกิดยอดขายหรือการพูดถึงที่เหนือความคาดหมาย

    ข้อดีและข้อเสียของ Real-Time Marketing

    การตลาดแบบ Real-Times Marketing มีทั้งข้อดีที่ช่วยเร่งการเติบโตของแบรนด์ และข้อจำกัดที่ควรระวังอย่างรอบด้าน ลองมาดูกันว่ากลยุทธ์ประเภทนี้จะส่งผลอย่างไรบ้างต่อการทำการตลาดในยุคดิจิทัล

    ข้อดี

    1. Reach และ Engagement เพิ่มขึ้นทันตา
      เมื่อแบรนด์สามารถจับกระแสที่กำลังเป็นที่สนใจในช่วงเวลานั้นได้ทัน การทำคอนเทนต์ออกมาให้สอดคล้องกับความสนใจของผู้คน ก็จะช่วยเพิ่มการเข้าถึงและการมีส่วนร่วม (Engagement) ได้แบบก้าวกระโดด ผู้บริโภคจำนวนมากจะรับรู้แบรนด์จากสิ่งที่พวกเขากำลังติดตามอยู่แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องใช้การตลาดเชิงรุกมากนัก แต่กลับได้ผลตอบรับอย่างมีประสิทธิภาพ

    2. สร้างโอกาสดึงดูดลูกค้าใหม่
      กระแสในโซเชียลมีเดียมักเป็นสิ่งที่ผู้คนแชร์ต่อกันอย่างรวดเร็ว เมื่อแบรนด์เข้าไปมีส่วนร่วมในบทสนทนาเหล่านั้น ย่อมเปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้าใหม่ที่อาจยังไม่รู้จักหรือไม่เคยใช้บริการ ได้รู้จักแบรนด์เป็นครั้งแรก และอาจเกิดความสนใจจนตัดสินใจลองสินค้า บริการ หรือแม้แต่กดติดตามเพจเพื่อรอคอนเทนต์ถัดไป

    3. เข้าใจความต้องการของผู้บริโภคได้ทันเหตุการณ์
      เพราะทุกกระแสที่เกิดขึ้นนั้นสะท้อนถึงความสนใจหรือความต้องการบางอย่างของสังคมในขณะนั้น การที่แบรนด์เข้าไปมีบทบาทในพื้นที่เหล่านี้ ไม่เพียงแต่จะช่วยให้แบรนด์ “อินเทรนด์” แต่ยังเปิดโอกาสให้เข้าใจอินไซต์ผู้บริโภคแบบเรียลไทม์ ซึ่งสามารถต่อยอดสู่กลยุทธ์การตลาดที่ตรงใจมากขึ้นในอนาคต

    ข้อเสีย

    1. อายุของคอนเทนต์สั้นมาก
      ด้วยความที่เป็นการ “โหนกระแส” คอนเทนต์แบบ Real-Times Marketing จึงมีอายุสั้น หากแบรนด์ผลิตคอนเทนต์ไม่ทัน หรือเผยแพร่ช้าไปเพียงไม่กี่วัน ความสนใจของผู้บริโภคก็อาจจางหายไปแล้ว ทำให้พลาดโอกาสทองในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย

    2. เสี่ยงเรื่องลิขสิทธิ์และการใช้งานทรัพย์สินทางปัญญา
      การหยิบเอาตัวละคร ภาพถ่าย หรือโลโก้จากกระแสมาใช้ในคอนเทนต์ อาจทำให้แบรนด์เข้าไปละเมิดลิขสิทธิ์ของเจ้าของผลงานโดยไม่รู้ตัว หากไม่ได้รับอนุญาตอย่างถูกต้อง การดำเนินการทางกฎหมายหรือเสียงวิจารณ์ในเชิงลบอาจเกิดขึ้นได้

    3. อ่อนไหวต่อประเด็นละเอียดอ่อน
      เนื่องจากความเร็วในการผลิตคอนเทนต์ทำให้บางครั้งอาจขาดการกลั่นกรองที่รอบคอบ ส่งผลให้คอนเทนต์หลุดไปแตะประเด็นที่อ่อนไหว เช่น เพศ เชื้อชาติ ความเชื่อ ศาสนา หรือรูปลักษณ์ภายนอก ซึ่งอาจสร้างความไม่พอใจให้กับผู้บริโภคบางกลุ่ม และกลายเป็นดราม่าทางออนไลน์ที่กระทบต่อภาพลักษณ์แบรนด์

    Marketing Automation สนับสนุน Real-Time Marketing ได้ยังไง?

    เจ้าของธุรกิจและนักการตลาดยุคใหม่คงคุ้นเคยกับ Marketing Automation กันเป็นอย่างดี เพราะเป็นเครื่องมือที่ช่วยทำการตลาดอย่างเป็นระบบและแม่นยำมากขึ้น ซึ่งเมื่อผสานการทำงานร่วมกับกลยุทธ์ Real-Times Marketing ก็ยิ่งช่วยผลักดันให้แบรนด์สามารถคว้าโอกาสจากกระแสที่มาไวไปไวได้อย่างทันท่วงที

    หนึ่งในจุดเด่นสำคัญของระบบนี้คือ Audience Segmentation หรือการแบ่งกลุ่มลูกค้าอย่างแม่นยำ โดยอาศัยข้อมูลพฤติกรรม ความสนใจ และประวัติการโต้ตอบกับแบรนด์ เพื่อนำมาทำแคมเปญแบบ Hyper-Personalization ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อผสมผสานกับกระแสบนโลกออนไลน์ ผู้บริโภคจะรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและมีส่วนร่วมกับพวกเขาในแบบเฉพาะตัว นำไปสู่ความรู้สึกเชื่อมโยง ความภักดีต่อแบรนด์ และการตัดสินใจซื้อที่รวดเร็วยิ่งขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดโอกาสในการปลุกประเด็นอ่อนไหว เพราะเนื้อหาแต่ละชิ้นจะถูกส่งให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายที่เหมาะสม

    นอกจากนี้ Lead Scoring ก็เป็นอีกฟีเจอร์สำคัญที่ช่วยให้แบรนด์ส่งแคมเปญไปยังกลุ่มลูกค้าที่ “มีแนวโน้มจะสนใจจริง” ได้ทันเวลา โดยไม่ต้องสิ้นเปลืองงบยิงแอดให้กลุ่มที่ยังไม่พร้อมซื้อ ช่วยให้การทำ Real-Times Marketing มีความคุ้มค่าทั้งในเชิงเวลาและต้นทุน

    อีกหนึ่งจุดแข็งของ Marketing Automation คือความสามารถในการออกแบบ Customer Journey และสร้างการสื่อสารผ่าน Trigger-Based Campaigns ที่ตอบสนองต่อพฤติกรรมของลูกค้าได้ทันที เช่น เมื่อผู้ใช้งานคลิกลิงก์สินค้า แต่ยังไม่ตัดสินใจซื้อ ระบบสามารถส่งข้อความแบบอัตโนมัติผ่านหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น SMS, Email, Push Notification หรือแม้กระทั่งโฆษณาบนแพลตฟอร์ม Social Media อย่าง LINE, Facebook, Instagram และ Twitter ได้แบบทันที ช่วยเสริมพลังให้กับแคมเปญที่เกาะกระแสให้ตรงจังหวะมากที่สุด

    จะเห็นได้ว่า Marketing Automation ไม่เพียงสนับสนุน Real-Times Marketing ให้เกิดขึ้นจริง แต่ยังช่วยยกระดับผลลัพธ์ให้เหนือความคาดหมายอีกด้วย สำหรับแบรนด์ที่อยากคว้าโอกาสจากทุกกระแสที่เกิดขึ้นอย่างทันท่วงที การลงทุนในระบบ Automation, CRM หรือ CDP จึงเป็นทางเลือกที่ไม่ควรมองข้าม

    และถ้าคุณกำลังมองหาพาร์ตเนอร์ที่เข้าใจทั้งกลยุทธ์และเทคโนโลยีเพื่อยกระดับการตลาดให้ทันยุค ConnectX พร้อมช่วยให้คุณวางระบบ Automation ที่ตอบโจทย์ธุรกิจได้แบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการวาง Customer Journey, การออกแบบแคมเปญ Hyper-Personalization หรือการจัดการฐานข้อมูลลูกค้าให้พร้อมต่อยอดสู่ความสำเร็จในโลกการตลาดที่เปลี่ยนแปลงทุกวัน

    ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

    *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

      Yearly Budget

      How do you know us?

      Marketing Automation คืออะไร ทำไมแบรนด์ยุคนี้ถึงขาดไม่ได้

      marketing-automation

      Marketing Automation หรือ ระบบการตลาดอัตโนมัติ คือการใช้เทคโนโลยีและซอฟต์แวร์ในการส่งข้อความการตลาด ติดตามพฤติกรรมลูกค้า และสร้างแคมเปญที่ Personalized Marketing แบบ Real‑time Marketing ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ Email, SMS, Facebook, LINE, Web Push, Mobile Push, Google Ads รวมถึงจอหน้าร้าน

      แล้วที่สำคัญ ถ้าจะให้ดีในยุคนี้ ก็ต้องตอบสนองได้แบบทันที (Real-time Marketingก็จะช่วยให้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีในยุคดิจิทัลได้ รวมถึงการส่งสิ่งที่ลูกค้าต้องการไปให้ได้ตรงจด ก็อาจจะต้องให้การทำงานร่วมกัน Customer Insight ก็ช่วยให้เราสามารถทำ Personalized Marketing ได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น

      ทำไม Marketing Automation สำคัญต่อธุรกิจยุคดิจิทัล

      1. ตอบโจทย์ความคาดหวังของลูกค้า

        • ลูกค้าปัจจุบันต้องการการสื่อสารที่รวดเร็ว ถูกที่ ถูกเวลา

        • การทำ Real‑time Marketing ช่วยเพิ่มอัตราการเปิด (Engagement) และคลิก (CTR)

      2. ขับเคลื่อนยอดขายด้วย Personalization

        • แคมเปญอัตโนมัติที่อิงพฤติกรรม (Website, Social Media) เพิ่มโอกาสปิดการขาย

        • ลดต้นทุนโฆษณา ด้วยการส่งข้อเสนอให้เฉพาะกลุ่มเป้าหมายจริง

      3. ประหยัดเวลาและทรัพยากร

        • ลดงานซ้ำซ้อน เมื่อตั้ง Workflow เอาไว้ ระบบจะส่งข้อความแทนทีมงานอัตโนมัติ

        • ทีมการตลาดโฟกัสที่กลยุทธ์และครีเอทีฟมากขึ้น

      4 ฟีเจอร์หลักของ Marketing Automation

      1. Omnichannel Real‑time

      รวมทุกช่องทาง (Online & Offline) ให้เชื่อมกันแบบ Seamless Customer Experience

      ตัวอย่าง: ลูกค้าดูลิปสติกบนเว็บ → ได้ส่วนลดทางอีเมล → พนักงานหน้าร้านแนะนำสินค้าตามโค้ดนั้น → ปิดการขาย

      2. Audience Segmentation

      แบ่งกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรม (Lead Scoring) เพื่อส่งแคมเปญแบบเจาะจง

      ตัวอย่าง: แยกลูกค้าที่คลิกดูสินค้า >5 ครั้ง → ส่ง Email โค้ดส่วนลด + แถมของแถมตรงกลุ่ม

      3. Customer Journey Automation

      กำหนดเส้นทางลูกค้า (Customer Journey) ตั้งแต่การเป็น Lead จนถึง Loyal Customer

      ตัวอย่าง:

      • ส่ง Web Push แจ้งโปรโมชั่น →

      • ถ้าไม่สนใจ ยิง Ads ตาม retargeting →

      • หากคลิกรับโปร → ส่ง SMS ยืนยันอัตโนมัติ

      4. Social Media Connect & Live Chat

      รวมทุกแชทจาก Facebook, LINE@, Instagram, Pantip, เว็บไซต์ เข้าหน้าจอเดียว พร้อม AI Chatbot

      ตัวอย่าง: แอดมินเห็นทุกการ Mention รวดเดียว ไม่พลาดดราม่า ตอบ Real‑time แล้วส่งต่อฝ่ายบริการ

      ใช้ Marketings Automation อย่างไรให้ได้ผลจริง?

      การใช้ระบบ Marketing Automation ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ใช่แค่การติดตั้งเครื่องมือแล้วจบ แต่ต้องอาศัยการวางแผนที่ดีและเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าอย่างลึกซึ้ง:

      ✅ 1. เริ่มจากการรู้จักลูกค้า (Customer Insight)

      ใช้ Customer Data Platform (CDP) หรือระบบ CRM เพื่อรวบรวมข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าในทุกช่องทาง เช่น การเข้าชมเว็บไซต์, ประวัติการซื้อ, การโต้ตอบผ่าน Social Media ฯลฯ

      ✅ 2. ออกแบบเส้นทางลูกค้า (Customer Journey Mapping)

      วาง Flow ให้ชัดเจนว่า ลูกค้าจะได้รับข้อความอะไร เมื่อไร และจากช่องทางใด เช่น:

      • ลูกค้าใหม่ → ได้รับ Welcome Email

      • ลูกค้าไม่เปิด Email ภายใน 3 วัน → ส่งข้อความทาง LINE

      • ลูกค้าซื้อแล้ว → ได้รับคูปองส่วนลดครั้งต่อไป

      ✅ 3. ทดสอบและปรับแต่งอย่างสม่ำเสมอ

      ใช้ A/B Testing ทดสอบข้อความ, รูปภาพ หรือเวลาส่งแคมเปญ แล้ววัดผลด้วย Conversion Rate และ ROI เพื่อพัฒนาแคมเปญให้แม่นยำยิ่งขึ้น

      ข้อผิดพลาดที่พบบ่อยในการใช้ Marketings Automation

      • ❌ ส่งข้อความซ้ำซ้อน หรือถี่เกินไปจนลูกค้ารู้สึกรำคาญ

      • ❌ ใช้ข้อมูลลูกค้าไม่ถูกต้อง หรือไม่มีการอัปเดตข้อมูล

      • ❌ ไม่มีการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น ต้องการยอดขาย, เพิ่ม engagement หรือสร้าง brand awareness

      ประโยชน์ของ Marketings Automation

      • เพิ่ม Conversion Rate: ข้อความตรงกลุ่ม เพิ่มโอกาสปิดการขาย

      • ปรับปรุง Customer Experience: ลูกค้าได้รับประสบการณ์ต่อเนื่อง

      • ลดค่าใช้จ่ายโฆษณา: ยิง Ads เฉพาะกลุ่มที่มีโอกาสสูง

      • เก็บข้อมูลเชิงลึก: วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า สร้างกลยุทธ์ระยะยาว

      ขั้นตอนเริ่มต้นใช้งาน Marketings Automation

      1. กำหนดเป้าหมาย (Goals & KPIs)

      2. เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้า (CDP/CRM Integration)

      3. สร้าง Workflow & Campaign

      4. ทดสอบ (A/B Testing)

      5. ติดตามและปรับปรุง (Analytics & Optimization)

      ทำไมต้องเลือก Connect X Marketing Platform

      Connect X มอบครบทั้ง

      • CDP: รวมข้อมูลลูกค้า 360°

      • Marketings Automation: ตั้งค่า Omnichannel & Personalization ได้ทันที

      • CRM & PDPA‑Ready: รองรับการใช้งานในไทยและคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

      สรุป: Marketing Automation คือกุญแจสู่ความสำเร็จของธุรกิจยุคใหม่

      ระบบการตลาดอัตโนมัติไม่ใช่แค่ “เครื่องมือ” แต่คือ กลยุทธ์ทางการตลาดที่ช่วยให้แบรนด์เข้าใจลูกค้า สื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ และเปลี่ยนข้อมูลเป็นยอดขายได้จริง

      Marketing Automation ช่วยให้ธุรกิจสามารถ…

      • 📈 ขยายยอดขายและลูกค้าใหม่อย่างแม่นยำ

      • 🔁 สร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าเดิม

      • ⏱ ลดภาระงานซ้ำซ้อนของทีมการตลาด

      • 💡 วัดผลทุกแคมเปญแบบเรียลไทม์

       

      ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

      *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Tranformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (Mar tech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ


        Yearly Budget

        How do you know us?

        เจาะลึก 4 ข้อดีของ การตลาดอัตโนมัติ Marketing Automation ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต

        4-ข้อดี-การตลาดอัตโนมัติ-Marketing-Automation-มีอะไรบ้าง

        เจาะลึก 4 ข้อดีของ การตลาดอัตโนมัติ Marketing Automation ที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโต

        หลายคนอาจสงสัยว่า Marketing Automation มีอะไรบ้าง และทำไมธุรกิจยุคใหม่ถึงให้ความสำคัญกับการใช้ระบบนี้มากขึ้น คำตอบคือ Marketing Automation ไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือส่งอีเมลอัตโนมัติ แต่เป็นโซลูชันครบวงจรที่ช่วยให้แบรนด์สื่อสารกับลูกค้าได้แม่นยำ มีประสิทธิภาพ และใช้เวลาน้อยลงกว่าที่เคย ในบทความนี้ Connect X จะพาไปทำความรู้จักกับ Marketing Automation มากขึ้นกันค่ะ

        Marketing Automation คืออะไร?

        Marketing Automation คือ เทคโนโลยีที่ช่วยให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจกรรมทางการตลาดได้แบบอัตโนมัติ โดยไม่ต้องใช้แรงงานคนในทุกขั้นตอน ช่วยลดเวลาการทำงานซ้ำ เพิ่มความแม่นยำในการสื่อสาร และเปิดโอกาสให้ทีมงานสามารถโฟกัสกับกลยุทธ์ที่ซับซ้อนหรือสร้างสรรค์มากขึ้น

        ระบบนี้ทำงานผ่านการตั้งค่า “กฎ” หรือ “เงื่อนไข” ล่วงหน้า เช่น การส่งอีเมลอัตโนมัติเมื่อมีผู้สมัครรับข่าวสาร การติดตามผู้ที่เคยเข้าชมหน้าเว็บไซต์ หรือการส่งโปรโมชันให้เฉพาะกลุ่มลูกค้าที่แสดงความสนใจในผลิตภัณฑ์บางประเภท สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยที่ทีมไม่ต้องคอยกดส่งเองในแต่ละครั้ง

        เป้าหมายของ Marketing Automation

        แม้หลายคนจะเข้าใจว่า Marketing Automation มีไว้เพื่อ “ประหยัดเวลา” แต่ความจริงแล้ว ระบบนี้มีบทบาทลึกกว่านั้น เพราะมันช่วยให้ธุรกิจสามารถ:

        • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง

        • ส่งสารที่ตรงกับความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล

        • ติดตามและวิเคราะห์พฤติกรรมแบบ Real-Time

        • วัดผลลัพธ์ของแต่ละแคมเปญได้อย่างแม่นยำ

        • ปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วโดยอิงจากข้อมูลจริง

        ช่องทางที่รองรับ Marketing Automation

        ระบบ Marketing Automation สามารถทำงานข้ามแพลตฟอร์มอย่างมีประสิทธิภาพ โดยครอบคลุมช่องทางสำคัญ เช่น:

        • Email Marketing: ส่งจดหมายข่าว โปรโมชัน หรือแคมเปญเฉพาะกลุ่มแบบอัตโนมัติ

        • SMS Marketing: ส่งข้อความสั้นเพื่อกระตุ้นการกลับมาซื้อ หรือแจ้งเตือนลูกค้าในจังหวะสำคัญ

        • Line OA / Facebook Messenger: สื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางที่พวกเขาใช้งานจริง

        • Website / App Trigger: ตั้งเงื่อนไขให้ส่งข้อมูลหรือติดตามลูกค้าจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นบนเว็บไซต์ เช่น การคลิกปุ่ม การหยุดดูสินค้าบางรายการ หรือการไม่กดสั่งซื้อภายในระยะเวลาที่กำหนด

        ประโยชน์ของ Marketing Automation ต่อธุรกิจ

        การใช้ Marketing Automation อย่างมีระบบ ช่วยให้แบรนด์สามารถบริหารต้นทุนด้านเวลาและทรัพยากรบุคคลได้ดีขึ้น ทั้งยังช่วยลดข้อผิดพลาดในการสื่อสารกับลูกค้า และสร้างความต่อเนื่องในทุกแคมเปญโดยไม่ขาดช่วง

        นอกจากนี้ยังเพิ่มประสิทธิภาพในการทำการตลาดแบบ Personalized Marketing ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของประสบการณ์ลูกค้าในยุคดิจิทัล เพราะลูกค้ายุคใหม่ไม่ได้คาดหวังแค่ “ได้รับข้อความ” แต่คาดหวังว่า “ข้อความต้องตรงใจ” และ “ส่งมาในเวลาที่เหมาะสม”

        ฟังก์ชันหลักของ การตลาดอัตโนมัติ ทำอะไรได้บ้าง?

        • กำหนดกลุ่มเป้าหมายอัตโนมัติตามพฤติกรรมลูกค้า (Segmentation)

        • สร้าง Journey หรือ Flow การสื่อสารที่แตกต่างกันตามกลุ่ม

        • ตั้งเวลาและเงื่อนไขการยิงแคมเปญแบบแม่นยำ (Trigger-based Marketing)

        • ติดตามผลการสื่อสารแบบ Real-Time พร้อมระบบรายงานในตัว

        • เชื่อมต่อกับระบบ CRM หรือ CDP เพื่อเพิ่มคุณภาพข้อมูล

        เมื่อเครื่องมือเหล่านี้ถูกนำมาใช้ร่วมกันอย่างเหมาะสม ธุรกิจจะสามารถสื่อสารกับลูกค้าได้ใน “จังหวะที่ใช่” ด้วย “เนื้อหาที่ตรงใจ” โดยไม่ต้องทำงานซ้ำซ้อนหรือเสียเวลาไปกับงานที่ไม่สร้างมูลค่า

        4 ข้อดีของการใช้เครื่องมือ การตลาดอัตโนมัติ Marketing Automation มีอะไรบ้าง

        1. เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ลดเวลาทำงานซ้ำ

        หนึ่งในข้อดีหลักของการใช้ Marketing Automation คือความสามารถในการช่วยลดภาระงานซ้ำซ้อนและงานที่ต้องทำตามรอบเวลา ระบบสามารถตั้งค่าการทำงานให้เป็นแบบอัตโนมัติ ทำให้ไม่จำเป็นต้องอาศัยแรงงานคนในทุกขั้นตอนอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารกับลูกค้า การตั้งแคมเปญ หรือการติดตามผลลัพธ์ สิ่งนี้ช่วยให้ทีมสามารถจัดสรรเวลาและทรัพยากรไปใช้กับงานที่สร้างมูลค่ามากขึ้น เช่น การวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ การออกแบบประสบการณ์ผู้ใช้ หรือการวางแผนทางการตลาดเชิงลึก ส่งผลให้การทำงานทั้งระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น และต้นทุนทรัพยากรโดยรวมลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

        2. เจาะกลุ่มเป้าหมายและทำ Personalized Marketing ได้ลึกกว่า

        Marketing Automation ไม่ได้เพียงแค่ส่งข้อความอัตโนมัติ แต่เป็นเครื่องมือที่สามารถรวบรวมและประมวลผลข้อมูลลูกค้าอย่างละเอียดในทุกขั้นตอน ตั้งแต่พฤติกรรมการใช้งานไปจนถึงรูปแบบการตอบสนองต่อสื่อสารการตลาด ด้วยข้อมูลเชิงลึกนี้ ธุรกิจสามารถแบ่งกลุ่มลูกค้าได้แม่นยำยิ่งขึ้น และสร้างประสบการณ์การตลาดที่ปรับแต่งตามความต้องการเฉพาะบุคคลได้จริง การสื่อสารจึงไม่ใช่แค่การกระจายข้อความแบบกว้าง แต่เป็นการสื่อสารที่ตรงกับความต้องการ ความสนใจ และความพร้อมของแต่ละคน ช่วยเพิ่มความสัมพันธ์และความผูกพันระหว่างแบรนด์กับลูกค้าในระยะยาว

        3. เพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างลีดและเปลี่ยนเป็นยอดขาย

        ระบบ Marketing Automation ช่วยให้ธุรกิจสามารถจัดการกับโอกาสทางการขายได้ดีขึ้น ผ่านการตรวจสอบและตอบสนองต่อพฤติกรรมของผู้สนใจในแบบเรียลไทม์ โดยไม่พลาดจังหวะที่เหมาะสมสำหรับการเปลี่ยนลีดให้เป็นลูกค้าจริง อีกทั้งยังสามารถสร้างกระบวนการเลี้ยงดู (nurturing) กลุ่มเป้าหมายอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความคุ้นเคย ความเชื่อมั่น และแรงจูงใจในการตัดสินใจซื้อ ด้วยกระบวนการที่แม่นยำและต่อเนื่องนี้ ทำให้ประสิทธิภาพในการปิดการขายเพิ่มขึ้น พร้อมทั้งลดช่องว่างของลีดที่ตกหล่นหรือถูกมองข้ามไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

        4. วิเคราะห์ผลและวัด ROI ได้แบบเรียลไทม์

        Marketing Automation ไม่ใช่แค่เครื่องมือส่งสาร แต่ยังทำหน้าที่เป็นระบบวิเคราะห์ผลลัพธ์ที่มีความละเอียดและแม่นยำสูง ธุรกิจสามารถเห็นข้อมูลเชิงสถิติแบบเรียลไทม์จากทุกแคมเปญที่กำลังดำเนินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นประสิทธิภาพของการส่งข้อความ ผลลัพธ์ของกลยุทธ์ที่ใช้ หรือแนวโน้มพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละกลุ่ม การวัดผลเช่นนี้ทำให้สามารถตัดสินใจปรับกลยุทธ์ได้อย่างรวดเร็ว ตรงจุด และมีข้อมูลสนับสนุนอยู่เสมอ ส่งผลให้ ROI ของการทำการตลาดดีขึ้นต่อเนื่อง และงบประมาณถูกใช้อย่างคุ้มค่า

        พร้อมเริ่มใช้งานเครื่องมือ การตลาดอัตโนมัติ Marketing Automation แบบครบวงจรหรือยัง?

        ConnectX พาคุณไปไกลกว่าคำว่า “อัตโนมัติ” ด้วยแพลตฟอร์มที่รวม Marketing Automation และ Customer Data Platform (CDP) เข้าด้วยกัน ช่วยให้คุณวางแผนแคมเปญ วิเคราะห์พฤติกรรม และส่งข้อความ “ที่ใช่” ใน “เวลาที่เหมาะสม” ได้ง่ายกว่าที่เคย

        ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

        *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

          Yearly Budget

          How do you know us?

          CDP Platform: 5 ข้อดีและประโยชน์ของที่ธุรกิจยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม

          CDP-Platform

          5 ข้อดีและประโยชน์ของ CDP Platform ที่ธุรกิจยุคใหม่ไม่ควรมองข้าม

          ในยุคที่ข้อมูลคือทรัพยากรสำคัญของธุรกิจ การเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งและใช้ข้อมูลให้เกิดประโยชน์สูงสุดเป็นหัวใจสำคัญของการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ หนึ่งในเครื่องมือที่กำลังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องคือ CDP ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากหลายแหล่งให้มาอยู่ในศูนย์กลางเดียว พร้อมจัดโครงสร้างข้อมูลให้ใช้งานได้ทันที

          แพลตฟอร์มประเภทนี้มีความแตกต่างจากระบบ CRM หรือ DMP อย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากสามารถรวบรวมข้อมูลแบบ first-party data ได้อย่างครบถ้วน ทั้งข้อมูลพฤติกรรมจากเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย อีเมล หรือแม้แต่จุดสัมผัสหน้าร้าน โดยข้อมูลเหล่านี้จะถูกนำมาประมวลผลและวิเคราะห์แบบเรียลไทม์ ช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้แบบเจาะลึก

          มาดูกันว่า 5 ข้อดีหลักที่ทำให้ธุรกิจจำนวนมากตัดสินใจใช้งานแพลตฟอร์มนี้คืออะไรบ้าง:

          1. เจาะลึกกลุ่มเป้าหมายด้วยการแบ่งเซกเมนต์อย่างแม่นยำด้วย CDP Platform

          CDP สามารถรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากหลากหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย หรือแอปพลิเคชัน แล้วนำมาประมวลผลเพื่อแบ่งกลุ่มลูกค้าออกเป็นเซกเมนต์ที่ชัดเจน เช่น กลุ่มที่ซื้อซ้ำบ่อย กลุ่มที่มีแนวโน้มเลิกใช้งาน หรือกลุ่มที่มีศักยภาพในการอัปเซลล์

          เมื่อเข้าใจว่าลูกค้าแต่ละกลุ่มมีพฤติกรรมและความต้องการที่แตกต่างกัน ธุรกิจสามารถออกแบบเนื้อหา แคมเปญ และโปรโมชันให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยเพิ่มอัตราการตอบสนอง (Engagement Rate) และโอกาสในการปิดการขายอย่างมีนัยสำคัญ

          2. การตลาดแบบ Omni-Channel เป็นเรื่องง่าย

          ในยุคที่ลูกค้าใช้งานหลายแพลตฟอร์มพร้อมกัน การทำให้ประสบการณ์ของลูกค้าบนแต่ละช่องทางมีความสอดคล้องกันคือสิ่งสำคัญ CDP ช่วยให้แบรนด์สามารถเชื่อมโยงข้อมูลจากอีเมล Facebook Instagram LINE เว็บไซต์ หรือแม้แต่ POS หน้าร้านไว้ในระบบเดียว

          การมีมุมมองแบบ 360 องศาต่อพฤติกรรมลูกค้า ทำให้สามารถส่งข้อความหรือข้อเสนอที่เกี่ยวข้องได้ถูกที่ ถูกเวลา และบนช่องทางที่ลูกค้าชอบ ไม่ว่าจะเป็นการแจ้งเตือนผ่านแอป ส่งอีเมล หรือส่งคูปองส่วนลดทางไลน์ เพิ่มโอกาสให้แบรนด์สื่อสารได้อย่างต่อเนื่องและไม่ขาดตอน

          3. CDP Platform เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน ด้วยระบบอัตโนมัติ

          CDP ช่วยลดภาระของทีมงานผ่านฟีเจอร์การทำงานอัตโนมัติ เช่น การกำหนด Workflow ในการส่งข้อความอัตโนมัติ เมื่อมีลูกค้าเข้ามาในเว็บไซต์ หรือการตั้งเงื่อนไขเพื่อเรียกใช้แคมเปญเมื่อเกิดเหตุการณ์เฉพาะ เช่น มีการเพิ่มสินค้าในตะกร้าแต่ไม่ชำระเงิน

          การจัดการงานซ้ำ ๆ แบบอัตโนมัติช่วยลดความผิดพลาด และประหยัดเวลาของทีมการตลาด ทำให้สามารถนำทรัพยากรไปใช้กับการคิดเชิงกลยุทธ์ เช่น การออกแบบประสบการณ์ลูกค้าหรือพัฒนาคอนเทนต์ที่สร้างมูลค่าได้มากกว่า

          4. ข้อมูลคุณภาพสูงและแม่นยำ

          ข้อมูลที่ได้รับจาก CDP ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลที่ได้จากลูกค้าโดยตรง (First-party data) ไม่ว่าจะเป็นพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ ประวัติการสั่งซื้อ หรือการตอบแบบสอบถาม ซึ่งถือเป็นข้อมูลที่มีความน่าเชื่อถือและแม่นยำสูง

          เมื่อธุรกิจมีฐานข้อมูลที่เชื่อถือได้ ก็สามารถใช้ในการวิเคราะห์เชิงลึก เช่น การคาดการณ์ยอดขาย การประเมินประสิทธิภาพของแคมเปญ หรือการทำ A/B Testing เพื่อหาสิ่งที่เวิร์กจริงสำหรับกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมั่นใจ ลดการตัดสินใจที่อิงแค่สัญชาตญาณ

          5. ยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น

          เมื่อเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้งผ่านข้อมูลที่รวบรวมไว้ใน CDP ธุรกิจสามารถส่งมอบประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคลได้ในทุกจุดสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นแนะนำสินค้าที่สอดคล้องกับความสนใจของลูกค้าในหน้าเว็บไซต์ การส่งอีเมลโปรโมชันที่เหมาะกับความต้องการ หรือแม้แต่ปรับหน้าตาแอปให้ตรงกับพฤติกรรมการใช้งาน

          ลูกค้าจะรู้สึกว่าแบรนด์เข้าใจและใส่ใจในความต้องการส่วนบุคคล ทำให้เกิดความประทับใจ ความไว้วางใจ และความภักดีในระยะยาว ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืนในยุคที่การแข่งขันสูง

          CDP กับการสร้างทีมการตลาดยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล

          นอกเหนือจากประโยชน์ด้านกลยุทธ์และเทคโนโลยีแล้ว CDP ยังช่วยเปลี่ยนวิธีคิดและการทำงานของทีมการตลาดในยุคปัจจุบัน โดยการเปิดโอกาสให้ทีมทำงานแบบ Cross-Functional ร่วมกับทีมอื่น ๆ เช่น ทีมขาย ทีมบริการลูกค้า หรือแม้แต่ทีมพัฒนาโปรดักต์ ด้วยข้อมูลชุดเดียวกันที่เป็นจริงและอัปเดตตลอดเวลา

          สิ่งนี้ช่วยลดความสับสนในการตีความข้อมูล สร้างความเข้าใจร่วม และยกระดับการทำงานแบบ Collaborative ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ส่งผลให้ทั้งองค์กรสามารถตอบสนองต่อลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และตรงจุดมากกว่าเดิม

          ทำไม CDP Platform ถึงเป็นเครื่องมือสำคัญในยุคดิจิทัล?

          ในโลกที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล การมีระบบบริหารจัดการข้อมูลลูกค้าอย่างครอบคลุมช่วยให้ธุรกิจสามารถวางกลยุทธ์ได้อย่างแม่นยำและมั่นใจ CDP ยังช่วยให้ทุกทีมในองค์กร ไม่ว่าจะเป็นการตลาด ฝ่ายขาย หรือฝ่ายบริการลูกค้า สามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้อย่างสอดคล้อง

          นอกจากนี้ ยังช่วยให้สามารถพัฒนาแคมเปญใหม่ได้รวดเร็ว ทดสอบแนวคิดใหม่ ๆ ได้บ่อยขึ้น และตอบสนองต่อพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          อีกหนึ่งประโยชน์ที่สำคัญคือการเก็บข้อมูลแบบต่อเนื่อง ทำให้สามารถวิเคราะห์แนวโน้มของลูกค้าในระยะยาว และสร้างโมเดลคาดการณ์พฤติกรรมในอนาคตได้แม่นยำ ซึ่งส่งผลต่อการเพิ่ม Conversion, ลด Churn และสร้างรายได้อย่างยั่งยืน

          หากคุณกำลังมองหาเครื่องมือเพื่อยกระดับกลยุทธ์การตลาด เพิ่มยอดขาย และเสริมความภักดีของลูกค้าในยุคดิจิทัล CDP คือคำตอบ

          ConnectX พร้อมเป็นพาร์ตเนอร์ของคุณในการวางระบบ CDP ที่เหมาะกับธุรกิจทุกขนาด พร้อมบริการให้คำปรึกษาเพื่อให้คุณเติบโตได้อย่างมั่นคงในโลกที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

          ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

          *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

            Yearly Budget

            How do you know us?

            ทำไม Personalize Marketing ถึงช่วยให้แบรนด์รู้ใจลูกค้ายุคใหม่?!

            personalize-marketing

            การแข่งขันทางธุรกิจที่สูงขึ้นเรื่อยๆ และผู้บริโภคยุคนี้มีความคิดแบบใหม่ หากแบรนด์ของท่านไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์หรือความแตกต่างได้ อีกไม่นานธุรกิจของท่านอาจถูกทิ้งไว้ข้างหลัง “Personalize Marketing” จึงมีบทบาทอย่างมากในปัจจุบัน

            Personalize Marketing คืออะไร?

            การตลาดเฉพาะบุคคล หรือ Personalized Marketing คือ การเสนอสินค้าและบริการ โปรโมชัน สิทธิพิเศษ และคอนเทนต์ ที่เจาะจงไปตามความต้องการของลูกค้าแต่ละบุคคล ถ้าให้พูดง่ายๆ ก็คือการทำให้ลูกค้าคนดังกล่าวรู้เหมือนได้เป็นคนพิเศษนั่นเอง

            แบรนด์จะรู้ใจลูกค้าได้อย่างไร?

            Personalized Marketing ไม่ใช่การเดาใจลูกค้าแต่อย่างใดนะครับ แต่เป็นการเก็บรวบรวมและวิเคราะห์ “Data” หรือข้อมูลต่างๆ ของลูกค้า และนำมาทำการตลาด ไม่ว่าจะเป็นข้อมูล Cookies จากการท่องเว็บไซต์ แบบฟอร์มที่กรอก หรือการสมัครสมาชิก ข้อมูลที่มียกตัวอย่างเช่น ชื่อ ที่อยู่ ความสนใจ พฤติกรรมการบริโภค หรือประวัติการติดต่อกับแบรนด์ เป็นต้น

            ข้อมูลที่กล่าวไปข้างต้นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก เพื่อให้นักการตลาดสามารถออกแบบแคมเปญใหม่ๆ ให้ตรงใจลูกค้ายุคปัจจุบันได้มากที่สุด

            มีอะไรที่ช่วยให้เก็บข้อมูลได้อีก?

            นอกจากการเก็บข้อมูลในแบบข้างต้นแล้ว ในยุคใหม่นี้ก็ได้มีการประยุกต์ใช้ AI หรือ Machine Learning เข้ามาช่วยเก็บและประมวลผลข้อมูล รวมไปถึงแพลตฟอร์ม CDP (อย่าง Connect X) และระบบ CRM ที่เข้ามาช่วยให้การทำ Personalized Marketing มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิมอีกด้วย

            ทำไมต้องทำการตลาดแบบ Personalize Marketing?

            การตลาดรูปแบบเดิมๆ เช่น การติดโฆษณาบนป้ายบิลบอร์ด (Billboard) การโทรไปขายตรง หรือโฆษณาแบบแมส (Mass Marketing)  มีผลวิจัยได้แสดงให้เห็นมากกว่า 60% ของผู้บริโภครู้สึกเบื่อหน่ายในวิธีการตลาดเหล่านี้ ที่นำเสนอข้อความโฆษณาแบบซ้ำๆ และกว้างๆ เนื่องจากสิ่งที่ลูกค้าในปัจจุบันต้องการ คือ การให้แบรนด์ใส่ใจต่อลูกค้าแต่ละคนมากกว่า

            อีกทั้งจากผลการสำรวจของ Epsilon ที่สอบถามผู้บริโภค 1,000 คน อายุระหว่าง 18-64 ปี พบว่ากว่า 80% มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าและบริการกับแบรนด์ที่สามารถมอบประสบการณ์แบบส่วนตัวได้

            ประโยชน์ของการทำ Personalize Marketing

            กลยุทธ์การทำการตลาดแบบเฉพาะบุคคล จะสามารถสร้างผลดีให้กับแบรนด์ในระยะยาวได้อย่างยั่งยืน เนื่องจากผลการวิเคราะห์ข้อมูลที่ได้นำมาใช้นั้น เป็นแบบ Real-Time อยู่เสมอ ทำให้นักการตลาดสามารถสื่อคอนเทนต์ต่างๆ ที่ตรงใจ เสนอสินค้า และบริการให้ผู้บริโภคได้แบบคนรู้ใจ รวมถึงมอบสิทธิพิเศษได้อย่างเหมาะสม ซึ่งประโยชน์ที่แบรนด์จะได้จาก Personalized Marketing มีดังนี้

            • เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ด้วยคอนเทนต์ที่ตรงใจและขายสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ ลดโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนใจไปใช้สินค้าและบริการจากคู่แข่ง
            • สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าปัจจุบัน ให้กลายเป็นลูกค้าภักดี (Loyal Customer) และสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ได้ในระยะยาว
            • สร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้น เมื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าได้ตรงกับที่ต้องการ
            • ใช้ Data คาดการณ์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ในอนาคต
            • มอบประสบการณ์ดีๆ ที่น่าประทับใจให้กับลูกค้า สร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์

            ทำ Personalize Marketing บน Connect X

            อย่างที่ทราบกันดี Connect X เป็น CDP (Customer Data Platform) ที่มาพร้อมกับระบบ Marketing Automation ที่จะช่วยให้แบรนด์ของท่านสามารถทำ Personalized Marketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำการตลาดออนไลน์ได้หลายช่องทาง เช่น Email Personalized Marketing, SMS Personalization, หรือผ่านโซเชียลมีเดียก็ทำได้ สามารถแนบชื่อลูกค้า เพิ่มความเอาใจใส่ได้อีกขั้น

            Connect X สามารถเก็บข้อมูลลูกค้าได้ตั้งแต่ Unknown Data จนเป็น Known จะเป็นลูกค้าหน้าใหม่ก็รู้ใจได้ไม่ยาก หากส่งโปรโมชันไปแล้วลูกค้าไม่สนใจ ก็สามารถตั้งค่าให้ส่งผ่านช่องทางอื่นได้ทันที ผ่านช่องที่หลากหลาย เช่น Line Message, Facebook Message, Email ,SMS เป็นต้น ช่วยให้แบรนด์รู้ถึงข้อมูล Insight เบื้องลึกของลูกค้า สามารถเก็บข้อมูลได้แบบรอบด้าน

            อย่ารอช้าและมา….

            สร้างประสบการณ์ดีๆ ให้ลูกค้าได้แล้ววันนี้ด้วย Connect X Marketing Platform ที่มาพร้อม CDP & Marketing Automation

            Connect X คือ Platform ที่จะเข้ามาช่วยไม่ให้ธุรกิจถูก Digital Disruption ถึงเวลาแล้วที่ทุกธุรกิจจะต้องเริ่ม Connect กับประสบการณ์ของลูกค้า (Customer Experience) แบบไร้รอยต่อด้วย Marketing Platform ที่ไม่เพียงแต่มี Feature เด็ดๆ แต่ยังสามารถปรับแต่ง Platform Customize ให้เข้ากับแบรนด์ที่มีความแตกต่างกันได้ด้วย

            ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

            *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

              Yearly Budget

              How do you know us?

              6 กลยุทธ์ใช้ Marketing Automation Platform ให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ

              Marketing-Automation-Platform

              Connect X จะมาแนะนำ 6 กลยุทธ์ Marketing Automation Platform ที่ธุรกิจควรเลือกใช้ เพราะจะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้อย่างง่ายดาย

              ทุกวันนี้ หลายคนอาจเคยได้ยินคำว่า Marketing Automation  กันมากขึ้น เพราะเป็นรูปแบบการตลาดที่มีการนำมาใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยผลสำรวจพบว่าเกินกว่าครึ่งของธุรกิจแบบ B2B (ประมาณ 53% ของธุรกิจทั้งหมด) ได้มีการใช้ B2B Marketing Automation แล้วในตอนนี้ และอีกกว่า 37% เริ่มวางแผนใช้เครื่องมือดังกล่าวเข้ามาเป็นตัวช่วยให้กับธุรกิจในอนาคตอันใกล้นี้ แต่การตลาดแบบอัตโนมัตินี้ก็มีกลยุทธ์ในรูปแบบต่างๆ ซ่อนอยู่มากมาย แล้วเราจะเลือกใช้กลยุทธ์อะไรบ้างในธุรกิจของเราเพื่อให้เกิดประโยชน์ได้สูงสุด

              วันนี้ Connect X จะพาทุกท่านมารู้จักกับ 6 กลยุทธ์ของการตลาดแบบอัตโนมัติที่เวิร์กสุดๆ ใช้แล้วเห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน เพื่อให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จและก้าวสู่การเป็นผู้นำทางการตลาดได้อย่างรวดเร็ว แต่ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จัก “Marketing Automation” กันก่อนว่าคืออะไร และเหมาะกับธุรกิจประเภทใดบ้าง

              Marketing Automation Platform คืออะไร และเหมาะกับใคร

              Marketing Automation Platforms หรือการตลาดแบบอัตโนมัติ คือเครื่องมือทางการตลาดที่เข้ามาช่วยให้ธุรกิจสามารถเข้าใจลูกค้าได้ตรงจุด สามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการได้มากที่สุด อีกทั้งช่วยให้ลำดับความสำคัญและดำเนินงานด้านการตลาดได้อย่างคล่องตัว เพื่อเพิ่มยอดขายและปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมของลูกค้าในด้านต่างๆ แล้วตอบโต้กลับได้แบบเรียลไทม์ พร้อมนำไปวิเคราะห์ เพื่อพัฒนากิจกรรมทางการตลาด ตลอดจนสินค้าและบริการให้กับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

              การตลาดแบบอัตโนมัติสามารถนำไปใช้กับธุรกิจหลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าทุกประเภทและการให้บริการด้านต่างๆ เช่น การบิน, การโรงแรม, การขนส่ง เป็นต้น ซึ่งครอบคลุมทั้งธุรกิจแบบ B2C (Business-to-Customer) ธุรกิจแบบ B2B (Business-to-Business) และธุรกิจ B2B2C (Business-to-Business-to-Customer) ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจแบบไหน ประเภทอะไรก็สามารถนำ Marketing Automation มาปรับใช้ได้อย่างลงตัว ซึ่งข้อมูลจาก Nucleus Research พบว่าการตลาดแบบดังกล่าวช่วยเพิ่มยอดขายได้ถึง 14.5% พร้อมยังลดค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการตลาดได้ 12.2% เห็นได้ว่า Marketing Automation ช่วยให้ประหยัดเวลาและแรงงาน แต่กลับได้ประโยชน์มากขึ้นกว่าเดิมเป็นเท่าตัว จึงเป็นกุญแจไปสู่ความสำเร็จที่ธุรกิจทั่วโลกเลือกใช้

              [/col]

              6 กลยุทธ์ Marketing Automation Platform ที่ธุรกิจควรเลือกใช้งาน

              เนื่องจากการใช้งาน Marketing Automation มีความซับซ้อน การเลือกกลยุทธ์ทางการตลาดแบบอัตโนมัติ (Marketing Automation Strategy) ที่เหมาะสมจะทำให้ธุรกิจของคุณไม่เสียค่าใช้จ่ายไปอย่างสูญเปล่า พร้อมกับเห็นผลลัพธ์จากการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดย Connect X ขอแนะนำ 5 กลยุทธ์ให้รู้จัก ได้แก่

              • Lead Scoring คือการให้คะแนนลูกค้า เพื่อจัดอันดับให้ Lead หรือผู้เข้าชมเว็บไซต์ มีประโยชน์ในการวิเคราะห์ศักยภาพของผู้เข้าชม ว่าสามารถพัฒนาเป็น “ลูกค้า” ต่อไปได้หรือไม่ และต้องสร้างบทสนทนาแบบไหน เพิ่มแคมเปญการตลาดแบบใด เพื่อปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว โดยจะวัดคะแนนจากกิจกรรมที่เกิด Engagement ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการคลิกลิงก์ การสมัครสมาชิก และการสอบถามข้อมูล เป็นต้น
              • Automated Email Sequences คือระบบการส่งอีเมลแบบอัตโนมัติไปถึงคนที่ใช่ ในเวลาที่เหมาะสม หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการตลาดแบบเฉพาะเจาะจง (Personalized Marketing) เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าเป็นรายบุคคล ด้วยอีเมลที่มีการแนะนำได้ตรงความต้องการ หรือการเสนอโปรโมชันและแคมเปญ เช่น โปรโมชันสำหรับวันเกิดหรือแคมเปญตามเทศกาลสำคัญ เป็นต้น
              • Chatbots คือการตอบข้อความในช่องทางแชทต่างๆ โดยอัตโนมัติด้วยระบบ AI เพื่อให้คำแนะนำกับลูกค้าได้อย่างรวดเร็วทันใจตลอด 24 ชม. ซึ่งจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า นำไปสู่การปิดการขายได้ว่องไวและเพิ่มยอดขายได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถส่งแคมเปญทางการตลาดต่างๆ ด้วยข้อความอัตโนมัติไปสู่ผู้ที่เคยพูดคุยกับธุรกิจหรือร้านค้ามาก่อนได้อีกด้วย
              • Self-Nurturing Content คือการใช้ระบบอัตโนมัติในการจัดการข้อมูลและเชื่อมโยงข้อมูลเข้าด้วยกัน เพื่อให้ผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชม (Lead) เข้าถึงข้อมูลที่ตรงกับความต้องการมากขึ้น ในลักษณะแบบ Personalize เช่น มีผู้คนมาอ่านบทความภายในเว็บ เมื่ออ่านจบแล้วมีการแนะนำบทความถัดไป หรือมีการเชื่อมโยงให้ไปถึงข้อมูลที่ตรงกับความต้องการได้มากขึ้นเรื่อยๆ เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความประทับใจต่อธุรกิจของคุณได้มากยิ่งขึ้น
              • Omni-Channel คือการรวมช่องทางที่ลูกค้าติดต่อเข้ามาไว้ในที่เดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นหน้าร้าน บนเว็บไซต์ หรือบนโซเชียลก็ตาม ทั้งหมดสามารถทำได้ผ่านแพลตฟอร์มเดียว อาทิ แพลตฟอร์ม CRM หรือ CDP ซึ่งเมื่อนำมาผสมผสานกับ Marketing Automation ด้วยแล้ว ธุรกิจจะสามารถสื่อสาร ส่งข่าวประชาสัมพันธ์ แนะนำโปรโมชัน หรือทำกิจกรรมทางการตลาดอื่นๆ ในช่องทางที่ลูกค้าต้องการหรือช่องทางที่ลูกค้าใช่งานเป็นหลักได้ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเข้าหาลูกค้า และมีโอกาสปิดการขายมากกว่าเดิม
              • Trigger Marketing คือกลยุทธ์การตลาดที่นำไปสู่การขายด้วยการกระตุ้นให้เกิดการซื้อ โดยการใช้ระบบอัตโนมัติในการวิเคราะห์และสร้างการโต้ตอบกับผู้เข้าชม (Lead) ที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็นลูกค้าได้ ในลักษณะของการแจ้งเตือนผ่านช่องทางต่างๆ เช่น การส่งข้อความมาเตือนว่ามีการเลือกสินค้าไว้ในรถเข็น การแนะนำโปรโมชันสินค้าที่ใกล้เคียงกับที่เคยซื้อหรือมีความสนใจ รวมทั้งการแจ้งเตือนตามช่วงเวลาที่มีเทศกาลต่างๆ เป็นต้น เพื่อให้ผู้เข้าชม (Lead) และลูกค้าเก่ากลับมาใช้บริการเว็บไซต์อีกครั้ง ซึ่งนำไปสู่การเพิ่มโอกาสในการซื้อสินค้าได้อีกด้วย

              จากที่ได้แนะนำ 6 กลยุทธ์ทางการตลาดแบบอัตโนมัติที่ธุรกิจควรเลือกใช้งานไปแล้วนั้น จะเห็นได้ว่าเป็นสิ่งที่สามารถสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรได้อย่างเห็นผล ตั้งแต่การเพิ่มยอดขาย การเปลี่ยนผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์ (Lead) มาสู่การเป็นลูกค้า การเพิ่มโอกาสในการซื้อ และการสร้างความประทับใจต่อธุรกิจได้ไม่เหมือนใครนั้น จะช่วยให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จและก้าวสู่การเป็นผู้นำทางการตลาดได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการเลือกใช้ Digital Platform ที่มีประสิทธิภาพอย่าง Connect X ที่มาพร้อมกับ CDP และ Marketing Automation จะช่วยให้สามารถจัดการธุรกิจได้เป็นระบบ สามารถวิเคราะห์และวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดที่เหมาะสม และสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าได้มากขึ้น เพื่อให้คุณสามารถไปถึงเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว

              ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

              *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                Yearly Budget

                How do you know us?

                โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า จะส่งผลดีต่อแบรนด์อย่างไร?

                Customer-data-platform-โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า

                โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า เป็นสิ่งที่นักการตลาดยุคดิจิทัลขาดไม่ได้ สิ่งนี้มีผลดีต่อแบรนด์อย่างไร? Connect X จะมาบอกให้คุณได้รู้…

                ทำการตลาดต้องอาศัย “ข้อมูล”

                ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ข้อมูลถือเป็นส่วนสำคัญในการทำการตลาดให้ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอายุ เพศ พฤติกรรม หรือความสนใจ ซึ่งทั้งหมดล้วนสามารถนำมาใช้ในการวิเคราะห์ การออกแบบสินค้าและบริการ การทำโปรโมชันต่าง ไปจนถึงการสร้าง Marketing Campaign ที่เหมาะจะดึงดูดผู้บริโภค

                รูปแบบการเก็บข้อมูลที่เปลี่ยนไป

                เมื่อก่อนที่สื่อออนไลน์ต่างๆ ยังไม่เกิดขึ้น การเก็บข้อมูลนั้นทำได้ยาก เพราะต้องอาศัยการลงพื้นที่ แจกแบบสำรวจ ซึ่งผู้คนมักปฏิเสธ ส่วนการสัมภาษณ์ข้อมูลก็ต้องทำแบบ Face-to-Face ใช้เวลาเก็บรวบรวมนาน และการเก็บข้อมูลมากๆ ก็มักทำได้อย่างไม่เป็นระเบียบ

                ในปัจจุบัน “โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า” อย่างระบบ CRM (Customer Relationship Management) และ CDP (Customer Data Platform) จึงเป็นเครื่องมือที่คุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างมาก เพราะสามารถจะรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากช่องทางออนไลน์ต่างๆ เช่น Facebook, Instagram, LINE หรือเว็บไซต์ต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าจะทำการจัดเก็บรายละเอียดต่างๆ ได้แบบอัตโนมัติ

                โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า ช่วยแบรนด์อย่างไร?

                ข้อดีของโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าต่อแบรนด์นั้นมีมากมาย ขึ้นอยู่กับรูปแบบการทำธุรกิจและวิธีการนำข้อมูลไปใช้ในเชิงการตลาด ซึ่ง Connect X ขอยกตัวอย่างข้อดีมาให้เจ้าของธุรกิจทุกท่านได้ทราบ ดังนี้

                1. เก็บข้อมูลได้เป็นระเบียบผ่านโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า

                เมื่อแบรนด์เติบโตและเป็นที่รู้จักมากขึ้น ฐานข้อมูลลูกค้าก็จะขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าจะสามารถช่วยในการจัดเก็บข้อมูลต่างๆ ได้อย่างเป็นระเบียบ จัดแบ่งข้อมูลตามกลุ่มลูกค้า และ Profile รายบุคคลได้

                CDP ของ Connect X มีฟีเจอร์ Customer Single View ที่จะทำให้นักการตลาด สามารถสื่อสารไปยังลูกค้าแต่ละคนได้แบบแม่นยำ ข้อมูลไม่กระจัดกระจาย ไม่ว่าลูกค้าจะติดต่อจากช่องทางไหน หรือรู้จักแบรนด์จาก Ads ไหนก็ตาม และยังผสานประสบการณ์ของลูกค้าได้แบบ Omni-Channel อีกด้วย

                2. รู้ถึงความสนใจและพฤติกรรมลูกค้า

                หลังจากรวบรวมข้อมูลได้อย่างเป็นระเบียบแล้ว โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าจะสามารถแสดงข้อมูลความสนใจและความต้องการของลูกค้าได้ด้วย ซึ่งแบรนด์สามารถนำการวิเคราะห์ส่วนนี้เพื่อทำ Campaign ต่างๆ ได้

                Connect X นั้นมีความพิเศษต่างจากระบบ CDP อื่นๆ เพราะสามารถรู้ข้อมูลเชิงลึกถึงระดับ Insight ด้วยระบบ AI Predictive Lead Scoring ช่วยจัดลำดับลูกค้าที่มีโอกาสซื้อสินค้าสูงที่สุด สามารถทำแคมเปญการตลาดได้แม่นยำยิ่งขึ้น เข้าถึงลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

                3. ทำ Personalized Marketing ได้

                ระบบ CRM ทั่วไปอาจสามารถจัดเก็บได้แค่เพียงข้อมูลพื้นฐาน เพื่อนำไปประกอบการตลาดกับกลุ่มเป้าหมายโดยรวม แต่แพลตฟอร์ม CDP อย่าง Connect X สามารถทำได้มากกว่านั้น เพราะสามารถเก็บและวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึก เปลี่ยน Unknown Customer เป็น Known Customer แม้ลูกค้าจะติดต่อมาจากช่องทางที่ต่างกัน ก็รู้ว่าเป็นคนเดียวกัน

                จะทำ Personalized Marketing เอาใจลูกค้าก็ทำได้ง่ายๆ พร้อมกับระบุชื่อของแต่ละบุคคลได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น SMS Marketing, Email Marketing, หรือจะส่งโปรโมชันพิเศษผ่านโซเชียลและแอปฯ ก็ทำได้ ด้วย Marketing Automation

                4. โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าช่วยวัดผลได้แบบ Real-Time

                อีกหนึ่งความสามารถที่โดดเด่นของโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า คือการวิเคราะห์และวัดผลของการทำการตลาดได้แบบเรียลไทม์ ผู้บริหารสามารถดูข้อมูลพฤติกรรมลูกค้าได้ทันที ตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้น ช่วยประหยัดเวลาและงบประมาณ

                5. ช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า

                เมื่อแบรนด์มีข้อมูลเชิงลึกของลูกค้า การสื่อสารก็จะตรงจุดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น สร้างความสัมพันธ์ระยะยาว (Customer Loyalty) ได้ดีกว่าแบรนด์ที่ไม่มีข้อมูล

                ข้อมูลคือหัวใจของการตลาดยุค Digital Disruption

                โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้ายังมีข้อดีอีกเพียบ หากคุณต้องการทำการตลาดในยุค Digital Distruption นี้ ไม่สามารถขาด “ข้อมูล” ไปไม่ได้เลย และก็ต้องขอย้ำอีกรอบว่า หากธุรกิจของคุณกำลังมองหาเครื่องมือที่จะช่วยเก็บและจัดการข้อมูลที่ครบครัน โปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้า โดยเฉพาะจาก Connect X ก็ถือว่าเป็นคำตอบที่เหมาะสมและคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างมาก

                เลือกโปรแกรมเก็บข้อมูลลูกค้าที่เหมาะกับธุรกิจของคุณวันนี้ แล้วเตรียมพร้อมสู่ความสำเร็จทางการตลาดในอนาคต!

                ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                  Yearly Budget

                  How do you know us?

                  ธุรกิจออนไลน์ต้องรู้! โทษ PDPA และ 5 วิธีรับมือก่อนโดนปรับ

                  โทษ-PDPA

                  ธุรกิจออนไลน์ต้องรู้! โทษ PDPA และ 5 วิธีรับมือก่อนโดนปรับ

                  หลายคนคงเคยเห็นว่าเวลาเข้าเว็บไซต์มักมีป๊อปอัปให้ “ยินยอม” หรือ “ปฏิเสธ” การเก็บข้อมูล เช่น คุกกี้ หรือ Cookies Consent ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล หรือ PDPA กฎหมายที่เน้นการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานออนไลน์

                  ในยุคดิจิทัล “ข้อมูล” คือหัวใจของการตลาด ไม่ว่าจะนำไปใช้วิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า หรือพัฒนาแคมเปญต่าง ๆ การเก็บข้อมูลเหล่านี้ต้อง “ได้รับความยินยอม” อย่างชัดเจน เพราะหากละเมิด อาจเข้าข่ายผิดกฎหมาย PDPA ซึ่งมี โทษทั้งจำและปรับ

                  Connect X ขอสรุปสาระสำคัญเพื่อให้ธุรกิจสามารถใช้ข้อมูลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ต้องกังวลว่าจะถูกฟ้องร้องในอนาคต

                  PDPA คืออะไร?

                  PDPA หรือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 (Personal Data Protection Act) คือกฎหมายที่ออกมาเพื่อปกป้องสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล โดยกำหนดให้ทุกองค์กรที่มีการเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ต้องได้รับ “ความยินยอมโดยชัดแจ้ง” จากเจ้าของข้อมูลก่อนเสมอ

                  ข้อมูลส่วนบุคคลในที่นี้ครอบคลุมตั้งแต่ชื่อ-นามสกุล เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ที่อยู่ IP Address พิกัด GPS ไปจนถึงพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ หรือแม้แต่ประวัติการซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งเป็นข้อมูลที่สามารถระบุตัวตนบุคคลได้โดยตรงหรือโดยอ้อม

                  PDPA ครอบคลุมทั้งองค์กรภายในประเทศไทยและองค์กรต่างประเทศที่ให้บริการกับคนไทย ไม่ว่าจะดำเนินการผ่านช่องทางออนไลน์หรือออฟไลน์ เช่น เว็บไซต์ แอปพลิเคชัน โซเชียลมีเดีย หรือเอกสารกระดาษ

                  เป้าหมายของ PDPA คือการกำหนด “กรอบการใช้ข้อมูล” ให้โปร่งใส เป็นธรรม และควบคุมความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เช่น การส่งต่อข้อมูลโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการใช้ข้อมูลในทางการตลาดโดยเจ้าของข้อมูลไม่รู้ตัว

                  องค์กรใดที่ไม่ปฏิบัติตาม PDPA จะต้องเผชิญกับบทลงโทษที่ชัดเจนทั้งในทางแพ่ง อาญา และทางปกครอง รวมถึงเสี่ยงต่อความเสียหายด้านชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือทางธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ

                  โทษ PDPA หากไม่ปฏิบัติตาม

                  การละเมิด พ.ร.บ. คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ไม่ใช่แค่เรื่องของการทำผิดทางเทคนิค แต่ส่งผลโดยตรงต่อความน่าเชื่อถือของธุรกิจ และอาจสร้างความเสียหายทั้งในเชิงกฎหมายและภาพลักษณ์องค์กรอย่างรุนแรง

                  หากองค์กรใดเก็บ ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลอย่างชัดเจน ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย โดยไม่ว่าจะเป็น ผู้ควบคุมข้อมูล (Data Controller) หรือ ผู้ประมวลผลข้อมูล (Data Processor) ก็มีโทษทางกฎหมายที่ครอบคลุมทั้ง แพ่ง, อาญา และ ทางปกครอง ดังนี้:

                  • โทษทางแพ่ง
                    เจ้าของข้อมูลสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง และอาจมีการเรียกค่าเสียหายเชิงลงโทษ (Punitive Damages) ได้ในกรณีที่องค์กรกระทำโดยเจตนา หรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

                  • โทษทางอาญา
                    กรณีที่มีการนำข้อมูลไปใช้โดยมิชอบ เช่น ขายต่อ ส่งต่อ หรือใช้ในทางที่เจ้าของข้อมูลไม่เคยยินยอม อาจมีโทษจำคุกสูงสุด 1 ปี และ/หรือ ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับเจตนาและผลกระทบที่เกิดขึ้น

                  • โทษทางปกครอง
                    หน่วยงานกำกับดูแลสามารถสั่ง ปรับทางปกครองได้สูงสุด 5 ล้านบาทต่อกรณี โดยไม่จำเป็นต้องรอคำสั่งศาล

                  นอกจากโทษในเชิงกฎหมายแล้ว องค์กรยังเสี่ยงต่อการถูกเปิดเผยชื่อ (Name & Shame) หรือขึ้นบัญชีดำโดยหน่วยงานกำกับดูแล ซึ่งอาจกระทบต่อความเชื่อมั่นจากลูกค้าและพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจ

                  ดังนั้น การเตรียมตัวให้ถูกต้องตั้งแต่ต้น ทั้งด้านนโยบาย กระบวนการ และเครื่องมือที่ใช้ จึงเป็นทางรอดของธุรกิจในยุคที่ “ข้อมูล” คือสินทรัพย์ และ “ความยินยอม” คือเงื่อนไขในการใช้ข้อมูลนั้นอย่างถูกกฎหมาย

                  5 ข้อที่ทุกธุรกิจห้ามพลาด ในการเตรียมตัวก่อน PDPA มีผลบังคับใช้

                  1. สร้าง Awareness ด้าน Data Privacy ให้กับบุคลากรในองค์กร

                  เพราะแทบทุกแผนกอาจมีความเกี่ยวข้องที่ทำให้ต้องใช้งาน เก็บรวบรวม และเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของลูกค้า พนักงานบริษัท บริษัทคู่ค้า (Vendor) บริษัทที่ได้รับการว่าจ้าง (Outsource) ฯลฯ จึงจำเป็นจะต้องมีความตระหนักถึงความสำคัญของนโยบายความเป็นส่วนตัวของข้อมูลส่วนบุคคลเหล่านั้น นอกจากนี้ควรศึกษาข้อมูลและปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA เพราะทุกคนมีความเสี่ยงต่อการที่ข้อมูลส่วนบุคคลที่องค์กรประมวลผลอาจถูกละเมิดร่วมกัน รวมถึงช่วยกันการดำเนินการเพื่อลดความเสี่ยงเหล่านั้นลง

                  2. วางนโยบายความเป็นส่วนตัว Privacy Policy

                  นโยบายดังกล่าวควรครอบคลุมทั้งภายในองค์กร รวมถึงการสร้างเงื่อนไขสำหรับผู้ใช้บริการหรือลูกค้าของเรา ซึ่งองค์กรควรจัดหาเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลหรือ Data Protection Officer: DPO เพื่อช่วยให้คำแนะนำและตรวจสอบการดำเนินงานขององค์กรให้ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA สามารถลดความเสี่ยงได้อีกทางหนึ่ง

                  ในส่วนของนโยบายความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ธุรกิจต้องระบุให้ชัดเจนว่าต้องการเก็บข้อมูลอะไร เพื่อใช้ประโยชน์อะไร มีการส่งต่อข้อมูลให้บริษัทภายนอกหรือไม่ และมีระยะเวลาในการเก็บนานเท่าใด รวมทั้งมีมาตรการในการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวอย่างไรบ้าง พร้อมทั้งทำส่วนการแจ้งเตือนหรือฟอร์มในการสอบถามความยินยอมให้ชัดเจน เช่น บนเว็บไซต์อาจจะเป็น “รูปแบบคุกกี้แบนเนอร์ (Cookie Consent Banner)” โดยระบุเงื่อนไข Cookies Privacy Policy ให้ผู้ใช้งานอ่านและกดยินยอมหรือปฏิเสธ ทำให้เหล่าธุรกิจไม่ต้องห่วงปัญหาที่จะตามมาในเรื่อง PDPA กับเว็บไซต์อีกเลย ส่วนในช่องทางอื่นๆ อย่างแอปพลิเคชันก็สามารถแจ้งเตือนภายในแอป (In-App Notification) เมื่อผู้ใช้งานทำการเปิดแอปพลิเคชันครั้งแรก หรือทำการสมัครสมาชิกได้เช่นกัน

                  3. กำหนดมาตรการในการดูแลข้อมูลส่วนบุคคล

                  เมื่อองค์กรได้มีการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการหรือลูกค้าแล้วนั้น จะต้องจัดการระบบให้มีความปลอดภัย เพราะหากมีการรั่วไหลอาจทำให้เกิดการฟ้องร้องหรือดำเนินคดีได้ โดยอาจเริ่มจากการจัดทำ Access Control & Logging เพื่อตรวจสอบคนที่เข้าถึงข้อมูล และเพิ่ม IT Security เช่น Firewall หรือ Encryption เป็นต้น ควรเตรียมมาตรการในการรับมือเหตุการณ์ฉุกเฉิน เมื่อเกิดเหตุละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลโดยตั้งใจหรือมิได้ตั้งใจ ทางองค์กรจะต้องมีการรายงานผลและแสดงความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทุกกรณี

                  4. สร้างระบบรองรับเมื่อมีการยกเลิกการยินยอมแบบอัตโนมัติ

                  ในเงื่อนไขนโยบายความเป็นส่วนตัว จะต้องมีการระบุว่าเมื่อผู้ใช้งานหรือลูกค้ากดยินยอมให้ใช้ประโยชน์จากข้อมูลแล้ว ลูกค้าสามารถทำการยกเลิกการยินยอมก่อนระยะเวลาที่ธุรกิจกำหนดได้ ซึ่งหมายถึงว่าเจ้าของข้อมูลสามารถทำการยกเลิกได้ตลอดเวลา การมีระบบรองรับสำหรับการยกเลิกการยินยอมแบบอัตโนมัติจะช่วยให้สร้างความพึงพอใจต่อผู้ใช้บริการหรือลูกค้าได้มากกว่า เพราะสามารถดำเนินการได้ทันที จึงช่วยลดโอกาสในการฟ้องร้องดำเนินคดีจากความล่าช้าในการดำเนินการได้อีกด้วย

                  5. เตรียมเครื่องมือให้พร้อม

                  ให้ Connect X เป็นตัวช่วยให้กับธุรกิจของคุณ เราคือแพลตฟอร์ม CDP (Customer Data Platform) สามารถช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้าจากทุกช่องทางไว้ในที่เดียวกัน มาพร้อมกับระบบ Marketing Automation ที่ช่วยทำการตลาดแบบอัตโนมัติ โดยเป็นแพลตฟอร์มหรือระบบที่รองรับกฎหมาย PDPA เป็นระบบที่ได้รับมาตรฐานการเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย มีมาตรฐาน ISO27001 ทำให้เหล่าธุรกิจคลายกังวลได้เพราะข้อมูลของลูกค้าจะปลอดภัยและมีขั้นตอนการเก็บข้อมูลที่ถูกต้องตามกฎหมาย PDPA อย่างแน่นอน

                  จากที่ Connect X ได้แนะนำ 5 ข้อที่ธุรกิจควรเตรียมตัวก่อนที่กฎหมาย PDPA บังคับใช้กันไปแล้ว จะเห็นได้ว่าข้อมูลส่วนบุคคลนั้นมีความสำคัญที่เหล่าธุรกิจจะต้องคำนึงถึงโดยมีมาตรการสร้างทั้งความเข้าใจและความพร้อมของบุคลากรกับระบบที่ใช้งานให้พร้อมก่อน 1 มิถุนายนที่จะถึงนี้ ซึ่งหากไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA แล้วมีการนำข้อมูลไปใช้โดยไม่ได้รับความยินยอมหรือใช้ผิดวัตถุประสงค์ ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินหรือความเป็นส่วนตัวของเจ้าของข้อมูลหรือลูกค้าของเรา และส่งผลกระทบต่อองค์กรเป็นวงกว้าง

                  หากองค์กรธุรกิจปฏิบัติตามกฎหมาย PDPA อย่างเคร่งครัด โดยที่มีการชี้แจงเรื่องการใช้ข้อมูลอย่างโปร่งใส ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายและตรงไปตรงมา ก็จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ พร้อมสร้างความสบายใจจนเกิดเป็นความไว้วางใจให้กับลูกค้าได้อย่างแน่นอน

                  ลงทะเบียนรับคำปรึกษาฟรี !

                  *รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Digital Transformation พร้อมแนะนำ Marketing Technology (MarTech) และ CDP ที่ตอบโจทย์ธุรกิจยุคใหม่โดยเฉพาะ

                    Yearly Budget

                    How do you know us?